ตอนที่ 103 การเก็บเกี่ยวผลไม้ของตระกูลจี้

ทะลุมิติไปเป็นเศรษฐีนียุค 80 [重生八零致富记]

ตอนที่ 103 การเก็บเกี่ยวผลไม้ของตระกูลจี้

คืนหนึ่งผ่านไป สตรอเบอรี่ในสวนหลังบ้านก็สุกแก่อีกในวันถัดมา ซูตานหงจึงไปเก็บสตรอเบอรี่ เมื่อพี่ชายรองซูนำเนื้อมาให้ที่บ้าน เธอก็มอบสตรอเบอรี่พวกนี้ให้เขากลับ โดยแบ่งเป็นสองส่วน ส่วนหนึ่งให้พี่ชายรองซูกับสะใภ้รองซู อีกส่วนหนึ่งให้เจินเหมียวหงที่อยู่ในเมือง และแต่ละส่วนมีน้ำหนักไม่กี่ชั่ง

สตรอเบอรี่ในสวนสุกแก่ก่อนเป็นเวลา 5 ถึง 6 วัน จากนั้นส่วนที่คุณแม่จี้ปลูกไว้บนภูเขาจึงจะสุกแก่หลังจากนั้นไม่นาน แต่ในไม่ช้าพวกมันก็ทยอยสุกแก่ในเวลาไล่เลี่ยกัน

เทียบกับสตรอเบอรี่ในสวนหลังบ้านขนาดย่อม ๆ ที่ปลูกไว้ให้ครอบครัวเธอกินเองแล้ว สตรอเบอรี่ที่คุณแม่จี้ปลูกไว้ในสวนผลไม้ถือได้ว่าเป็นสวนขนาดใหญ่ และนางเองก็ให้การดูแลเอาใจใส่เป็นอย่างดี ดังนั้นผลผลิตในครั้งนี้จึงนับว่าอู้ฟู่เลยทีเดียว

ด้วยความที่ไม่สามารถเก็บสตรอเบอรี่ด้วยตัวคนเดียวไหว เธอจึงเริ่มจ้างโหวหวาจือ เสี่ยวเจินกับเสี่ยวอวี้ให้มาช่วยเก็บเพื่อแลกกับเงิน 1 เหมาใน 3 วัน ซึ่งคิดเป็นวันละ 3 เฟิน นับว่าไม่ใช่เงินที่น้อย ๆ เลย

แต่ด้วยค่าจ้างที่เธอจ่ายแล้ว เด็กทั้งสามจึงทำงานกันอย่างขยันขันแข็งมาก พวกเขาไปโรงเรียนตอนเจ็ดโมงเช้า ดังนั้นจึงต้องตื่นตั้งแต่ตีห้าและมาเก็บสตรอเบอรี่กันในตอนเช้าตั้งแต่ตีห้าถึงหกโมงครึ่ง พวกเด็ก ๆ มีมือและเท้าหยิบจับเดินเหินได้คล่องแคล่วจึงทำให้สามารถเก็บได้มาก ช่วยประหยัดเวลาให้คุณแม่จี้ไปไม่น้อย และทั้งสามก็มีความสุขที่ได้ทำงานนี้

ในวันที่มาเก็บสตรอเบอรี่นั้น ซูตานหงได้ให้เด็กทั้งสามนำกระเป๋านักเรียนมาฝากไว้ที่บ้านของเธอก่อน หลังจากเก็บสตรอเบอรี่เสร็จแล้วจึงให้พวกเขามากินอาหารเช้ากันที่นี่ ก่อนจะออกไปโรงเรียนพร้อมกับติดสตรอเบอรี่บางส่วนไปกินเป็นของว่างด้วย

เด็กทั้งสามดีใจมาก เพราะอาหารเช้าที่อาสะใภ้สามทำให้พวกเขานั้นช่างอร่อยและดีต่อสุขภาพเหลือเกิน ในแต่ละวันพวกเขาไม่ได้กินอาหารหนัก ๆ เลย บ้างก็เป็นโจ๊กซี่โครงหมู บ้างก็เป็นโจ๊กกระดูกหมู หรือไม่ก็เป็นโจ๊กไป๋เหอ(ลิลลี่)หรือโจ๊กเนื้อแดง กินคู่กับไข่คนและเนื้อ

หลังกินอาหารเช้าเสร็จแล้ว แต่ละคนก็หยิบสตรอเบอรี่จำนวนหนึ่งไปด้วยแล้วก็ไปโรงเรียน

เด็กทั้งสามคนล้วนรู้ว่าเยียนเอ๋อร์ไม่ใช่ลูกสาวของอาสะใภ้สาม แต่พวกเขาพากันอิจฉาเยียนเอ๋อร์ที่ยังไม่รู้ความ เพราะทั้งสามต่างก็อยากอยู่ในบ้านของอาสะใภ้สามเหมือนกัน!

