“เอ่อ แค่กๆ เจ้า เจ้าบ่าวน่าตายนี้ เจ้า เจ้าหัวเราะอันใด!”
หนานกงจวิ้นซีหน้าแดงอย่างหงุดหงิด ทั้งไอ ทั้งจ้องเล่อเหยาเหยาพลางเอ่ยพูด
แม้เขาจะเดาได้ว่าเล่อเหยาเหยาหัวเราะเพราะเหตุใด
เล่อเหยาเหยาได้ยินคำพูดของหนานกงจวิ้นซี เพียงกระพริบตางดงามแวววาวชั่วครู่ ก่อนเอ่ยด้วยสีหน้าไร้เดียงสาว่า
“องค์ชายเจ็ด บ่าวไม่ได้หัวเราะท่านนะ!”
ฮึ ๆ! ฉันหัวเราะนาย! แล้วยังไง!
หนานกงจวิ้นซีได้ยินคำพูดของเล่อเหยาเหยา สีหน้าโมโหยิ่งขึ้น แต่ก็ไม่รู้ว่าควรพูดเช่นไรดี
เพียงใช้สายตาพิฆาตมองเล่อเหยาเหยาไม่หยุด
ส่วนเล่อเหยาเหยาหันหน้ากลับออกไปทำเป็นมองไม่เห็น
หลังเรื่องเล็กน้อยนี้ผ่านไป หนานกงจวิ้นซีเพียงร้องฮึด้วยเสียงเย็นชา เริ่มกินมื้อเย็นอีกครั้ง
ครั้งนี้ เขากินอย่างเอร็ดอร่อย พลางเสนอความคิดเห็นอยู่ตลอดเวลา
“สวรรค์! หัวสิงโตน้ำแดงนี้ทำได้ไม่เลวจริงๆ ซี่โครงหมูเปรี้ยวหวานก็ไม่เลว ทั้งเปรี้ยวทั้งหวานนี่คืออันใด พอเข้าปากละลายและไม่เลี่ยน อร่อยยิ่งนัก ”
คำเอ่ยชมไม่หยุดปาก รวมเข้ากับความสุขบนใบหน้าหล่อเหลา ช่างทำให้คนน้ำลายไหลเสียจริง และเล่อเหยาเหยาก็ไม่ยกเว้นเช่นกัน
แม้เธอจะพยายามอย่างมากไม่มองหน้าของหนานกงจวิ้นซี แต่หูกลับได้ยินคำอธิบายของเขาดังไม่หยุด ภายใน
สมองปรากฎอาหารอร่อยขึ้นมามากมายและจมูกก็ได้กลิ่นหอมของอาหารโชยมาไม่หยุด
สวรรค์! เธออยากกิน อยากกินเสียจริง…
“จ๊อก ๆ”
คล้ายเป็นการตอบกลับความคิดในใจของเล่อเหยาเหยา ท้องเธอส่งเสียงดังและท่าทางกลืนน้ำลายไม่หยุดนั้น ดูแล้วทั้งน่ารักและน่าสงสาร
หนานกงจวิ้นซีที่อยู่ตรงข้ามเห็นเข้า ยิ้มกว้างที่มุมปากยิ่งขึ้น
รู้สึกว่าในที่สุดตนก็สามารถกอบกู้เมืองกลับมาได้อีกครั้ง กระทั่งปิดบังดวงตาดีใจไว้ไม่ได้
ฮึ!
คิดจะสู้กับเขาหรือ! ไม่มีทาง!
ขณะที่หนานกงจวิ้นซีคิดอย่างภูมิใจ คิดไม่ถึง เหลิ่งจวิ้นอวี๋ที่นั่งอยู่ตรงข้ามพลันเอ่ยปากขึ้น อีกทั้งสิ่งที่พูดออกมา ทำให้สองคนตรงนั้นตกตะลึง
“นั่งลงรับประทานด้วยกันเถิด!”
