บทที่ 682 นี่มันไม่ใช่สไตล์เดียวกับพวกฉัน! โดย Ink Stone_Fantasy
“แคว่ก!”
รุ่นพี่จับหมอนได้ก็ฉีกทึ้งทันที ซย่าน่าเอียงตัวหลบเศษนุ่นและเศษผ้า พลางหันไปยิ้มขอโทษเย่เลี่ยน “ไม่เป็นไรแล้ว…”
เย่เลี่ยนเอามือออกเบาๆ แล้วบอกว่า “เขาเหนื่อย…มากๆ…”
“ดูเหมือนจะเป็นอย่างนั้น” ซย่าน่าพยักหน้า “ปล่อยให้เขานอนเถอะ เวลาปกติก็เอาแต่เฝ้าระวัง ถ้าเมื่อกี้พี่ไม่ได้ปิดหูให้เขา ป่านนี้คงตื่นขึ้นมาแล้วจริงๆ…”
“เป็นเธอ…ก็ปิดหูให้เขาเหมือนกัน” เย่เลี่ยนยิ้มบาง
ซย่าน่าเหลือบมองหลิงม่อที่กำลังหลับสบาย แล้วอดปวดใจไม่ได้ แต่ปากกลับแค่นเสียงพูดอย่างเคืองๆ “ใช่ ฉันจะเอาหมอนปิดหน้าเขาให้ขาดใจตายไปเลย จะได้กินเนื้อด้วย”
“หา!” เย่เลี่ยนตกใจ “เธอ…เธอโกหก…”
“เขาไม่ได้เรียกโกหก เรียกว่าล้อเล่นต่างหากเล่า…เดี๋ยวนะ ฉันไม่ได้ล้อเล่นซักหน่อย!” ซย่าน่าบ่นอุบ ตอนนี้เธอกำลังอยู่ในสภาวะอารมณ์ไม่คงที่ สัญชาตญาณของคนกับซอมบี้กำลังขัดแย้งกันอย่างต่อเนื่อง สภาพอารมณ์จึงผิดไปจากปกติ
เย่เลี่ยนทำหน้าเหมือนเข้าใจทั้งที่ไม่เข้าใจ เธอนั่งลงข้างหลิงม่อเงียบๆ แล้วถามว่า “พวก…พวกเธอ…เป็นไงบ้าง?”
ซย่าน่ายิ้ม “ดีขึ้นมากแล้ว ต้องขอบคุณพวกพี่ ตอนที่เจ้าเพื่อนร่วมสายพันธุ์ระดับสูงนั่นโผล่มา ฉันเองก็รับรู้ได้เลือนราง ถ้าหากถูกบีบให้ต้องสู้ตอนนั้นล่ะก็ เดาว่าเรื่องคงจบไม่สวยอย่างตอนนี้แน่”
พูดไป เธอก็หันไปมองหลิงม่ออีกครั้ง “เขาต้องเหนื่อยจนมีสภาพแบบนี้…แต่ใครใช้ให้อวดเก่งล่ะ!”
เย่เลี่ยนเบิกตากว้าง เธอไม่รู้เลยว่าควรตอบซย่าน่าอย่างไรดี
ตอนแรกเหมือนจะเป็นห่วง แต่ทำไมประโยคหลังถึงกลายเป้ฯต่อว่าได้ล่ะ…
นี่มันไม่ใช่สไตล์ซอมบี้เลยนะ…
“แล้วพี่ล่ะ? หลังก้าวข้าม รู้สึกอะไรเป็นพิเศษบ้างรึเปล่า?” จู่ๆ ซย่าน่าก็ถามอย่างสงสัย
เธอยอมรับแล้วว่าคงก้าวข้ามถึงระดับเจ้าเมืองไม่ได้ในการวิวัฒนาการครั้งนี้ แต่ในเมื่อได้รับการอัพเกรดอีกครั้งแล้ว ช้าเร็วอย่างไรก็ต้องได้ก้าวข้ามอยู่แล้ว ดังนั้นถามเอาไว้ก็ไม่เสียหาย…
เย่เลี่ยนบีบนิ้วตัวเอง พลางเรียบเรียงคำพูดในสมองของตัวเอง แล้วก็พูดตะกุกตะกักว่า “ต่าง…จากเมื่อก่อน…นิดหน่อย…”
เธอชี้มาที่ดวงตาของตัวเอง “ตรงนี้…”
แล้วจากนั้น เธอก็ชี้ไปที่หลิงม่อ “แล้วก็…เขา…”
“เอ๊ะ เกี่ยวกับพี่หลิงด้วยหรอ?” ซย่าน่าสงสัยหนักกว่าเดิม
เรื่องดวงตาเธอเข้าใจตั้งแต่แวบแรกแล้ว ม่านตาที่หดตัวนั่นมองแวบเดียวก็รู้แล้วว่าผิดปกติ เห็นชัดว่าเกิดจากการกลายร่าง
ทว่าการวิวัฒนาการของเย่เลี่ยน เกี่ยวข้องกับหลิงม่อด้วยหรือ?
