บทที่ 681 จำไว้ว่าต้องปิดประตูด้วย

แฟนผมกลายเป็นซอมบี้

บทที่ 681 จำไว้ว่าต้องปิดประตูด้วย โดย Ink Stone_Fantasy

พวกเย่เลี่ยนเดินมาถึงหน้าประตูโรงแรมไม่นาน มู่เฉินกับสวี่ซูหานก็เดินตามกันออกมารับพวกเธอ

หลังจากฟังมู่เฉินเล่า “บันทึกการสังเกตการณ์หลิงม่อ” มาหลายชั่วโมง อาการของสวี่ซูหานก็ดูเหมือนคงที่มากขึ้นทีเดียว

แต่ก่อนหน้านี้ตอนที่มู่เฉินวิ่งไปเปิดประตูอย่างเริงร่า จู่ๆ สวี่ซูหานที่เดินตามหลังอยู่กลับเดินเซ และรีบยกมือขึ้นยันผนังไว้

เธอก้มหน้า พยายามยกเปลือกตามองไปข้างหน้า พร้อมกับสะบัดหัวแรงๆ

ม่านสีแดงที่เคลือบดวงตาเธออยู่เริ่มเข้มขึ้นเรื่อยๆ ไม่ว่าจะสะบัดหัวอย่างไรก็ไม่หายไปแล้ว…

เธอเลื่อนสายตาไปยังกระจกเก่าแตกๆ ข้างตัว แล้วก็ต้องชะงักงันไปชั่วขณะ

ผิวสีซีดเซียว ดวงตาถูกย้อมแดงแทบจะทั้งหมด รังสีเยือกเย็นที่แผ่ออกมาจากจิตวิญญาณข้าใน…

ลมหายใจของสวี่ซูหานกระชั้นถี่ขึ้นมาทันใด เธอยกมือขึ้นลูบตัวเองอย่างไม่อยากจะเชื่อ

นี่ยังเป็นตัวเธออยู่อีกหรือ?

ผู้ประกาศข่าวสาวที่มีบุคลิกโดดเด่นเสมอในที่ทำงาน ทำไมถึงได้มีสภาพอัปลักษณ์อย่างนี้ไปได้…

“พวกเธอไปนานเกินไปแล้วนะ…” มู่เฉินเปิดประตู พร้อมกับบ่นอุบ

แต่เสียงที่สวี่ซูหานได้ยินกลับเหมือนเสียงแทรกซ้อนดังๆ เธอทำหน้าทุกข์ทรมาน และยกมือขึ้นปิดหูทันที

นี่คือโลกของซอมบี้งั้นหรอ? ช่างทรมาน…เสียงดังเหลือเกิน…

สวี่ซูหานยกมือกุมหัวพิงกำแพง มู่เฉินพูดเสียงดังเจื้อยแจ้วไม่หยุด พร้อมกับลากโซฟาที่เอามายันประตูแก้ขัดไว้ออก

เสียงโซฟาครืดกับพื้นเหมือนเสียงปืนใหญ่ที่ระเบิดอยู่ข้างหูเธอ มันดังจนทำให้เธออยากกรีดร้องเพื่อปลดปล่อยอารมณ์ออกมา

เล็บมือจิกลึกเข้าไปในหนังศีรษะ แต่กลับไม่อาจช่วยบรรเทาความฟุ้งซ่านในสมองได้

ทำไมถึงไม่เจ็บล่ะ? ทำไมไม่เห็นรู้สึกอะไรเลย!

สวี่ซูหานจ้องตัวเองที่สะท้อนอยู่ในกระจก ความรู้สึกแปลกหน้ากัดกินใจเธออย่างรวดเร็ว

ทั้งๆ ที่เธอกลัวแทบตาย แต่สายตาของคนในกระจก กลับเต็มไปด้วยความปรารถนาต่อกลิ่นคาวเลือด…

การฟังเรื่องเล่าจากมู่เฉินเป็นเพียงวิธีที่จะทำให้สมองของเธออยู่ในสภาวะตื่นตัวชั่วคราวเท่านั้น แต่ภายใต้การกัดกร่อนของเชื้อไวรัส ร่างกายของเธอกลับแสดงปฏิกิริยาตอบสนองออกมาอย่างซื่อสัตย์