ประโยคนี้ของเหลิ่งจวิ้นอวี๋แผ่วเบายิ่งนัก หากไม่ฟังให้ดี ยังคิดว่าตนเองฟังผิดไป
ตอนเริ่มแรกเล่อเหยาเหยาก็คิดว่าเมื่อครู่เพราะเพียงหิวมากเกินไป จึงเกิดภาพลวงตา
แต่ว่าเมื่อเธอเงยหน้าขึ้น เห็นดวงตาเย็นชาเรียบเฉยของพญายมคู่นั้น และใบหน้าแปลกใจราวไม่เชื่อสายตาของ
หนานกงจวิ้นซี เล่อเหยาเหยาจึงพบว่าตนเองไม่ได้ฟังผิดไป
เช่นนั้น เมื่อครู่พญายมพูดจริงหรือ! เขาให้เธอนั่งลงทานอาหารด้วย!
สวรรค์!
นี่…นี่มัน แม้เธอจะหิวอย่างมาก แต่รู้ว่าตนอยู่ในสถานะใด
ภายในวังอ๋อง เธอเป็นเพียงบ่าวรับใช้ที่ต่ำต้อยที่สุด และสองคนตรงนี้ต่างมีสถานะสูงส่ง เมื่อเทียบกับเธอ พวกเขาเหมือนฟ้า ส่วนเธอเหมือนดิน
แต่ตอนนี้ชายหนุ่มดุจเทพเซียนนี้ กลับเอ่ยปาก ให้เธอนั่งลงร่วมทานอาหาร!
สวรรค์!
เล่อเหยาเหยาคิดดูต่างรู้สึกตกใจที่ได้รับความเมตตาเช่นนี้
แต่ว่ามากที่สุดคงเป็นความตื่นตะลึง แปลกใจ และซาบซึ้ง
หรือพญายมจะได้ยินเสียงร้องประท้วงในท้องของเธอ ดังนั้นจึงให้เธอนั่งลงทานอาหาร!
แม้จะขวยเขินบางส่วน แต่จำต้องเอ่ยว่าเล่อเหยาเหยาเบิกบานใจอย่างยิ่ง อีกทั้งแปลกใจเล็กน้อย ที่แท้พญายมก็รู้ใจผู้อื่นเช่นกัน!
รู้จักเห็นใจบ่าวรับใช้ ไม่เลวเสียจริง!
ขณะที่เล่อเหยาเหยาคิดอยู่ในใจ ทางด้านหนานกงจวิ้นซีหลังจากหายตกตะลึงในตอนแรกแล้ว ก็ได้สติกลับมา พลันเอ่ยกับเหลิ่งจวิ้นอวี๋ว่า
“ศิษย์พี่ใหญ่ ‘เขา’เป็นเพียง…” ยังเอ่ยคำว่าบ่าวรับใช้ไม่จบ ก็ถูกสายตาเย็นชาของเหลิ่งจวิ้นอวี๋ทำให้ตกใจ
ริมฝีปากแดงของหนานกงจวิ้นซีอ้าขึ้นเล็กน้อย ดวงตาดุจดอกท้อเบิกกว้างขึ้น
ภายในแววตาเผยให้เห็นความแปลกใจและไม่เชื่อสายตาอย่างปิดไม่มิด
เพราะเขารู้สึกเหลือเชื่อเสียจริง!
เหตุใดเขากลับมาครั้งนี้ จึงรู้สึกว่าศิษย์พี่ใหญ่เปลี่ยนไป!
