บทที่ 683 วิ่งหัวโขกกำแพงเข้าแล้ว โดย Ink Stone_Fantasy
“ฉันมาแล้ว” เงาร่างนั้นพูด
ซอมบี้นกยังไม่ทันผิดปาก ก็รีบคลานไปทางเงาร่างนั้นทันที
“ไม่คิดเลยว่านายจะบาดเจ็บถึงขนาดนี้ เพิ่งจะแยกจากกันไม่นานเอง…”
ขณะเดียวกัน เงาร่างนั้นเดินเข้ามาแล้วนั่งลงตรงหน้าซอมบี้นก จากนั้นก็ยกมือวางบนหัวซอมบี้นก
มองจากมุมนี้ จะเห็นมือของเงาร่างนั้นยื่นออกมาจากเงามืดพอดี หลังมือที่ปรากฏอยู่ใต้แสงอาทิตย์ เผยให้เห็นผิวซีดขาวกับเส้นเลือดสีแดงชัดเจน และยิ่งดูชัดเจนขึ้นเมื่อเปรียบเทียบกับผิวสีดำไหม้เกรียมของซอมบี้นก
“เป็นฝีมือของเพื่อนร่วมสายพันธุ์?” มือเรียบบางของเงาร่างลูบไปลูบมาอยู่บนหัวซอมบี้นก เสียง “ครืดๆ” ดังชวนเสียวฟัน
ซอมบี้นกอ้าปากทำเสียงอู้อี้ ผ่านไปครู่หนึ่งจึงพูดออกมาได้ในที่สุด “มนุษย์…กับ…เพื่อนร่วมสายพันธุ์…”
“แยกกันมา?” มือของเงาร่างสะดุดกึกชั่วขณะ
ซอมบี้นกส่ายหัว แล้วทำเสียงอู้อี้อีกสองสามคำ
“มาด้วยกันอย่างนั้นหรอ?” เงาร่างแปลกใจเล็กน้อย
“มนุษย์…ผู้ชาย…” ซอมบี้นกพูดอย่างยากลำบาก
เทียบกับเพื่อนร่วมสายพันธุ์หญิงเหล่านั้นแล้ว ซอมบี้นกกลับจดจำมนุษย์คนนั้นได้ขึ้นใจยิ่งกว่า
เพราะแม้แต่เพื่อนร่วมสายพันธุ์ระดับธรรมธรรมดาตัวนั้นที่ทำมันแทบคลั่ง แล้วยังมีเพื่อนร่วมสายพันธุ์ตัวนั้นที่เข้ามาวางเพลิงมันในตอนสุดท้าย ล้วนแล้วแต่มีกลิ่นอายของเจ้ามนุษย์คนนั้นติดอยู่
เวลานี้อาหารมื้อใหญ่ไม่สำคัญอีกต่อไป มันอยากจะฉีกทึ้งร่างมนุษย์คนนั้นให้เป็นชิ้นๆ ก่อน
แต่ถูกไฟเผาจนมีสภาพกึ่งเป็นกึ่งตายอย่างนี้ ทำให้มันไม่สามารตามไล่ล่าได้ชั่วคราว
“อึกๆ…”
ซอมบี้นกพยายามแหงนคอขึ้น แล้วเอื้อมมือไปคว้าแขนเงาร่าง
ผิวหนังที่ติดกันพลันฉีกขาดออกจากันทีละนิดๆ เหมือนกำลังถูกลอกผิวอย่างไรอย่างนั้น
“ฉันรู้แล้ว” มือของเงาร่างยังวางอยู่บนหัวซอมบี้นก เพื่อจำกัดให้มันเคลื่อนไหวอยู่ที่เดิม
หลังจากลูบไล้นิ้วมือบนผิวหนังไหม้เกรียมสองสามครั้ง มือซูบผอมของเงาร่างก็ค่อยๆ ลูบไล้ลงด้านหลังศีรษะของซอมบี้นก แล้วแทงเข้าไปในท้ายทอยทันที
ซอมบี้นกร่างกายค้างแข็ง มันอ้าปากเปล่งเสียงร้องประหลาดฟังไม่เป็นภาษา
ขณะเดียวกัน มือของมันที่ค่างเติ่งอยู่กลางอากาศและห่างจากแขนของเงาร่างไม่กี่เซนติเมตรก็กำลังสั่นกระตุกอยู่
“นายหมดประโยชน์แล้ว หากจะฟื้นตัวก็ไม่รู้ต้องใช้เวลานานขนาดไหน ตามกฎแห่งการอยู่รอดของพวกเรา นายสมควรถูกกำจัด มันเป็นกฎธรรมชาติ”
เงาร่างพูดด้วยน้ำเสียงเรียบ ขณะเดียวกับที่กดนิ้วมือให้แทงลึกเข้าไปอีก
ระหว่างนั้น ร่างกายของซอมบี้นกกระตุกสั่นตลอด
เหมือนเป็นทังปฏิกิริยาตอบสนองตามจิตใต้สำนึก และเป็นกาสะท้อนให้เห็นถึงอารมณ์ของซอมบี้นกด้วย…ถ้าหากมันมีอารมณ์แบบนี้ล่ะก็นะ
เมื่อเงาร่างดึงมือออกช้าๆ ร่างกายของซอมบี้นกก็ยืดเกร็งไปด้วย
พรวด!
