ประกอบกับเรื่องที่ฟางเจิ้งทำเปิดเผยอย่างตรงไปตรงมา จึงไม่กลัวว่าจะถูกเห็น ในใจเขาไร้กังวล จิ่งเหยียนย่อมมองไม่เห็นอะไร เธอทำได้แค่พูดในใจต่อไปว่า ‘ถึงอายุยังน้อย แต่มีอุบายหลอกลวงลึกล้ำ!’

ถ้าฟางเจิ้งรู้ความคิดจิ่งเหยียนเดาว่าจะต้องกระอักเลือดสามครั้ง ร้องว่าไม่ได้รับความเป็นธรรมแน่

อู๋ฉางสี่รีบตรงเข้าไป “ไต้ซือ เอ่อ ท่านว่ายังไงกับการประลองครับ”

ฟางเจิ้งส่ายหน้าอย่างเด็ดขาด “โยม พุทธศาสนาเป็นแดนเงียบสงบ เรื่องการประลองค่อยว่ากันอีกทีเถอะ ถ้าจะจุดธูปไหว้พระเชิญข้างใน ถ้าไม่มีอะไรทุกคนตามสบาย” พูดจบฟางเจิ้งก็จะกลับเข้าไป

“ไต้ซืออย่าเพิ่งไปสิครับ เรื่องนี้เกี่ยวถึงชีวิตคนนะครับ!” อู๋ฉางสี่เห็นฟางเจิ้งปฏิเสธการประลองอย่างเด็ดเดี่ยวจึงพูดขึ้นด้วยความปราดเปรียว

ฟางเจิ้งขมวดคิ้ว “หมายความว่ายังไง?”

อู๋ฉางสี่เห็นความหวังจึงพูดต่อ “ไต้ซือ เรื่องเป็นแบบนี้ ครั้งก่อนผมมาที่นี่โชคดีได้เห็นไต้ซือเขียนอักษรบนหิมะ อักษรนั่นสวยมาก มีความน่านับถือมากเลยถ่ายรูปไว้ อยากจะแบ่งให้ทุกคนดู ของดีๆ แบบนี้ให้ทุกคนชื่นชมด้วยกันก็ไม่เลวไม่ใช่หรอครับ?”

ฟางเจิ้งคิด นี่ก็เป็นเรื่องดี ไม่ต้องพูดอะไรแล้ว เขาเลยพยักหน้า

อู๋ฉางสี่พูดต่อ “ปัญหาคือมีคนไม่เชื่อ! บอกว่าภาพถ่ายผมเป็นของปลอม ท่านที่เขียนอักษรบนหิมะก็ปลอม ปลอมทุกอย่าง! ผมอู๋ฉางสี่เป็นนักข่าว ทำงานสายนี้มายี่สิบปี ต้องมีความซื่อสัตย์และสัจจะอยู่แล้ว ชื่อเสียงที่ดีมาตลอดยี่สิบกว่าปีจะถูกทำลายแบบนี้ไม่ได้ ผมไม่ยอมเลยไปโต้เถียงกัน แต่เขากลับด่าผมว่าเป็นพวกโกหก! เรื่องนี้ไต้ซือทนได้ แต่ผมทนไม่ได้!

ชีวิตนี้ชื่อเสียงถูกทำลายจนป่นปี้ก็เท่ากับฆ่าชีวิตผม! ผมเป็นนักข่าว ถ้าไม่มีใครเชื่อผมจะเหลืออะไร? วันนี้พิสูจน์ความบริสุทธิ์ไม่ได้ผมจะยังมีหน้ามีชีวิตต่อไปได้เหรอ? ถ้าวันนี้ต้องตายก็ช่าง!”

ฟางเจิ้งมองอู๋ฉางสี่ อู๋ฉางสี่ก็มองฟางเจิ้งด้วยความโมโห

ฟางเจิ้งส่ายหน้าเล็กน้อย “โยมพูดมีเหตุผล แต่ยังไม่ถึงกับตายหรอก”

ฟางเจิ้งเห็นภัยที่จะเกิดขึ้นในสามวันของคนอื่น ถ้าอู๋ฉางสี่จะต้องตายจริงๆ เขาจะไม่มีทางมองไม่เห็น ในเมื่อไม่เปิดภาพนิมิต เช่นนั้นก็อธิบายได้ว่าเจ้านี่พูดหลอกฟางเจิ้งเท่านั้น เขาไม่ชอบถูกใครหลอกเอามากๆ หรือความรู้สึกถูกใช้ประโยชน์ จึงหมุนตัวเดินไป