อีกทั้งศิษย์พี่ใหญ่เปลี่ยนแปลงไปอย่างมากจริงๆ
ยกตัวอย่างเช่น เมื่อก่อนศิษย์พี่ใหญ่ไม่ชอบยิ้ม ตอนนี้กลับยิ้มออกมา
เมื่อก่อนศิษย์พี่ใหญ่เย็นชากับทุกคน แต่ตอนนี้เขากลับห่วงใย ‘เขา’ ยิ่งนัก แม้ ‘เขา’ คนนั้นจะเป็นเพียงขันทีน้อยตรงหน้านี้
แม้หนานกงจวิ้นซียังคิดว่า ศิษย์พี่ใหญ่เช่นนี้ดูเป็นคนที่มีเลือดเนื้อมากกว่าเมื่อก่อนยิ่งนัก ทว่าภายในจิตใต้สำนึก ของเขากลับคิดว่าแปลกประหลาด
เหตุใดศิษย์พี่ใหญ่จึงเย็นชากับผู้อื่น ยกเว้นขันทีน้อยนี้ผู้เดียว! แม้จะพูดว่าขันทีน้อยมีความสามารถหลายส่วน อีกทั้งรูปร่างหน้าตาก็ไม่เลว ยิ้มขึ้นมาก็น่ารักอย่างยิ่ง
หรือว่าศิษย์พี่ใหญ่ชอบพอขันทีน้อยผู้นี้!
หนานกงจวิ้นซีถูกความคิดนี้พลันผุดขึ้นมาในใจ ทำให้หวาดผวา ดวงตาดุจดอกท้อพลันเบิกกว้าง มองเล่อเหยาเหยาและเหลิ่งจวิ้นอวี๋สลับกันไปมาไม่หยุด
ยิ่งมองเหมือนระหว่างพวกเขาสองคนมีอะไรบางอย่าง
เพราะเขาเห็นขันทีน้อยนี้แอบมองศิษย์พี่ใหญ่ และศิษย์พี่ใหญ่ก็ปฏิบัติกับขันทีน้อยผู้นี้พิเศษยิ่งนัก
พอคิดถึงตรงนี้ สายตาที่หนานกงจวิ้นซีมองเล่อเหยาเหยาและเหลิ่งจวิ้นอวี๋ยิ่งแปลกประหลาดยิ่งขึ้น
น่าเสียดายที่เวลานี้จิตใจทั้งหมดของเล่อเหยาเหยาจดจ่ออยู่กับเหลิ่งจวิ้นอวี๋ จึงไม่สังเกตถึงสีหน้าแปลกประหลาดของหนานกงจวิ้นซี
ส่วนเหลิ่งจวิ้นอวี๋ก็จ้องไปที่เล่อเหยาเหยา อาจเพราะรับรู้ถึงความแปลกใจของเล่อเหยาเหยา จึงเพียงยิ้มมุมปากเบาๆ ก่อนพลันเอ่ยปากขึ้นว่า
“นั่งลงเถอะ!”
น้ำเสียงของเหลิ่งจวิ้นอวี๋แม้จะเบา แต่กลับแฝงด้วยความหมายที่ทำให้คนยากที่จะปฏิเสธ
เมื่อได้ยิน เล่อเหยาเหยาตกตะลึงเล็กน้อย แม้เริ่มแรก เธอคิดจะเอ่ยพูดว่าไม่เป็นไร แต่สุดท้ายเมื่อเห็นดวงตาเย็นชาเศร้าอ่อนโยน เธอไม่รู้ตัวคล้ายโดนมนตร์สะกด ก่อนจะพยักหน้าเบาๆ
“พ่ะย่ะค่ะ ขอบพระทัยท่านอ๋อง”
เอ่ยจบ เล่อเหยาเหยาจัดเตรียมชามตะเกียบอย่างรวดเร็ว จากนั้นก็นั่งลงตรงกลางระหว่างเหลิ่งจวิ้นอวี๋และหนานกงจิ้นซี
นี่เป็นครั้งแรกที่ทานอาหารร่วมโต๊ะกับพญายม ทำให้เล่อเหยาเหยาอึดอัดเล็กน้อย
ทว่าความอึดอัดทั้งหมดนั้น เมื่อเห็นอาหารหลากหลายเย้ายวนตรงหน้า ก็ถูกโยนทิ้งออกไปไกลสุดขอบฟ้า
เพราะเธอหิวมากจริงๆ !