“แต่ทำไมจู่ๆ ก็…”

แอ๊ดด—

เมื่อประตูใหญ่ถูกผลักออก ร่างกายของสวี่ซูหานก็ชะงักค้างชั่วขณะ

เธอค่อยๆ หันหน้าไปมองพวกเย่เลี่ยนเดินเข้ามาข้างในเหมือนฝูงปลา

“ใช่แล้ว…เป็นเพราะ…”

สวี่ซูหานรู้สึกเหมือนแข้งขาทั้งสองข้างอ่อนแรง ราวกับว่าเลือดในร่างกายใกล้จะทะลักออกมาแล้ว

อาการกระตุกสั่นที่เกิดขึ้นเองตามสัญชาตญาณ กลับทำให้สวี่ซูหานรู้สึกดี

โชคดีที่ไม่ได้พูดออกไป…ถ้าหากเมื่อกี้เธอหลุดปากออกไป ตอนนี้เรื่องจะเป็นยังไงนะ?

เธอยกมือกดขมับแรงๆ อีกครั้ง เพื่อเตือนสติตัวเองว่าอย่าตกอยู่ในภวังค์ความคิดยุ่งเหยิงอีก

“หัวหน้าทีมเป็นอะไรไป?” มู่เฉินมองหลิงม่อที่มีเย่เลี่ยนคอยช่วยประคองอย่างตกใจ แล้วรีบเดินเข้าไปเสนอตัวช่วยเหลือ

เย่เลี่ยนส่ายหน้าปฏิเสธ แล้วตอบเสียงเบา “เขา…หลับน่ะ…”

“หลับเนี่ยนะ?!” มู่เฉินอึ้ง นี่ออกไปทำอะไรกันมาเนี่ย !

“โอยๆๆ ไม่ใช่ว่าไปโดนไฟมาหรอกนะ?” มู่เฉินหลีกทางให้เย่เลี่ยนกับหลิงม่อ แล้วยื่นมือไปขวางซย่าน่า ถามว่า “อีกอย่าง พวกเธอเป็นอะไรไปกันแน่เนี่ย?!”

ซย่าน่ากับหลี่ย่าหลินก็กำลังเดินประคองกันในสภาพหัวลู่ไหล่ตกเช่นกัน

มู่เฉินไม่เข้าใจเลยซักนิด คนกลุ่มนี้มีแต่ยอดฝีมือทั้งนั้น แต่นี่แค่ออกไปเคลียร์เส้นทาง ทำไมถึงกลับมาในสภาพนี้ได้ล่ะ?

ซย่าน่าที่ถูกมู่เฉินใช้แขนขวางทางไว้ ชะงักเท้าแล้วเงยหน้าขึ้นโดยไม่พูดอะไรซักคำ

ทันทีที่สายตาประสานกัน มู่เฉินก็อดตัวสั่นไม่ได้

แขนของเขาทิ้งลงข้างลำตัวอย่างอ่อนแรงโดยอัตโนมัติ และกว่าจะได้สติ ซย่าน่าและหลี่ย่าหลินก็เดินผ่านไปแล้ว

“เอื้อก…”

มู่เฉินลอบกลืนน้ำลายดังเอื้อก หัวใจที่หล่นไปอยู่ตาตุ่มจึงค่อยๆ กลับมาอยู่ตำแหน่งเดิม

“นะ…น่ากลัวชะมัดเลย…” มู่เฉินลอบมองแผ่นหลังของซย่าน่าด้วยความรู้สึกผวา ถ้าไม่ใช่ว่าเขารู้จักกับพวกหลิงม่อมาซักพักหนึ่งแล้ว เขาคงไม่อยากจะเชื่อว่าสายตาอย่างนั้น เป็นของเด็กสาวมัธยมแผ่นหลังบอบบางคนนั้น

เดี๋ยวนะ ทำไมมีบอลเพิ่มขึ้นมาลูกหนึ่ง?