หยาดเลือดและของเหลวมากมายหลายชนิดพุ่งกระจายกลางอากาศ พร้อมกับที่ประกายสีม่วงระยิบหล่นเข้ามาในฝ่ามือของเงาร่าง
“นายอ่อนแอเกินไปแล้ว แต่อย่างน้อยนายก็จะกลายเป็นเสาหลักที่ทำให้ฉันแข็งแกร่งขึ้นได้” เงาร่างใข้มือที่เปียกชุ่มไปด้วยเลือดตบหัวซอมบี้นกเบาๆ
เมื่อเงาร่างลุกขึ้นยืน ซอมบี้นกก็นอนหมดแรงอยู่บนพื้น โดยที่ดวงตาปูดโปนคู่นั้นยังเบิกค้างอยู่ แต่กลับไร้วี่แววของการมีชีวิตอยู่
“น่าเสียดายจริง เนื้อกินไม่ได้ซะแล้ว…”
เงาร่างถอนหายใจเสียงเบา
เมื่อแสงอาทิตย์ยามเย็นที่สาดเฉียงลงมาเริ่มเลือนหายไปภายในซอยแคบๆ นั้น เงาร่างก็ทอดมองไปทางเมือง
“มนุษย์แบบไหนกัน ที่อันตรายถึงเพียงนี้…” เงาร่างพูดพึมพำกับตัวเอง
ในเวลาเดียวกันนั้น จู่ๆ หลิงม่อที่กำลังหลับลึกก็สูดหายใจลึก แล้วเบิกตาโพลงผุดลุกขึ้นนั่งทันที
“…เป็นอะไร…ไป?” เย่เลี่ยนจ้องเขาด้วยความตกใจ แล้วถาม
สีหน้าของหลิงม่อดูแย่มาก บนหน้าผากก็มีเหงื่อผุดพรายอาบไปทั่ว
เขานั่งเหม่อลอยอยู่ครู่หนึ่ง จนเย่เลี่ยนยื่นมือไปแตะหน้าผาก เขาจึงสะดุ้งรู้สึกตัว
“ไม่เป็นไร…” หลิงม่อยกมือขึ้นลูบหน้าลูบตา แล้วกระพริบตาถี่ๆ
“ฝันร้าย?” หลิงม่อยังคงมึนๆ อยู่เล็กน้อย
เมื่อกี้ในความมืด เขารู้สึกเหมือนเห็นดวงตาคู่หนึ่งอยู่ในสมองของตัวเอง
ความรู้สึกที่เหมือนถูกแอบมองนั่นสมจริงมาก จนทำให้หลิงม่อหวาดหวั่นเหงื่อไหลท่วมตัว
“คงอ่านสิ่งที่อยู่ในใจไม่ได้หรอกมั้ง…” หลิงม่อพยายามข่มใจที่เต้นรัวเร็วอย่างบ้าคลั่งของตัวเอง แล้วคิด
และไม่รู้ทำไม ในวินาทีที่เขาสะดุ้งตื่นขึ้นมา เขากลับรู้สึกเหมือนตัวเองมองเห็นราชินีแมงมุม…
ราวกับว่าเธอซ่อนเร้นอยู่ภายในร่างกายของเขามาโดยตลอด และเมื่อใดที่มีแรงกระตุ้นจากภายนอก เธอก็จะโผล่มา
ทำไมรู้สึกเหมือน…ถูกรุกล้ำอาณาเขต?
