ตอนที่ 71 ไต้ซือตะโกน

บรรลุอรหันต์กับระบบพุทธองค์

หลังสองคนเข้าไปแล้ว ไชฟางก็พบว่ารั้งพั่งจื่อไว้ไม่อยู่! โหวจื่อกับอู๋ฉางสี่ยิ่งช่วยยิ่งยุ่ง เหล่าเหมียวกับเสี่ยวหลัวที่ขวางกลางไว้สอดมือเข้าไปไม่ได้ ไชฟางเข้าใจแล้ว สองคนนี้ก็โกรธเหมือนกัน ไม่ช่วยต่อยตีเฉินจิ้งก็ถือว่าให้เกียรติแล้ว

ไชฟางเห็นดังนั้นก็ถอนหายใจอย่างจนปัญญา เขารู้ว่าเฉินจิ้งทำเกินไป ปากไม่มีหูรูด ถูกต่อยบ้างก็สมควร

ตอนนี้เองพั่งจื่อยิ่งต่อยยิ่งโมโห อาศัยจังหวะนี้หยิบหินก้อนหนึ่งจะขว้างไป

โหวจื่อกับอู๋ฉางสี่เห็นดังนั้นก็รีบเข้าไปดึงไว้ ทะเลาะได้ ไม่ถึงตายไม่พิการ แค่เจ็บปวดก็พอ แต่การใช้หินนี่จะเอาชีวิตกันแล้ว! ทว่าพั่งจื่อโมโหมาก สะบัดแขนเหวี่ยงสองคนออกไป ก่อนหยิบหินจะขว้าง

ตอนนี้เอง…

“ปัง!” เสียงเปิดประตูหนักอึ้งดังขึ้น!

“อมิตาพุทธ!” เสียงสวดดังมาจากในประตูวัด มือพั่งจื่อที่ชูขึ้นสูงพลันหยุดชะงักกลางอากาศ ดวงตาแดงเริ่มเป็นปกติ เหลือบมองประตูวัดเอกดรรชนีข้างๆ เห็นฟางเจิ้งชุดคลุมขาวยืนอยู่ สองมือประนมมองเขาด้วยใบหน้าเรียบนิ่งและอบอุ่น

เมื่อเห็นฟางเจิ้ง ความดื้อรั้นในใจพั่งจื่อพลันหายไปมากกว่าครึ่ง รู้สึกว่าใช้หินไม่เหมาะจึงรีบโยนทิ้งไป

ฟางเจิ้งพยักหน้าอย่างพอใจ ทะเลาะวิวาทข้างนอก ด่าทอร้ายกาจแบบนั้น เขาไม่ใช่คนหูหนวกย่อมได้ยิน หนูนั่นก็ตกใจจนหนีไปแล้ว ฟางเจิ้งออกมาดูสถานการณ์ เขานอนหมอบอยู่บนสันกำแพง โผล่มาแค่หัวโล้น คอยดูอย่างเพลิดเพลิน…

แต่ว่าตอนที่พั่งจื่อหยิบหินเขานั่งเฉยไม่ได้ จะต้องห้ามไว้ นี่จะเอาชีวิตกันแล้ว!

แต่ในใจฟางเจิ้งไม่คิดว่าถึงชีวิต ถึงยังไงเนตรสวรรค์ก็มองไม่เห็นอนาคตของเฉินจิ้ง อธิบายได้ว่าเฉินจิ้งไม่ตาย แต่ถ้าขว้างหินไปก็เจ็บน่าดู…เว้นแต่จะมีคนขวางไว้ เกิดการเปลี่ยนแปลงเยอะเกินไป ฟางเจิ้งตรึกตรองไม่ทันจึงตบประตูใหญ่พุ่งออกมาตะโกนเสียงดัง เขาไม่หวังว่าเสียงตะโกนจะได้ผล ถึงยังไงเขาก็ใช้เสียงสิงโตคำรามแห่งพุทธอะไรพวกนี้ไม่ได้ ซ้ำยังใช้วิชาตัวเบาไม่ได้อีก เลยไม่อาจลงมือหยุดพั่งจื่อในพริบตาได้ เสียงตะโกนครั้งนี้แค่ทำอย่างสุดความสามารถเท่านั้น

ฟางเจิ้งไม่คิดเลยว่าหลังจากพั่งจื่อกับโหวจื่อขึ้นเขามาครั้งก่อนจะเชื่อฟังเขา ตอนลงเขาไปยังเลื่อมใสเขามาก อีกทั้งหลังจากโหวจื่อเจออุบัติเหตุจริงๆ แล้วรอดตายมาได้นั้น พั่งจื่อเคารพฟางเจิ้งดั่งเทพเจ้า เสียงตะโกนของเขามีผลพอๆ กับเสียงตะโกนของแม่พั่งจื่อ ได้ผล!