เมื่อกี้ตอนมองลงมาจากข้างบนเห็นไม่ค่อยชัด มู่เฉินจึงไม่รู้ว่ามีของสิ่งนี้อยู่ด้วย

เขาเบิกตากว้างมองวัตถุลูกกลมโตที่ถูกลากตามหลังซย่าน่าไป ปากก็หลุดถามออกไปอย่างห้ามไม่ทัน “เอ๊ะ นั่นมัน…”

ซย่าน่ายกมือขึ้นเหนือไหล่ แล้วโบกไปมาเบาๆ

มู่เฉินจึงจำต้องฝืนกลืนประโยคคำถามที่เหลือลงคอไปอย่างช่วยไม่ได้ พอเขาเงียบ ซย่าน่าก็หยุดโบกมือ แล้วชูนิ้วโป้งขึ้นแทน

“เฮ้ย ไม่ต้องมากดไลค์ให้เลยนะ! แล้วฉันผิดหรอที่ถามแค่นี้เนี่ย!” มู่เฉินยืนบ่นอุบด้วยความรู้สึกน้อยเนื้อต่ำใจกว่าเดิมหลายเท่า

สวี่ซูหานยืนแนบตัวติดผนัง มองดูเย่เลี่ยนเดินผ่านตัวเองไปอย่างหวาดๆ จากนั้นก็หันไปมองซย่าน่ากับหลี่ย่าหลินที่กำลังเดินเข้ามา

เสี้ยววินาทีที่เดินผ่านในระยะเฉียดไหล่กัน จู่ๆ ซย่าน่าที่กำลังเดินคอตกก็ชะงักเท้า แล้วยกมือขึ้นมา

เป้าหมายของเธอคือหัวไหล่ของสวี่ซูหาน แต่เพราะสวี่ซูหานยืนเกร็งไปทั้งตัว มือของซย่าน่าที่ยืดออกไป กระทั่งถึงกับยืดนิ้วมือออกไปด้วย กลับมาไกลได้แค่ตะปบเข้าที่หน้าอกของสวี่ซูหาน

ป๊าบ!

สวี่ซูหานยืดตัวเกร็งหนักกว่าเก่า ดวงตาแดงก่ำจ้องไปที่ศีรษะของซย่าน่าอย่างหวาดกลัว

ป๊าบๆ!

ซย่าน่าถอนหายใจ แล้วตบเบาๆ อีกสองครั้ง

“อีกหน่อยก็ชินเอง” เธอพูดเสียงเบา แล้วทำท่าจะเดินต่อ แต่ก็พูดเสริมอีกประโยคอย่างลังเลเล็กน้อย “ฉันหมายถึงความรู้สึกพวกนั้นน่ะ ไม่ได้หมายถึงไอ้ที่เมื่อกี้…”

สวี่ซูหานนิ่งอึ้งไปครู่หนึ่ง จากนั้นก็พยักหน้าอย่างทื่อๆ

เธอมองดูพวกซย่าน่าเดินขึ้นบันได แต่กลับยังไม่หายจากอาการใจเต้นตูมตามราวกับจะระเบิด

“เฮ้ เธอไม่เป็นไรนะ?” มู่เฉินปิดประตู แล้วเดินเข้ามาถามอย่างระมัดระวัง

สวี่ซูหานที่ยืนหันหลังให้เขาอยู่ถึงกับอ้าปากค้าง ขณะเดียวกันก็หลับตาแล้วทำหน้าเหมือนทนทุกข์สุดขีด

เธอเม้มปากแน่น แล้วหันกลับไปตวาดด้วยเสียงแหบต่ำและขุ่นเคืองว่า “เสียงดังโวยวายจริง!”

ตวาดเสร็จ สวี่ซูหานก็วิ่งขึ้นบันไดไปโดยไม่หันกลับมามอง ไม่นานเธอก็หายเข้าไปในมุมเลี้ยวบันได

มู่เฉินยืนค้างเติ่งอยู่กับที่ ผ่านไปครู่ใหญ่จึงค่อยได้สติกลับมาอย่างอึ้งๆ เขายกมือขึ้นตบหน้าผาก แล้วทรุดนั่งลงไป “คิดว่าเป็นฉันมันง่ายนักหรอ…”

“มา…”