“ไต้ซือ ไต้ซือ…อย่าไป! เกี่ยวพันถึงชีวิตคนจริงๆ นะ ผมเดิมพันไว้หนึ่งล้าน ถ้าแพ้ ผมจะเอาเงินที่ไหนมาชดใช้! ถึงตอนนั้นไม่ว่ายังไงครอบครัวผมก็ต้องล้มละลาย! ท่านเห็นคนจะตายก็ต้องช่วยสิ!” อู๋ฉางสี่พุ่งเข้าไปกอดขาฟางเจิ้งไว้แน่นพลางร้องอ้อนวอน

ฟางเจิ้งจนปัญญาแล้ว เช้าตรู่แบบนี้มีนักข่าวพิลึกมากันหลายคนก่อน จากนั้นก็เป็นอันธพาลไร้เหตุผล จะให้ใช้ชีวิตอย่างสงบสุขไม่ได้รึไง? แถมยังมีคนมากขนาดนี้ พูดขอร้องอ้อนวอน แม้แต่ธูปยังไม่ไปจุด พวกแกตะโกนขอร้องโดยไม่กระดากอายเลยรึไง?

ถึงฟางเจิ้งจะไม่พอใจ แต่คำพูดอู๋ฉางสี่ก็ยังส่งผลเล็กน้อย หนึ่งล้าน! หนึ่งล้านนั่นมันเงินเท่าไร? ฟางเจิ้งนับนิ้วดูแล้วก็นับไม่พอ! พวกเขาเดิมพันด้วยเงินมากขนาดนี้เลยเหรอ? โง่จริงๆ…ถ้ามีเงินเยอะก็บริจาคไปสิ ไม่เห็นหรือไงว่าทุกวันนี้ฟางเจิ้งยากจนถึงขั้นกินข้าวเปล่าแต่ไม่มีผักดอกน่ะ?

“อมิตาภพุทธ โยม ปล่อยมือเถอะ อาตมาร่วมการประลองไม่ได้จริงๆ มันไม่มีความหมายอะไร ทำไมพวกโยมต้องทำแบบนี้?” ฟางเจิ้งยังคงส่ายหน้าปฏิเสธ

“เณรคะ ใครบอกว่าการประลองครั้งนี้ไม่มีความหมาย?” ตอนนี้เองจิ่งเหยียนตรงเข้ามา

ฟางเจิ้งถามกลับ “ขอถามโยมหน่อย มีความหมายอะไร?”

“มีความหมายมากเลยล่ะ ตอนนี้วัฒนธรรมจีนเสื่อมถอย วัฒนธรรมข้างนอกรุกรานเข้ามา ดูเด็กๆ ของพวกเราสิ ใช้ดินสอเขียนหนังสือ ใช้ปากกาลูกลื่น ปากกาหมึกซึม มีใครใช้พู่กันไหมล่ะ? และดูในห้องเรียนพวกเรา ความสำคัญของภาษาสู้ภาษาต่างประเทศไม่ได้! แล้วก็ชื่อพวกเด็กๆ ใช้ชื่อต่างประเทศกันเยอะขึ้นเรื่อยๆ อ้าปากทีต้องมีคำภาษาอังกฤษสองสามคำ ดูต่างกับทุกคน ดูเป็นคนชั้นสูง สังคมป่วยๆ แบบนี้ ลองค้นลึกลงไปสิ วัฒนธรรมของเราไม่แพร่หลายแล้ว วัฒนธรรมเรากำลังหายไป เด็กๆ กำลังเดินหลงทาง ถูกวัฒนธรรมต่างชาติดึงดูด ตอนนี้ดูเหมือนเป็นการประลองของคนมีชื่อเสียงระหว่างอู๋ฉางสี่กับโอวหยางหวาไจ แต่ความจริงมันคือโอกาสดีที่จะได้เผยแพร่วัฒนธรรม!

แค่พวกเราป่าวประกาศเรื่องนี้ก็จะให้อักษรของสองท่านลงบนหน้าบทความได้ ให้สังคมเกิดการวิพากษ์วิจารณ์ สนใจการเขียนพู่กันจีน หรือว่านี่ไม่ใช่ความหมายเหรอ? อีกอย่างอู๋ฉางสี่เป็นนักข่าวจริงๆ นักข่าวไม่มีชื่อเสียงแล้วจะมีอะไรอีก? ไม่มีอะไรเลย!