“ฉัน…” เย่เลี่ยนเม้มปาก แล้วพูดเสียงค่อย “ฉัน…เหมือนจะ…เข้าใจเขาบ้างแล้ว…”
ซย่าน่าอึ้ง จากนั้นก็ทำหน้าเหมือนเข้าใจ “อ๋ออ ฉันเข้าใจแล้ว!”
ดวงตาสีแดงข้างหนึ่งดำข้างหนึ่งของเธอกลอกไปมาระหว่างเย่เลี่ยนและหลิงม่อ พลางพยักหน้าขึ้นลง “ความสัมพันธ์ของพวกพี่ลึกซึ้งขึ้น!”
ตอนแรกเย่เลี่ยนพยักหน้าก่อน แต่จากนั้นเธอก็ส่ายหน้าอีก “ไม่ใช่…แค่นี้…”
เธอพูดพร้อมทำท่าทางประกอบอยู่นาน กว่าซย่าน่าจะเข้าใจสิ่งที่เธอต้องการในที่สุด
“หมายความว่า…ตอนนี้พี่สามารถรับรู้ได้ถึงความรู้สึกของมนุษย์ที่พี่หลิงแสดงออกมาแล้ว?” ซย่าน่าลองพยายามสรุปดู พร้อมกับถามเพื่อความแน่ใจ
“อื้มๆ!” เย่เลี่ยนพยักหน้าอย่างดีใจ
ซย่าน่าครุ่นคิด แล้วเธอก็ถามอย่างสงสัยอีกว่า “ถ้าอย่างนั้น…ตัวพี่เองมีความรู้สึกแบบเดียวกันไหม? ในเมื่อสามารถรับรู้ได้ ตัวเองก็น่าจะรู้สึกเหมือนกันด้วยสิ?”
ตอนพูดประโยคนี้ สายตาของซย่าน่าเต็มไปด้วยความลุ้นและคาดหวัง
ความจริง ตอนนี้เธอรักษาสัญชาตญาณความเป็นมนุษย์เอาไว้ได้แล้ว แต่จะสามารถกลับไปเป็นมนุษย์เต็มตัวได้หรือไม่นั้น…อย่างน้อยก็เฮยน่าคนหนึ่งล่ะที่ไม่สนใจเรื่องนี้
เธอสนุกกับการเป็นซอมบี้ ความรู้สึกดีที่ได้เห็นเลือดสดๆ เข้ายึดครองร่างกายทั้งร่าง และความสุขเมื่อได้รบราฆ่าฟันอย่างเต็มที่ สิ่งเหล่านี้เป็นสิ่งที่มนุษย์ปกติไม่มีวันสัมผัสได้
แต่ความรู้สึกอันซับซ้อนในสมองของเหล่ามนุษย์ ก็เป็นสิ่งน่าดึงดูดมากสำหรับซย่าน่าด้วยเช่นกัน
ท่ามกลางสายตาของซย่าน่าที่มองมาอย่างจริงจัง เย่เลี่ยนทำได้เพียงส่ายหน้าเบาๆ “มะ…ไม่มี…”
“ฉันแค่…เข้าใจสิ่งที่เขาจะสื่อ เพราะ…พอจำอะไรได้บ้างแล้ว…แต่ว่า…ตัวฉันไม่รู้สึก…” เย่เลี่ยนบอก
ซย่าน่าทำหน้าผิดหวังชั่วขณะ เรื่องคงไม่ง่ายขนาดนั้นจริงๆ ด้วยสินะ…
อาการของเย่เลี่ยน หากพูดตรงๆ ไม่สามารถเรียกได้ว่าเป็นความรู้สึก
เหมือนกับการดูรูปภาพเรียนรู้ศัพท์ เธอรู้ว่าในภาพเป็นผลไม้ชนิดไหน และรู้ว่าผลไม้ชนิดนี้ชื่ออะไร แต่หากเธอไม่เคยลิ้มรสของผลไม้ชนิดนี้ เธอก็ไม่มีวันรู้จักมันอย่างแท้จริง
และความรู้ความเข้าใจที่เย่เลี่ยนมีต่อความรู้สึกของมนุษย์ ก็ยังอยู่ในระดับดูภาพเรียนรู้ศัพท์เท่านั้น
“ไม่เป็นไรน่า” ซย่าน่าพุ่งตัวไปข้างหน้า เพียงไม่นานก็ปรากฏตัวอยู่ตรงหน้าเย่เลี่ยน แล้วเอื้อมมือไปจับมือเธอ “อย่างน้อยก็พัฒนากว่าเมื่อก่อนมาก ใช่ไหมล่ะ? อีกหน่อยถ้าพี่เห็นเขาโมโหจนตัวสั่น พี่ก็จะไม่เข้าใจผิดอีกว่าเขาถูกแช่แข็งไง…”