“หิวก็รีบลงมือทานเถิด”
อาจเป็นเพราะรับรู้ความคิดที่อยู่ในใจของเล่อเหยาเหยา เหลิ่งจวิ้นอวี๋จึงเอ่ยปากขึ้น
เล่อเหยาเหยาได้ยินก็รีบหันหน้าไปยิ้มให้กับเหลิ่งจวิ้นอวี๋อย่างสดใส ก่อนหยิบตะเกียบขึ้นมากินอย่างเอร็ดอร่อย
เพราะหิวมาก ดังนั้นเล่อเหยาเหยาในเวลานี้ จึงคิดเพียงต้องการนำอาหารลงไปในท้องให้เร็วที่สุด อาหารนั้นสีสันใช้ได้ทีเดียว
ต้องใช้คำว่ากินอย่างตะกละตะกลามมาบรรยายด้วยซ้ำไป
เมื่อเห็นท่าทางการกินอย่างบ้าคลั่งของเล่อเหยาเหยา จึงทำให้ดวงตาดุจดอกท้อของหนานกงจวิ้นซีที่อยู่ด้านข้างเบิกกว้างขึ้นอย่างไม่เชื่อสายตา ก่อนเอ่ยอย่างตกใจว่า
“เจ้าเป็นผีอดอยากกลับชาติมาเกิดหรือ!”
“เอ่อ”
เมื่อได้ยินคำพูดของหนานกงจวิ้นซี เล่อเหยาเหยาเพียงส่งตาขาวให้เขาอย่างเกรงใจ
แต่มือกลับไม่หยุดการเคลื่อนไหว คีบอาหารเข้าปากไม่หยุด
หนานกงจวิ้นซีเห็นเช่นนั้น อดยิ้มมุมปากไม่ได้
ทว่าดวงตาดุจดอกท้อน่ามองคู่นั้น กลับไม่ย้ายไปจากตัวของเล่อเหยาเหยาเลย
เพราะเป็นครั้งแรกที่เขาเห็นคนกินได้น่าขยะแขยงขนาดนี้
เขาเติบโตขึ้นมาในราชวงศ์ นิสัยของหนานกงจวิ้นซีแม้จะดื้อรั้นบางส่วน แต่ยังได้รับการอบรมเลี้ยงดูมาเป็นอย่างดี
ไม่ว่าจะเป็นการกิน การใช้ การสวมใส่ ต่างต้องดีที่สุด อีกทั้งทุกท่าทาง ต้องสง่างาม แฝงด้วยมารยาทของผู้ดี
คนที่เขาเคยรู้จักมีคนในยุทธภพอยู่บ้าง แต่ก็ไม่ได้กินอาหารดังขันทีน้อยตรงหน้านี้เลย
ท่าทางเวลานี้ของ ‘เขา’ คล้ายปีศาจหิวโซ ในปากมีอาหารอยู่ มือก็ยังคีบอาหารจานอื่นไม่หยุด
หนานกงจวิ้นซีเห็นแล้วแปลกใจ เขาไม่กลัวจุกเลยและปากเล็กๆ ของ ‘เขา’ สามารถยัดสิ่งของเข้าไปได้มากขนาดนั้นเชียวหรือ!