เพราะอาหารเช้าที่ซูตานหงทำนั้นอร่อยเหลือเกิน เด็กทั้งสามจึงมาที่นี่เกือบตรงเวลาในทุกครั้งและขยันทำงานมาก เพราะถ้าทำงานหนักขึ้นก็จะหิวมากขึ้น พอหิวมากขึ้นก็จะกินได้มากขึ้น

ฤดูเก็บสตรอเบอรี่คงอยู่มากกว่า 1 สัปดาห์ และในสัปดาห์นั้นก็จะเก็บสตรอเบอรี่ได้เต็มตะกร้าตลอดทุกวัน ซึ่งซูตานหงก็ให้ซูจิ้นตั๋งนำไปขายที่ร้านโดยตรง และด้วยความที่มันรสชาติดี ประกอบกับราคาที่ไม่แพงเนื่องจากเป็นช่วงฤดูของมัน อีกทั้งสตรอเบอรี่พันธุ์นี้ยังมีความฉ่ำน้ำหวานอร่อยอยู่ในตัว จึงทำให้มีลูกค้าขาประจำหลายคนซื้อกลับไปซ้ำแล้วซ้ำเล่า

เนื่องจากช่วงนี้มีสตรอเบอรี่มาขาย ร้านค้าในความดูแลของซูจิ้นตั๋งก็ได้รับความนิยมมากขึ้นอีกครั้ง และมันยังพลอยทำให้ไก่ ไข่ไก่ ผัก และปลาในร้านขายดีไปด้วย

ต่อให้กิจการดำเนินไปด้วยดี ซูจิ้นตั๋งก็ไม่มีความทะเยอทะยานใด ๆ เขาจดจำรายการบัญชีทุกอย่างที่ต้องชำระให้คุณแม่จี้ได้แม่นยำ และยังจำรายการบัญชีทุกอย่างที่ทำกับน้องสาวได้ชัดเจนด้วย ดังนั้นอย่าว่าแต่คุณแม่จี้เลย สักบัญชีเดียวเขาก็ไม่ทำพลาด

เขาขี่รถไปที่หมู่บ้านทุกวันเพื่อไปชำระบัญชีกับคุณแม่จี้ และรายได้ก็งอกเงยขึ้นทุกวัน

คุณแม่จี้เป็นใครหรือ? แล้วที่ผ่านมานางเก็บสตรอเบอรี่ได้มากเท่าไร ในใจนางย่อมมีการคาดคะเนอยู่แล้ว ต่อให้ไม่ได้พูดอะไรเป็นการเฉพาะ ก็ไม่ใช่สิ่งที่เลวร้ายนัก

นางจึงพอใจมากที่เห็นซูจิ้นตั๋งให้การปรองดองกับนางทุกวัน เพราะทุกวันนางได้รับเงินในจำนวนที่สูงกว่าการคาดคะเนในใจเล็กน้อย เรื่องนี้แสดงให้เห็นว่าซูตานหงกับพี่ชายรองของเธอไม่ได้ตุกติกนางแต่อย่างใด

เนื่องจากเห็นเขาเป็นคนช่วยขายสตรอเบอรี่ให้ คุณแม่จี้เลยจะจ่ายเงินให้เขา แต่ซูจิ้นตั๋งก็รีบพูดขึ้น “ไม่เป็นไรหรอกครับคุณป้า เพราะสตรอเบอรี่ของคุณป้าเลยที่ทำให้กิจการทางร้านพลอยขายดีไปด้วย จะให้เงินแบบนี้ก็เกรงใจไปหน่อยน่ะครับ”