“อื้ม!” เย่เลี่ยนยิ้มบางๆ
“ฮู่ว…ฮู่ว…” ในทางเดินบันไดอันมืดมิด สวี่ซูหานกำลังจับราวบันได และพยามเดินขึ้นไปอย่างทุลักทุเล
ความคิดของเธอถือว่ายังชัดเจนอยู่ และเพราะเหตุนี้ ความรู้สึกจากปฏิกิริยาทางกายจึงรุนแรงยิ่งกว่าเดิม
ท่ามกลางความมืด ราวกับเสียงซู่ซ่าที่ดังอยู่รอบตัวกำลังเสียดแทงเข้ามาในสมองของเธอ
แม้จะปิดหูแน่น แต่ก็ยังได้ยินเสียงเลือดในร่างกายตัวเองกำลังไหลเวียน
แม้แต่เสียงหายใจของตัวเองก็ยังน่ารำคาญ จนทำให้เธอแทบคลั่ง
“ทรมานเหลือเกิน…”
สวี่ซูหานไม่รู้ว่าตัวเองเดินขึ้นมาถึงชั้นไหนแล้ว เธอยืนพิงอยู่ตรงมุมโค้งบันได แล้วค่อยๆ ไถลตัวลงตามแนวผนัง ยกมือโอบศีรษะนั่งอยู่ตรงนั้น
คำพูดของซย่าน่าดังสะท้อนในสมองอีกครั้ง “อีกหน่อยก็ชินเอง…”
“นี่คือผลข้างเคียงจากการพยายามรักษาสติปัญญาไว้งั้นหรอ? ถ้าหากสูญเสียสติปัญญา แล้วถูกสัญชาตญาณซอมบี้ควบคุม คงจะไม่ต้องทนทรมานขนาดนี้แล้ว…” สวี่ซูหานอดคิดไม่ได้
แต่พอนึกถึงสีหน้าบิดเบี้ยว และการกระทำที่ฉีกทึ้งคนเป็นๆ ของซอมบี้ธรรมดาพวกนั้นแล้ว สวี่ซูหานก็อดรู้สึกขนลุกไม่ได้
“ไม่…ฉันไม่อยากกลายเป็นแบบนั้น ไม่ได้…”
สวี่ซูหานหดตัวถอยเข้าไปในมุมกำแพง เล็บแหลมคมทั้งสิบครูดกับพื้นจนเกิดเป็นรอยลากยาวสีขาว เสียงดังครืดๆ กำลังกระตุ้นเธอ และลากเธอให้กลับมาจากความคิดอันตรายที่อยากจะยอมแพ้เหล่านั้น
“มนุษย์…ที่เป็น…เพื่อนร่วมสายพันธุ์คนนั้น…” เย่เลี่ยนไม่รู้ว่าควรเรียกสวี่ซูหานอย่างไรดี ภายใจ้สถานการณ์ที่เธอยังไม่กลายร่างเต็มตัว อย่างมากเธอก็ถือเป็นเพื่อนร่วมสายพันธุ์เพียงครึ่งเดียวเท่านั้น…
ซย่าน่านั่งกอดเข่าอยู่ตรงหน้าเย่เลี่ยน แล้วบอกว่า “เธอคนนั้นน่ะหรอ? ตอนนี้ก็คงทำได้แค่ดูพลังจิตตานุภาพของเธอ เท่านี้ก็ถือว่าโชคดีแล้ว เพราะเธอยังมีโอกาสดิ้นรน พี่หลิงใช้ชีวิตกับเรามานานมาก เขาได้เรียนรู้และเข้าใจอะไรตั้งมากมายเลยล่ะ”
“แต่…ก็ยังหวังว่าเธอจะอดทนจนถึงที่สุดนะ” ซย่าน่าเงียบไปหลายวินาที แล้วจู่ๆ น้ำเสียงก็เปลี่ยนไป
“น่ารำคาญจริง น่าน่าเธออย่ามาแย่งสิทธิในการคุมร่างตามใจชอบอย่างนี้สิ…”
“จะเรียกว่าแย่งได้ไง? ก็ครึ่งหนึ่งเป็นของฉันมาแต่ไหนแต่ไรแล้วนี่”
“ชิ ครึ่งหนึ่งของเธอเป็นร่างดวงจิตไม่ใช่รึไงล่ะ? ถ้าอย่างนั้นเธอลองถอดเสื้อผ้าด้วยมือข้างเดียวดูไหมล่ะ?”