หนานกงจวิ้นซีเพิ่งคิด ก็เห็นเล่อเหยาเหยาที่เดิมทีปากเล็กอัดแน่นด้วยอาหาร พลันดวงตาเบิกโพลง ตะเกียบในมือหล่นลงมาเสียงดัง ‘เคร้ง’
หนานกงจวิ้นซีเห็นเช่นนั้น พลันตกใจ เมื่อรู้ว่าเล่อเหยาเหยาอาหารติดคอ ดังนั้นจึงรีบหยิบถ้วยชาบนโต๊ะ ให้เล่อหยาเหยาดื่มเพื่อให้หายฝืดคอ คิดไม่ถึง จะมีคนเคลื่อนไหวเร็วกว่าเขา
“นี่ ดื่มชาให้หายฝืดคอก่อน”
เหลิ่งจวิ้นอวี๋ยื่นมือหยิบน้ำชา ก่อนส่งไปให้เล่อเหยาเหยา พร้อมเอ่ยเสียงเบาขึ้น
แม้น้ำเสียงของเขาจะเย็นชา แต่ความห่วงใยภายในน้ำเสียงของเขา กลับปิดเอาไว้ไม่มิด
เล่อเหยาเยาเห็นถ้วยชาตรงหน้า รีบยื่นมือรับมาอย่างใจร้อน ก่อนดื่ม ‘อึ้กๆ’ จนหมดเกลี้ยงและยังอดยื่นมือกุมหน้าท้องที่กินอิ่มจนแน่นไม่ได้ ก่อนเรอเสียงดังออกมา
“เฮอ เกือบติดคอตายแล้ว”
“เมื่อครู่ผู้ใดให้เจ้ารีบร้อนทาน ไม่มีคนแย่งเจ้าเสียหน่อย”
เหลิ่งจวิ้นอวี๋พูดถึงตรงนี้ น้ำเสียงดูอ่อนโยนลงโดยไม่รู้ตัว
สายตาที่มองเล่อเหยาเหยา อ่อนโยนหลายส่วน ไม่เย็นชาเหมือนก่อนหน้านี้อีก
เมื่อครู่เขาจับตาดูเล่อเหยาเหยาจากด้านข้างตลอดเวลา
เพราะการกินจนทั้งโลกสะเทือนเช่นเล่อเหยาเหยา ยากที่จะไม่ให้คนอื่นสนใจ!
แม้เริ่มแรกจะคิดว่าเล่อเหยาเหยากินได้น่าขยะแขยงยิ่งนัก แต่มองดูไปแล้ว ความจริงกลับพบว่าขันทีน้อยนี้ช่าง
ยอดเยี่ยมเสียจริง!
เมื่อหิวก็ปล่อยวางความเหมาะสมทุกอย่าง กินอาหารคำโต ท่าทางนั้นไร้การเสแสร้ง ทำให้คนที่เห็นชื่นชอบ
และคิดว่า ‘เขา’ ช่างน่ารักยิ่งนัก!
ดังนั้นสายตาของเหลิ่งจวิ้นอวี๋ค่อยๆ ถูกขันทีน้อยข้างกายดึงดูดไว้ ภายในแววตาเห็นว่าขันทีน้อยกินดื่มอย่างอุตลุดอย่างไร้การเสแสร้ง
ดังนั้นเมื่อ ‘เขา’ อาหารติดคอ จึงรู้โดยทันที และรีบส่งชาให้ เพื่อให้ ‘เขา’ หายฝืดคอ
เพราะจิตใจของเหลิ่งจวิ้นอวี๋อยู่ที่เล่อเหยาเหยาเพียงคนเดียว จึงไม่รู้ตัวว่าหนานกงจวิ้นซีที่อยู่ตรงข้าม เมื่อเห็นภาพตรงหน้า ใบหน้าหล่อเหลาที่เต็มไปด้วยความห่วงใยนั้น ก็ตกตะลึงเล็กน้อย กระทั่งมือที่ถือถ้วยชาหมายจะยื่นออกไปก็ชะงักลง
สุดท้ายก็ไม่ได้ส่งชาในมือให้เล่อเหยาเหยา เพราะตอนนี้มีคนเร็วกว่าเขาก้าวหนึ่ง ดังนั้นหนานกงจวิ้นซีทำเพียงชักมือที่ถือถ้วยชากลับมา ก่อนก้มหน้าลง แสร้งทำเป็นดื่มชา