หลิงม่อขนลุก รีบยกมือขึ้นลูบคลำทั่วร่างกาย แล้วปลอบใจตัวเอง “ยิ่งเป็นไปไม่ได้ใหญ่เลย ตัวเราจะมีที่กว้างขนาดนั้นให้ยัยราชินีแมงมุมซ่อนได้ที่ไหนกัน…”
“ไม่เป็นไร…จริงๆ ใช่ไหม?” เย่เลี่ยนอดถามขึ้นอีกครั้งไม่ได้
พอลืมตาตื่นมา หลิงม่อก็จมอยู่กับความคิดแล้วลูบๆ คลำๆ ร่างกายตัวเองอยู่อย่างนั้น ซ้ำสีหน้าก็เหมือนคนจิตใจไม่อยู่กับร่องกับรอย เย่เลี่ยนย่อมไม่สบายใจ
“ไม่เป็นไร ไม่เป็นไร…” หลิงม่อยิ้มฝืด เรื่องที่ยังไม่ชัดเจนอย่างนี้ อย่าพูดให้เย่เลี่ยนไม่สบายใจจะดีกว่า
เขาหันไปมองภายในห้อง แล้วก็ตะลึงไปทันที
ยัยสองคนนั้นตั้งใจจะรื้อห้องหรือไงเนี่ย!
ไม่อยากเชื่อว่าตัวเองจะหลับอยู่ท่ามกลางซากปรักหักพังเหล่านี้ได้ ไม่น่าล่ะถึงได้ฝันร้าย…
“พวกเธอ…” เย่เลี่ยนอึกอัก พยายามอธิบายเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น
“ฉันรู้” หลิงม่อยกมือตบหน้าผากแล้วบอกว่า “ยังอัพเกรดไม่เสร็จกันสินะ”
ในระหว่างการอัพเกรด ซอมบี้จะถูกสัญชาตญาณเข้าครอบงำโดยสมบูรณ์ พวกเธอแค่พังห้องนี้ไม่ได้พังทั้งตึก เท่านี้ก็ถือว่าพยายามข่มตัวเองเต็มที่แล้ว
ถ้าหากอัพเกรดกันทีละคน หลิงม่อยังสามารถอาศัยสายสัมพันธ์ทางจิตเพื่อควบคุมและปลอบโยนได้
แต่พอต้องอัพเกรดพร้อมกันอย่างนี้ หลิงม่อเองก็รับมือไม่ไหวเหมือนกัน…
“พวกเราอยู่ในโรงแรมนั่นหรอ?” หลิงม่อพยายามนั่งตัวตรงอย่างทุลักทุเล แล้วมองออกไปข้างนอก
“อื้ม…” เย่เลี่ยนพยักหน้า
“แล้ว…สวี่ซูหานที่อยู่ในสภาพกึ่งกลายร่างเป็นอย่างไรบ้างแล้ว?” หลิงม่อนึกถึง “แขก” ของตัวเองในครั้งนี้ขึ้นมาได้ ในแผนการเดิมคือเขาจะพาพวกเย่เลี่ยนกลับมาหลังจากที่พวกเธออัพเกรดเสร็จแล้ว แต่ก็ไม่คิดว่าจะเสียเวลาไปมากขนาดนี้
ไม่รู้ว่าสวี่ซูหานจะอดทนไว้ได้หรือเปล่า แต่ตามการคาดเดาในตอนแรกของหลิงม่อ น่าจะไม่มีปัญหาอะไรมากนักถึงจะถูก…
“อย่างมาก จากกลายร่าง 50% ก็เพิ่มเป็นกลายร่าง 80% ล่ะมั้ง? เอาเป็นว่าหากยังไม่ถึง 100% ก็ยังพอมีโอกาสดึงกลับมาได้อยู่…”
หลิงม่อรู้สึกมึนหัวเล็กน้อย แต่ความคิดกลับชัดเจนแล้ว
ช่วยไม่ได้ ก็เขาถูกทำให้สะดุ้งตื่น…
“ดูเหมือน…” เย่เลี่ยนนึกย้อนไปถึงสภาพของสวี่ซูหานที่เพิ่งเห็นเมื่อกี้ ถึงแม้เธอจะดูทั้งตื่นตระหนกและหวาดกลัว แล้วยังยกมือกุมหัวไว้ แต่…