“ก็เธอเล่นดึงเสื้อผ้าอีกฝั่งของฉันไว้ แล้วฉันจะถอดได้ยังไงเล่า!”
ซย่าน่าทะเลาะกับตัวเองอย่างดุเดือด แถมมือไม้ยังอยู่ไม่นิ่งอีก เย่เลี่ยนที่นั่งอยู่ตรงนั้นได้แต่ขดถอยช้าๆ แล้วยกมือปิดหูให้หลิงม่อเงียบๆ
ชั่วพริบตา เหตุการณ์ในห้องก็ชุลมุนวุ่นวายครั้งใหญ่ หลี่ย่าหลิยกำลังทำลายเบาะรองนั่งทั้งหมดอย่างสุดกำลัง ส่วนซย่าน่าก็ทะเลาะกับตัวเองอย่างไม่มีใครยอมใคร ท่ามกลางปุยนุ่นที่ลอยกระจายทั่วห้อง หลิงม่อยังคงนอนหลับตาพริ้มอยู่บนเตียงโดยไม่รับรู้อะไรทั้งสิ้น…
ดักแด้ตัวโตที่อยู่ตรงมุมห้องดิ้นขลุกขลักเล็กน้อย จากนั้นก็แน่นิ่งไป…
“โครม เพล้ง!”
เสียงบานกระจกระเบิดดังขึ้นอีกครั้ง ไอร้อนปนกลุ่มควันและเปลวเพลิง ม้วนตัวเป็นคลื่นซัดออกไปสู่ภายนอกอาคาร
ตอนนี้ ห้างสรรพสินค้าทั้งห้างได้กลายสภาพเป็นเตาเผาขนาดยักษ์ไปแล้ว ควันสีดำมากมายลอยคลุ้งสู่ภายนอกอย่างต่อเนื่อง
อาคารก่อสร้างสองตึกที่อยู่ติดกันถูกไฟลุกลาม จนตอนนี้ไฟลุกท่วมไปแล้ว
บนถนนแออัดไปด้วยเหล่าซอมบี้ที่ถูกดึงดูดมาจากทุกสารทิศ ทว่านอกจากซอมบี้ที่วิ่งออกมาจากในห้างฯ ในสภาพมนุษย์ไฟไม่กี่ตัวแล้ว ที่เหลือไม่มีใครเข้าใกล้กองเพลิงก่อนเลยซักตัว
เปลวเพลิงสามารถดึงดูดให้พวกมันเข้ามาใกล้ แต่แค่เปลวเพลิงธรรมดาไม่มากพอที่จะทำให้พวกมันเหมือนแมงเม่าบินเข้ากองไผได้อีกต่อไป
นอกเหนือจากว่าจะมีเหยื่อ…
แต่เห็นชัดว่าเพื่อนร่วมสายพันธุ์ที่ถูกไฟคลอกไปครึ่งตัวไร้แรงดึงดูดมากพอ สัญชาตญาณการเอาตัวรอดเฮือกสุกท้ายก่อนตายกระตุ้นให้พวกมันกระโจนเข้าสู่กลางวงฝูงซอมบี้ แต่กลับไม่มีซอมบี้ตัวไหนอยากยุ่งกับพวกมัน
ส่วนมากซอมบี้ที่ได้รับผลกรรม มักเป็นตัวที่อ่อนแอที่สุดในฝูง
เหตุการณ์ชุลมุนเล็กๆ นี้เกิดขึ้นไม่นาน ไม่ได้ก่อให้เกิดเหตุโกลาหลครั้งใหญ่แต่อย่างใด
“เคร้ง!”