นอกจากนี้ฉันขอเตือนเณรหน่อยนะ ตอนแรกโอวหยางหวาไจสงสัยว่าศิลปะะพู่กันจีนของเณรเป็นของปลอม อู๋ฉางสี่วิ่งเต้นไปทั่วเพื่อยืนยันชื่อเสียงให้เณร แต่โอวหยางหวาไจใช้อุบายให้เขาตกงาน! ตอนนี้เขาบอกว่าเป็นนักข่าว แต่ความจริงไม่เหลืออะไรไปนานแล้ว!

เข้าร่วมการประลองเพื่อคนแบบนี้เพื่อตัวเอง เพื่ออู๋ฉางสี่ เพื่อวัฒนธรรมประเทศ หรือว่าไม่ควรรับอย่างนั้นเหรอ? ไม่มีความหมายเลยอย่างนั้นเหรอ?” จิ่งเหยียนพูดออกมาหมดด้วยเสียงดังกังวานและมีพลัง

ฟางเจิ้งฟังจนพูดไม่ออก เขาเรียนไม่จบมัธยมด้วยซ้ำ จะไปพูดเอาชนะจิ่งเหยียนนักเรียนคะแนนดีเด่นได้ยังไง จึงยิ่งไม่ต้องพูดถึงอีกฝ่ายที่เป็นนักข่าวกินอักษรเป็นอาหารอยู่แล้ว! สำคัญคือตอนที่ผู้หญิงคนนี้โต้เถียง เหมือนจะดุกว่าผู้ชายเล็กน้อย ปัจจัยทุกอย่างรวมเข้าด้วยกัน ทำให้ฟางเจิ้งแทบจะยกธงขาว

แต่ฟางเจิ้งก็อึดอัดใจเหมือนกัน มีใครไม่อยากสร้างชื่อเสียงบ้าง! แต่ระบบไม่ยอม! เขามีใจแต่ไม่มีกำลัง! จะระบายความอึดอัดใจให้ใครได้บ้างล่ะ?

ฟางเจิ้งถอนหายใจ “อมิตาพุทธ โยมพูดมีเหตุผล แต่ประลองในวัดไม่ได้จริงๆ พวกโยมกลับกันไปเถอะ”

“นี่เณร ทำไมหัวแข็งแบบนี้? ประลองที่วัดไม่ได้ พวกเราลงเขาไปประลองก็ได้นี่?” เฉินจิ้งว่า

ไม่พูดถึงเรื่องนี้ยังไม่เท่าไร พอพูดถึงแล้วฟางเจิ้งโมโหกว่าเดิม! ลงเขา? เขาก็อยากลงเขาเหมือนกัน! แต่ลงไม่ได้!

ฟางเจิ้งจึงส่ายศีรษะ “วัดนี้มีอาตมาคนเดียว จะลงเขาได้ยังไง? พวกโยม…”

“ไม่ต้องลงเขา! ไต้ซือ ในวัดไม่เหมาะประลอง พวกเราก็ประลองนอกวัด! ยอดเขาใหญ่ขนาดนี้ ออกจากวัดไกลหน่อยก็ไม่รบกวนพระโพธิสัตว์แล้วไม่ใช่เหรอ?” อู๋ฉางสี่ตบเข้าที่หน้าผากก่อนร้องเสียงดัง

ฟางเจิ้งอึ้งไป ใช่! ประลองในวัดไม่ได้ก็ออกไปสิ!

เขาเลยถามในใจ ‘ระบบ ออกไปประลองไม่มีปัญหาใช่ไหม?’

“ติ๊ง! ได้สิ”

ฟางเจิ้งดีใจใหญ่จึงพยักหน้า “ช่างเถอะ พวกโยมพูดถึงขนาดนี้แล้ว อาตมาก็ได้แต่ตอบตกลงแล้ว แต่ว่าอักษรอาตมาธรรมดา ไม่ได้สำคัญอะไร ถ้าแพ้หรืออักษรดูไม่ได้ พวกโยมอย่าหัวเราะเยาะแล้วกัน”

ฟางเจิ้งก็ไม่โง่ อักษรตนดีไม่ดีนั้น ความจริงคือเขายังขาดคนพินิจพิเคราะห์คุณค่าอยู่ ในเมื่อโอวหยางหวาไจเป็นผู้มีชื่อเสียงด้านศิลปะพู่กันจีนจะต้องมีฝีมือลึกล้ำแน่นอน เขาไม่อยากพูดให้ดูมั่นใจนัก พอถึงตอนนั้นหน้าแตกขึ้นมาคงไม่ได้สร้างชื่อเสียงแต่ขายหน้าแทน

………………………….…….