“ยังดี…อยู่มั้ง…” เย่เลี่ยนพูดอย่างไม่ค่อยมั่นใจ
“ฉันไปดูหน่อยแล้วกัน”
หลิงใอคว้าแขนเย่เลี่ยนแล้วดึงตัวขึ้น จากนั้นก็เดินตุปัดตุเป๋ไปทางประตูโดยลำพัง “เด็กโง่ เธออยู่เฝ้าพวกนั้นที่นี่นะ อย่าปล่อยให้พังประตูหน้าต่างหมดล่ะ”
ตอนที่เดินผ่านซย่าน่า หลิงม่อยกมือขึ้นตบหัวเธอเบาๆ “หยุดใช้มือซ้ายมือขวาสลับกันหยิกแก้มตัวเองได้แล้ว…ยอมๆ กันเถอะ พวกเธอมีแรงเท่ากัน หยิกจนบวมก็ตัดสินแพ้ชนะไม่ได้หรอกนะ”
“อื้อๆๆ…” ซย่าน่าทำเสียงอู้อี้ๆ ฟังไม่ได้ศัพท์
“ไว้พวกเธอตัดสินได้แล้วว่าใครมีสิทธิ์พูด แล้วค่อยมาพูดกับฉันแล้วกัน…”
หลิงม่อดึงประตูห้อง แล้วเดินออกไปพร้อมดึงประตูปิดด้วย
ตอนนี้ โถงทางเดินที่เขาเห็นอยู่ตรงหน้า ไม่เพียงมืดมิด แต่ยังยุบและนูนสูงไม่เท่ากันด้วย แม้แต่กำแพงก็ยังเคลื่อนไหวเหมือนระลอกคลื่น ความรู้สึกเหมือนคนเมาอย่างไรอย่างนั้น
ทว่าความคิดที่ชัดเจนผิดปกติ กลับทำให้หลิงม่อรู้สึกแปลกใจ
ร่างกายยังไม่ฟื้นตัวจากความเหน็ดเหนื่อย แต่พลังจิตกลับฟื้นเป็นปกติบางส่วนแล้ว ความรู้สึกที่ขัดแย้งกันอย่างนี้ช่างน่าแปลกใจ
“มู่เฉิน? สวี่ซูหาน?”
หลิงม่อยกมือวางบนกำแพงประคองตัวเองเดินไป พลางตะโกนเรียก
“อ้าว นายตื่นแล้วหรอ?” เดินไปได้ไม่ไกล มู่เฉินก็โผล่ออกมาจากสุดทางเดิน แล้วตะโกนอย่างแปลกใจ
หลิงม่อสะบัดหัวไปมาอยู่หลายที กว่าจะมองเห็นเงาร่างเลือนร่างนั้นได้อย่างชัดเจน
ขณะที่มู่เฉินเดินเข้าไปหาหลิงม่อ เขาก็คิดว่าในที่สุดก็มีโอกาสแล้ว จึงรีบถามอย่างไม่รีรอ “ใช่แล้ว ฉันอยากถามตั้งนานแล้ว ตกลงว่าไฟนั่นมันยังไงกันแน่ แล้วนายไปหลับกลางทางได้ยังไง แล้วยังมีไอ้ลูกบอลกลม…”
“สวี่ซูหานล่ะ?” หลิงม่อตัตดบทอย่างไร้เยื่อใย
มู่เฉินอึ้ง แล้วตอบว่า “ฉันก็กำลังตามหาอยู่เหมือนกัน ที่นี่ใหญ่มาก แล้วเธอก็โมโหร้ายมากด้วย ฉันเลยไม่กล้าตะโกนเรียก…”
“ถ้าอย่างนั้นก็ตามหาต่อ แยกกันหา”
หลิงม่อเดินต่อ แล้วพูดเสริมว่า “ฉันต้องช่วยเธอจัดการ…”
“อ้อ…” มู่เฉินเดินไปในทางตรงข้ามได้ไม่ถึงสองก้าว แล้วจู่ๆ ก็ได้สติ แล้วหันกลับมาถามว่า “ไฟนั่น…” เขาพูดได้ครึ่งเดียว ก็ยกเท้ากระทืบปึงปัง “ช่างเถอะ! ไว้ถามคราวหน้าก็ได้!”