คุณแม่จี้เห็นดังนั้นก็ยิ่งประทับใจในตัวซูจิ้นตั๋งขึ้นไปอีก นางเอ่ยกับเขา “อีกไม่นานก็จะเข้าฤดูเก็บเชอร์รี่แล้ว เธออย่าลืมมาช่วยด้วยนะจ๊ะ”

“คุณป้าไม่ต้องเป็นห่วง งานนี้ผมต้องไปช่วยอยู่แล้วล่ะครับ แต่ผมขอทำงานกะเช้าที่ร้านให้เสร็จก่อน เพราะภรรยาผมก็ยังต้องเลี้ยงลูกอยู่ จะปล่อยให้หล่อนงานยุ่งเกินไปไม่ได้หรอกครับ” ซูจิ้นตั๋งบอก

“ไม่เป็นไรหรอกจ้ะ” คุณแม่จี้รู้สึกพอใจมาก พี่ชายรองของตานหงช่างเป็นห่วงภรรยาเสียจริง ๆ หล่อนโชคดีจริง ๆ ที่มีเขาเป็นสามี

เมื่อคุณแม่จี้ตรวจทานบัญชีกับซูจิ้นตั๋งเสร็จแล้ว นางก็มาหารส่วนแบ่งกับตานหง และทั้งคู่ก็เห็นด้วยที่จะแบ่งผลกำไรกันคนละครึ่ง

แม้คุณแม่จี้จะเป็นคนปลูกสตรอเบอรี่ แต่เมื่อได้เงินมานางก็แบ่งให้ซูตานหงไปเปล่า ๆ ซึ่งคุณแม่จี้ไม่ถือว่าตัวเองเสียเปรียบแต่อย่างใด นางรู้ดีว่าถ้าไม่ได้ตานหงมาช่วยปลูกก็คงจะปลูกสตรอเบอรี่ได้ไม่งามขนาดนี้ นางทำไร่ทำสวนมานานกี่ปีแล้ว ทำไมจะไม่รู้ล่ะว่าผลผลิตที่ได้มีทั้งหมดกี่ชั่ง?

ต่อให้นางจะบำรุงดินดีขนาดไหน แต่นางก็ไม่มีทางปลูกสตรอเบอรี่ได้งามและอร่อยขนาดนี้อย่างแน่นอน ดังนั้นคุณแม่จี้จึงเต็มใจที่จะหารส่วนแบ่งให้กับเธอ!

ท้ายที่สุดแล้วนางก็ยังชอบสะใภ้สามคนนี้มากที่สุดในบรรดาสะใภ้ทั้งหมดอยู่ดี คุณแม่จี้ไม่เสียใจเลยที่ให้เงินกับสะใภ้คนนี้ ดูโหวหวาจือกับเสี่ยวเจินเสี่ยวอวี้ที่มากินอาหารเช้าที่นี่ทุกวันสิ ในฐานะที่นางเป็นย่าแล้ว เด็ก ๆ พวกนี้ถือว่าเป็นหลานของนาง ซึ่งนางย่อมชอบใจเป็นธรรมดา แม้จะพูดตามความจริงว่าตานหงเป็นแค่อาสะใภ้ของพวกเขาที่ไม่มีความผูกพันธ์ทางสายเลือดใด ๆ เลย

แต่ซูตานหงก็ไม่สนใจ ยังดูแลครอบครัวของเธอและทำอาหารอร่อย ๆ ให้พวกเขาได้กินอิ่มท้องทุกวัน ซึ่งแม่ของเด็ก ๆ เหล่านี้ไม่มีทางเต็มใจทำ แถมเยียนเอ๋อร์ก็ยังมีสุขภาพร่างกายแข็งแรงดีมากและถูกสอนมาอย่างดีอีกด้วย

คุณแม่จี้รู้สึกว่าไม่มีสะใภ้คนไหนดีมากกว่าสะใภ้สามอีกแล้ว

จะว่าไปแล้วนี่คงเป็นควันสัญญาณจากบรรพบุรุษตระกูลจี้ และเป็นบุญของเจี้ยนอวิ๋นที่ได้ปกป้องครอบครัวและประเทศชาติ ไม่อย่างนั้นครอบครัวนี้จะมีลูกสะใภ้ที่ดีแบบนี้หรือ?