เย่เลี่ยนเปิดประตูโดยใช้มือข้างเดียว อีกมือประคองหลิงม่อเดินเข้าห้องอย่าระมัดระวัง

หลังนอนลงไป หลิงม่อก็ขยับปากสองสามที แต่กลับไม่เปล่งเสียงใดๆ ออกมา

เย่เลี่ยนยังคงยืนโน้มตัวต่ำอยู่ เธอยกมือขึ้นเสยผมที่สยายลงมาทัดหู แล้วมองหลิงม่อที่กำลังหลับได้ที่เงียบๆ

ตอนนี้เป็นเวลาพลบค่ำแล้ว แสงยามโพล้เพล้สาดส่องผ่านบานกระจกเข้ามาอาบร่างของทั้งสองคน

ใต้แสงอาทิตย์เหลืองนวล หลิงม่อกำลังอ้าปากออกเล็กๆ เสียงผ่อนลมหายใจยาวๆ และเสียงลมเบาหวิว ลอยกระทบโสตประสาทของเธออย่างชัดเจน

เด็กสาวเหม่อมองเขาอยู่ครู่หนึ่ง แล้วก็ยื่นมือมาลูบไล้แก้มเขาเบาๆ

ภาพที่หลิงม่อจับข้อมือเธอลอยเข้าในสมองอีกครั้ง เย่เลี่ยนมองดวงตาของหลิงม่อที่กำลังปิดแน่น แต่ในใจกลับหวนนึกถึงแววตาในตอนนั้น

แววตานั่น ช่างสดใสเหลือเกิน เหมือนตอนนั้นเขาไม่ได้คิดอะไรเลย และในสายตาของเขาก็มีแค่เธอคนเดียว ทุกสิ่งรอบกายเหมือนไร้ตัวตน

ถึงจะแค่เสี้ยววินาทีเดียว แต่เย่เลี่ยนกลับจำความรู้สึกนั้นได้ขึ้นใจ

“มัน…คือความรู้สึก…ของมนุษย์หรือ?”

มือของเย่เลี่ยนเลื่อนลงช้าๆ และสุดท้ายก็หยุดตรงหัวใจของหลิงม่อ

ตึกตัก!

สัมผัสจากหัวใจที่เต้นตึกตักอยู่ใต้เนื้อผ้า ส่งถึงฝ่ามือเธอทันที

เย่เลี่ยนฉีกยิ้มเล็กน้อย เลื่อนสายตาไปที่ริมฝีปากของหลิงม่อ แล้วเธอก็ค่อยๆ โน้มตัวลงไปทีละนิด…

“ทำอะไรอยู่น่ะ?”

ทันใดนั้น เสียงของซย่าน่าก็ดังมาจากหน้าประตู เย่เลี่ยนลุกพรวดยืนตรงเหมือนถูกไฟช็อต รีบสองมือไขว้ไว้ข้างหลัง แล้วเบิกตากว้างมองซย่าน่าที่ยืนอยู่ตรงประตู “ฉันก็แค่…”

“ก็แค่ลักจูบสินะ…” ซย่าน่ายิ้มล้อเลียน เธอดึงหลี่ย่าหลินที่อยู่ข้างหลังให้เดินเข้ามาในห้อง จากนั้นก็ยกเท้าถีบประตูปิด “แต่ว่านะพี่เย่เลี่ยน เวลาทำเรื่องอย่างนี้น่ะ…อย่าลืมว่าต้องปิดประตูนะ”

เย่เลี่ยนยืนทำไม้ทำมือไม่ถูกอยู่กับที่ เธอเข้าใจสิ่งที่ซย่าน่าพูด แต่กลับไม่รู้ว่าควรตอบกลับอย่างไรดี

“แต่คิดไม่ถึงจริงๆ เลยว่าพี่เย่เลี่ยนก็…” ซย่าน่าวางหลี่ย่าหลินลงบนโซฟา แล้วเตะลูกบอลใหญ่ๆ ที่อยู่ด้านหลังให้เข้าไปอยู่ในมุมห้อง จากนั้นตัวเองก็นั่งลงข้างๆ หลี่ย่าหลิน ทำท่าหัวเราะคิกคักมองเย่เลี่ยน