ตอนที่พั่งจื่อหยุดมือขณะเกรี้ยวโกรธได้อธิบายทุกอย่างแล้ว

เห็นพั่งจื่อหยุดมือ ฟางเจิ้งก็ถอนหายใจโล่งอก “โยม อภัยได้ก็อภัยเถอะ ทำไมต้องทำแบบนี้ด้วย?”

พั่งจื่อยืดคอตรง “ไต้ซือ ไอ้นี่มันด่าผมได้ ผมต่อยมัน โดนมันด่าสองทีไม่เข้าเนื้อหรอก แต่มาด่าแม่ผมไม่ได้!”

โหวจื่อเห็นฟางเจิ้งออกมาก็รีบเตะก้นพั่งจื่อ “ไต้ซือให้นายหยุดก็หยุดสิวะ”

ฟางเจิ้งคือผู้มีบุญคุณช่วยชีวิตโหวจื่อ จึงเคารพดั่งเทพเจ้ายิ่งกว่า

พั่งจื่อเห็นโหวจื่อพูดจึงลุกขึ้นอย่างไม่พอใจมาก

เฉินจิ้งเห็นว่าในที่สุดพั่งจื่อก็ลุกขึ้น จึงอ้าปากร้องไห้! วันนี้เขาขายหน้าผู้หญิง ขายหน้าต่อหน้าหญิงงามของตน เขาเสียใจ…แต่ว่าเฉินจิ้งเพิ่งจะอ้าปากร้องไห้

เพียะ!

พั่งจื่อก็พลิกมือตบปากก่อนด่าทอ “หุบปาก! พุทธศาสนาเป็นแดนอันเงียบสงบ ถ้าร้องอีกทีฉันจะลากแกไปต่อยหลังเขา!”

เฉินจิ้งคับแค้นใจราวกับสาวใช้ถูกกระทำ น้ำตาคลอ อดกลั้นเอาไว้ สะอื้นแต่ไม่กล้าออกเสียง

“ยังร้องอีกเหรอ?” พั่งจื่อถลึงตามอง

เฉินจิ้งตอบกลับด้วยความขมขื่น “ฉันถูกแกต่อยจนเป็นแบบนี้แล้วไม่ร้องไห้จะให้หัวเราะรึไง?”

“ใช่! มาวัดเช้าตรู่แบบนี้จะร้องไห้ทำไม? หัวเราะ! หัวเราะสิ! หัวเราะเดี๋ยวนี้!” พั่งจื่อหัวเราะ ขณะเดียวกันยังรูดแขนเสื้ออีกข้างขึ้น

เมื่อครู่พั่งจื่อรูดแขนเสื้อก็ทุบตีเฉินจิ้งไปยกหนึ่ง ตอนนี้รูดอีกข้าง เฉินจิ้งตกใจจนรีบเค้นรอยยิ้ม

“รอยยิ้มแกนี่มันน่าเกลียดกว่าร้องไห้อีก ฉันไม่เปลี่ยนใจหรอกนะ! หัวเราะให้มันดีๆ…” พั่งจื่อกล่าว

โหวจื่อเห็นฟางเจิ้งขมวดคิ้วก็รีบเข้าไปดึงพั่งจื่อ “พอแล้วๆ แค่นี้ก็พอแล้ว”

พั่งจื่อถึงละสายตากลับ จากนั้นเดินมาอยู่ตรงหน้าฟางเจิ้งอย่างเชื่อฟัง “ไต้ซือ ท่านดูสิ ผมเหนื่อยมากเลย ปากแห้งไปหมดแล้ว ให้ผมดื่มน้ำได้ไหมครับ?”