ต่อให้คุณแม่จี้แบ่งเงินให้ซูตานหงไปครึ่งหนึ่งแล้ว นางก็ยังมีรายได้ทุกวันมากกว่า 3 หยวน นับเป็นรายได้ 3 หยวนต่อวัน ซึ่งในหนึ่งเดือนคุณแม่จี้สามารถทำรายได้เกือบ 100 หยวนต่อเดือน!

นี่นับว่าเป็นเงินก้อนใหญ่สำหรับคุณแม่จี้เลยทีเดียว!

แถมต่อไปยังมีแตงโมอีก ซึ่งนางปลูกแตงโมเอาไว้เป็นจำนวนมาก เมื่อถึงตอนนั้นนางก็คงจะมีรายได้จากตรงนี้อย่างแน่นอน!

เรื่องนี้ทำให้คุณแม่จี้มีกำลังใจในทุกวัน

ในเวลาต่อมา เชอร์รี่ทั้งหมดก็สุกแก่พอดี ซึ่งเชอร์รี่ที่สุกแล้วพวกนี้ต้องรีบเก็บเกี่ยวให้เร็วที่สุดเท่าที่ทำได้ ดังนั้นในวันเก็บเกี่ยวเชอร์รี่ จี้เจี้ยนอวิ๋นกับเหล่าฉินก็ได้ขับรถเข้าเมืองเจียงสุ่ย

และยังนำตาชั่งติดไปด้วย

หลังจากที่พวกเขาขับรถบรรทุกขนาดใหญ่เข้าเมืองเจียงสุ่ยไปแล้ว สมาชิกที่เหลือในตระกูลจี้ก็เก็บเกี่ยวผลผลิตกันต่อ จากนั้นก็รอจนถึงเช้าอีกวันเพื่อให้จี้เจี้ยนอวิ๋นกับเหล่าฉินขนขึ้นรถไปส่งในเมืองเจียงสุ่ย ทั้งคู่เดินทางไปกลับในวันเดียวกัน ซึ่งทั้งสองคนรับหน้าที่เป็นคนนำไปขาย ขณะที่สมาชิกคนอื่นทำหน้าที่เป็นคนเก็บเกี่ยว

ด้วยความที่รถบรรทุกขนาดใหญ่ของเหล่าฉินแล่นไปกลับจากสวนของครอบครัวจี้อยู่ตลอด การเคลื่อนไหวของพวกเขาจึงไม่นับว่าเล็กน้อย โดยเฉพาะในตอนที่รู้ว่าเชอร์รี่กำลังสุกพร้อมเก็บเกี่ยว ชาวบ้านทั้งหลายก็รู้สึกอิจฉาพวกเขาที่ได้เก็บเชอร์รี่ไปขายในเมืองเจียงสุ่ยมาก

โดยเฉพาะเจ้าของสวนหลายคนที่ปลูกไม้ผลเอาไว้ แต่ในปีนี้กลับไม่มีผลผลิตออกมาให้ขาย เรื่องนี้ก็ทำให้พวกเขาได้แต่รู้สึกละโมบ

แต่ต่อให้ละโมบไปก็เท่านั้น ใครจะกล้าเข้าไปในสวนของเหล่าจี้ตอนนี้กันล่ะ? ไม่ต้องพูดถึงพี่น้องสามหรือสี่คนของเขาเลย จี้เจี้ยนอวิ๋นคนเดียวก็พอแล้วในหมู่พวกเขาพี่น้อง แถมยังมีพี่ชายรองของซูตานหง จี้หงจวินกับสวี่อ้ายตั๋งที่เป็นคนงานของพวกเขา แล้วก็เหล่าฉินที่เป็นคนนำผลไม้ไปขายอีก แค่นี้ก็มีชายฉกรรจ์จำนวนกี่คนแล้วล่ะ?

นอกจากนี้ยังมีสุนัขตัวใหญ่บึกบึนที่ซูตานหงเลี้ยงไว้อีก ซึ่งหลายวันมานี้ซูตานหงได้พาสุนัขที่ตัวใหญ่เท่าลูกวัวไปด้วย แค่ต้าเฮยแยกเขี้ยวขู่ครั้งเดียวก็ทำให้เด็ก ๆ ตกใจกลัวจนเตลิดหนีได้ แล้วมีใครบ้างล่ะที่เห็นมันแล้วจะไม่กลืนน้ำลายด้วยความหวาดกลัว?

…………………………………