“ทำไมมีแค่ฉันคนเดียวที่ไม่รู้เรื่องรู้ราวอะไรเลยซักอย่าง!”
มู่เฉินคำรามอย่างขัดใจ
แล้วเสียงตวาดด้วยความโมโหหนึ่งก็ดังสะท้อนอยู่ในตึกใหญ่ “หุบปากซะ!”
“เสียงมาแล้ว รีบตามหาเร็ว!” หลิงม่อโบกมือโดยไม่หันมอง
มู่เฉินทำหน้าเหมือนจะร้องไห้อีกครั้ง ทำไมเรื่องซวยๆ ถึงได้มาตกอยู่ที่เขาตลอดเลยนะ…
“อึก!”
สวี่ซูหานยกมือขึ้นกุมศีรษะอยู่ในมุมมืด เธอสะบัดหัวไปมาอย่างหงุดหงิด
ทรมานเหลือเกิน…แทนที่จะทนอยู่อย่างนี้ สู้เลือก…
ไม่ ไม่!
เมื่อดิ่งลงไปในเหวลึก ก็จะไม่มีโอกาสปีนขึ้นมาอีกแล้วจริงๆ…
“สวี่ซูหาน?”
เธอนิ่งอึ้ง จากนั้นก็ค่อยๆ เงยหน้าขึ้นจากเขา มองไปยังบันไดที่อยู่ในเงามืด
“หลิงม่อ?”
เสียงเมื่อกี้ ฟังดูคุ้นหูจัง…
“ใช่แล้ว หลิงม่อเราได้!”
สวี่ซูหานพยายามลุกขึ้นอย่างยากลำบาก เธอพุ่งตัวไปที่ปากบันไดด้วยแรงเฮือกเดียว จากนั้นก็เดินเซลงไปข้างล่างทันที
“สวี่ซูหาน เธออยู่ข้างบนนั้นใช่ไหม?”
เสียงที่ทำให้เธอแทบคลั่งเมื่อกี้ พอเปลี่ยนเป็นออกมาจากปากหลิงม่อ กลับทำให้สวี่ซูหานรู้สึเหมือนมองเห็นความหวัง
ถ้าหากมู่เฉินรู้ เขาคงอยากจะวิ่งเอาหัวโขกกำแพงเพราะความสองมาตรฐานนี้แน่ๆ
หลิงม่อจับราวบันได แล้วสาวเท้ายาวบ้างสั้นบ้างขึ้นไปข้างบน
หลังจับทิศจากการฟังเสียงแล้ว เขาก็สัมผัสได้ถึงดวงแสงแห่งจิตของสวี่ซูหานได้รางๆ
แต่คลื่นดวงจิตนั่นรุนแรงมาก กอปรกับร่างกายของเขาตอนนี้ไม่ได้อยู่ในสภาพดีมากนัก ดังนั้นเขาจึงระบุตำแหน่งชัดเจนไม่ได้
ช่วยไม่ได้ คงต้องแค่ใช้วิธีดั้งเดิม…
คนหนึ่งตะโกนเรียก อีกคนระบุตำแหน่งจากเสียงที่ได้ยิน ผ่านไปไม่นานทั้งสองก็เจอกันกลางทางในที่สุด
“หลิงม่อ…” ทันทีที่เห็นหน้ากัน สวี่ซูหานก็พุ่งเข้าไปหาเขาอย่างควบคุมตัวเองไม่ได้
หลิงม่อสายตาพร่าเลือนเห็นเพียงหญิงสาวดวงตาแดงก่ำคนหนึ่งกำลังวิ่งมาทางตัวเอง ก็สะดุ้งตกใจ และเบี่ยงตัวหลบออกด้านข้างตามสัญชาตญาณทันที
ปรากฏว่าในขณะที่เขามองดูสวี่ซูหานวิ่งผ่านตัวเองไป แล้วเสียง “ตุบ” ก็ดังตามมาติดๆ พื้นอาคารสั่นสะเทือนเล็กน้อย
“เอ่อ…เธอไม่เป็นไรนะ?” หลิงม่อถามอย่างเก้ๆ กังๆ
สวี่ซูหานยืนตัวติดกำแพง พูดเสียงแหบๆ ว่า “คนเลว…”
—————————————————————————–