“กฏเดิม ตักน้ำก็มีน้ำ ไม่ตักก็ไม่มี” ฟางเจิ้งตอบ

พั่งจื่อเลยรีบดึงโหวจื่อไปด้านหลังลาน

เห็นดังนั้น จิ่งเหยียน ไชฟาง เสี่ยวหลัว เฉินจิ้ง และเหล่าเหมียวต่างมีสีหน้ามึนงง ไม่เข้าใจว่าไอ้สองคนนี้จะทำอะไร

“ทำงานเพื่อน้ำแก้วเดียว? โง่รึเปล่า?” จิ่งเหยียนพึมพำ

อู๋ฉางสี่เคยดื่มน้ำบริสุทธิ์ของฟางเจิ้งมาแล้ว และก็เคยได้ยินโหวจื่อพูดถึงกฏฟางเจิ้งจึงได้สติทันที แต่คิดได้ว่าตนมีเรื่องสำคัญที่ต้องทำจึงอดกลั้นเอาไว้ ทว่าก็ยังตะโกนไป “พวกนายสองคนเอามาให้ฉันชามหนึ่งด้วย!” อู๋ฉางสี่รู้ว่าฟางเจิ้งให้ดื่มน้ำฟรีแก้กระหายได้ แต่จะโลภดื่มมากกว่านั้น? ขอโทษ จะต้องทำงาน!

จิ่งเหยียนชำเลืองตามองอู๋ฉางสี่แวบหนึ่ง รู้สึกว่าจะต้องมีอะไรข้างในแน่ แต่พอตรึกตรองดีๆ น้ำแก้วเดียวจะมีอะไรได้? จึงเลิกคิดไป

ความคิดไชฟางไม่ต่างกัน ไม่ได้สนใจอะไร

ตอนนี้เองเสียงปึงดังขึ้น พั่งจื่อกับโหวจื่อแบกถังใหญ่มากออกมา คนพวกนี้เหม่อค้าง ถังใหญ่ขนาดนี้เลย?

ไชฟางอดไม่ไหวถามขึ้นด้วยความแปลกใจ “พั่งจื่อ โหวจื่อ พวกนายทำอะไรน่ะ?”

โหวจื่อตอบอย่างปลื้มปีติ “ไม่เป็นไร พวกอาจารย์คุยกันไปเถอะ พวกผมจะลงเขาไปตักน้ำให้ไต้ซือ” พูดจบสองคนก็วิ่งไป

ไชฟางไม่ถามก็แล้วไป แต่ถามไปแล้วดันมีแต่เครื่องหมายคำถามและสีหน้างงงวย นี่มันเรื่องอะไรกัน?

จิ่งเหยียนชำเลืองตามองฟางเจิ้งแวบหนึ่ง “เสแสร้ง อุบายไว้หลอกคนโง่หลอกคนโง่ได้จริงๆ เหรอเนี่ย?”

จิ่งเหยียนคิดว่าโหวจื่อกับพั่งจื่อถูกฟางเจิ้งหลอกด้วยอุบาย หลอกให้คารวะเป็นไต้ซือ แต่ฟางเจิ้งมองคนโง่สองคนนี้ไว้ใช้แรงงานเท่านั้น แม้พลังยุทธ์ของฟางเจิ้งจะใช้ได้อยู่บ้าง แต่เธอรู้สึกว่าไต้ซือไม่ควรข้องเกี่ยวกับวิทยายุทธ์ ดังนั้นจึงมองว่าฟางเจิ้งเป็นพวกโกหก นัยน์ตาฉายแววสงสัยตลอดเวลา แววตาเฉียบคมประหนึ่งมองทะลุร่างฟางเจิ้ง

แต่ฟางเจิ้งกลับไม่สนใจเลย ผู้หญิงตรงหน้าสวยจริงๆ แต่อารมณ์ฉุนเฉียวมาก เขารับไม่ได้! อีกอย่างความคิดของฟางเจิ้งในชาตินี้ก็ไม่ใช่การหาหญิงงามเลิศล้ำมาแต่งงานด้วย เขาแค่อยากหาผู้หญิงที่อบอุ่นสุภาพ รู้ร้อนรู้เย็นมาแต่งงานด้วย แล้วมีเจ้าตัวน้อยอ้วนๆ ใช้ชีวิตไปอย่างมีความสุข

ดังนั้นฟางเจิ้งจึงไม่สนใจจิ่งเหยียนเลย แล้วแต่เธอแล้วกัน!

………………………………………