ณ ประตูหลังของห้างสรรพสินค้า มีสิ่งของจำวนวนมากกองหนึ่งหล่นลงมาจากหน้าต่างชั้นบน
กองวัตถุสีดำที่ไหม้เกรียมกองนี้ดิ้นขลุกขลักเล็กน้อย แล้วจู่ๆ ก็มีมือไหม้เกรียมข้างหนึ่งผุดขึ้นมา
บนมือข้างนี้เต็มไปด้วยแผลพุพอง ใต้ผิวหนังที่ถูกเผาจนเสียหายเผยให้เห็นกล้ามเนื้อสีชมพู นิ้วมือบางส่วนถึงขั้นกลายเป็นเถ้าถ่านไปแล้วด้วยซ้ำ
ทันทีที่มือข้างนี้ชูขึ้น มันก็ขยับนิ้วอยู่กลางอากาศสองสามที จากนั้นก็จิกพื้น
เมื่อมือข้างนี้เคลื่อนไปข้างหน้าช้าๆ เงาร่างดำเกรียมก็ค่อยๆ โผล่ออกมาจากกองวัตถุสีดำเหล่านั้น
“แค่ก…”
มันฝืนคลานออกมาจนสำเร็จ พลางเปล่งเสียงประหลาดน่าขนลุกออกมาจากลำคอ
ไม่เพียงแค่มือข้างนั้น ทั่วทั้งร่างกายของมันก็ถูกเผาจนมีสภาพเดียวกัน
หัวของมันโล้นไร้เส้นผม ดวงตาปูดโปนออกมาทั้งสองข้าง ราวกับเหลือแค่ลูกตาที่กลอกไปมา
ม่านตายังคงเป็นสีม่วงดังเดิม แต่ส่วนตาขาวกลับแปรเปลี่ยนเป็นสีแดงทั้งหมด
ด้านล่างริมฝีปากที่ถูกเผาจนเนื้อหายไปหนึ่งแถบ เผยให้เห็นฟันที่ขาวจนน่าขนลุก
เนื้อหนังก้อนหนึ่งยังห้อยติดอยู่ตรงแก้มซ้ายของมัน มันยกมือขึ้น แล้วใช้เล็บแหลมๆ ลูบคลำลงมาจากส่วนขมับ
ขณะกำลังลูบลง ก็เกิดสะเก็ดไฟขึ้นเล็กน้อย เมื่อมันคว้าเนื้อก้อนนั้นได้ ก็ออกแรงดึงอย่างแรง
ใบหน้าที่เดิมซูบตอบมากอยู่แล้วยิ่งยุบลงไปมากกว่าเดิม ยิ่งทำให้หน้าตาของมันเพิ่มระดับความน่ากลัวขึ้นไปอีก
ผิวกายที่ยากตัดขาดด้วยมีด กลับถูกไฟเผาจนมีสภาพอย่างนี้
ถ้าหากไม่ใช่ว่าเป็นซอมบี้ราชา มันคงตายอยู่ท่ามกลางทะเลเพลิงไปนานแล้ว
“แค่ก! แค่ก!”
ทันใดนั้น มันอ้าปากออก แล้วพยายามใช้ลำคอที่ผ่านการสำลักควันมาอย่างหนักเปล่งเสียงแหบ
ผิวหนังบนใบหน้าที่ตอนแรกยังเป็นแผ่นเดียวกันพลันฉีกออก เลือดเหนียวข้นไหลออกจากบาดแผลเหล่านั้น ดูน่าขนลุกสุดขีด
“หยุดร้องได้แล้ว” ทันใดนั้นเสียงพูดหนึ่งก็ดังขึ้น
ซอมบี้นกรีบหันขวับไปมองยังทิศที่มาของเสียง
ตรงช่องแคบมืดๆ ระหว่างอาคารสองหลังนั่น ไม่รู้ว่ามีคนมายืนอยู่ตรงนั้นตั้งแต่เมื่อไหร่
รูปร่างไม่สูง แลดูบอบบาง มีเพียงส่วนหัวเท่านั้นที่ดูใหญ่ผิดปกติ
—————————————————————————–