“จะ…ไม่เป็นไรหรอ…” สายตาของเย่เลี่ยนมองตามลูกบอลที่กลิ้งไปทางนั้น จนกระทั่งลูกบอลกระแทกเข้ากับผนัง และแน่นิ่งไปหลังจากดิ้นขลุกขลักสองสามที

“ไม่เป็นไรหรอกน่า เมื่อกี้ก็ลากกลิ้งมาด้วยตลอดทาง”

ซย่าน่าหัวเราะแล้วตอบ

แต่หน้าซีดเซียวของเธอ แล้วยังมีดวงตาที่กำลังเปลี่ยนสีอย่างรวดเร็วนั่น กลับเป็นตัวบ่งบอกชัดเจนว่าอาการของเธอไม่คงที่

ตอนที่เธอนั่งลงไป มือของเธอเหมือนเอื้อมไปจับที่วางมือเบาๆ แต่ไม่กี่วินาทีถัดมา เสียง “แคร่ก” ก็ดังขึ้นทันที แล้วมือของซย่าน่าก็ไร้ซึ่งที่รองรับอีกต่อไป

เศษเนื้อไม้กระจายเต็มพื้น ซย่าน่ากระตุกมุมปาก แล้วแค่นเสียงบ่น “คุณภาพแย่จริงๆ…”

默的两只耳朵。

“เพราะ…เธอ…แรงเยอะ…” เย่เลี่ยนพูดตะกุกตะกัก ขณะเดียวกันก็ก้มตัวลงไปปิดหูให้หลิงม่อด้วย

“ก็ได้ๆ เป็นเพราะฉันคุมแรงตัวเองไม่ได้” ซย่าน่ายกมือทั้งสองข้างมาข้างหน้า แล้วบอกว่า “พอใจรึยังล่ะ?”

เธอเพิ่งจะพูดจบ ก็ได้ยินเสียงหลี่ย่าหลินที่นอนอยู่ข้างๆ คราง “อืม” หนึ่งเสียง จากนั้นก็พลิกตัวนอนต่อ

“อา…” เย่เลี่ยนตาไว หมายจะยื่นมือไปจับหลี่ย่าหลิน แต่ก็คิดว่าไม่ควรปล่อยหลิงม่อไปทั้งอย่างนี้

ตอนนี้ซย่าน่ากำลังตกอยู่ในภวังค์สับสนยุ่งเหยิง การตอบสนองจึงช้าไปครึ่งหนึ่ง

กว่าเธอจะหันไปมอง โซฟาที่อยู่ใต้ตัวเธอก็หักดัง “โครม” เสียแล้ว

เย่เลี่ยนรีบปิดหูหลิงม่ออีกครั้ง ขณะเดียวกันก็ยืนมองซย่าน่าและหลี่ย่าหลินที่จมเข้าไปในเศษซากโซฟาตัวนั้น

“เสียงอะไรน่ะ…” จู่ๆ มู่เฉินที่กำลังเดินขึ้นบันไดด้วยสีหน้าเหมือนคนอยากร้องไห้ ก็รู้สึกเหมือนพื้นใต้เท้าสั่นสะเทือนเล็กน้อย ด้านบนก็มีเสียงโครมครามดังมา

แล้วเสียงของสวี่ซูหานก็ดังก้องเข้ามาในช่องบันไดอีกครั้ง “นายหุบปากซะ!”

“ครั้งนี้ไม่ใช่ฉันนะ!” มู่เฉินทำหน้าร่ำไห้ ครั้งนี้เขาโดนลูกหลงจริงๆ…

“ขอโทษที…” ซย่าน่ารีบตะเกียกตะกายลุกจากซากโซฟา แล้วหันไปดึงตัวหลี่ย่าหลินขึ้นมาด้วย

รุ่นพี่เหมือนจะยังไม่รู้สึกตัวดีนัก เพิ่งจะลุกขึ้นมาก็ทำท่าจะพุ่งไปทางผนัง แต่โชคดีซย่าน่ากระชากตัวเธอไว้ทัน พร้อมกับหยิบหมอนอิงขว้างให้เธอ อ่ะ อันนี้ๆ…”

—————————————————————————–