บทที่ 81 ความยากลำบาก (1)

ยอดวิถีแห่งปีศาจ

“เป็นไรแล้ว นายน้อยเฉินซินไม่อยู่หรือ” พี่ซงที่อยู่ด้านข้างบิดขี้เกียจ ลุกขึ้นนั่ง

“เช้ามาก็ไม่เห็นคนแล้ว ไม่รู้ว่าไปที่ไหน” ลู่เทียนหยางกล่าวเบาๆ “อาจลอบไปพบปะกับแม่นางสักคนก็ได้” เขาพูด แสดงร้อยยิ้มที่บุรุษล้วนเข้าใจ

พี่ซงหัวเราะเหอะๆ ทั้งสองคนลุกจากเตียง จัดเสื้อผ้า เดินออกจากบ้าน

คนอื่นๆ บางคนตื่นแล้ว ลู่เฉวียนอันยืนอยู่ข้างเกวียนเทียมวัว สั่งทหารสองคนให้ช่วยกันยกของ

“พวกเจ้าตื่นแล้ว เฉินซินเล่า เด็กน้อยนั่นไปไหน” ลู่เฉวียนอันขมวดคิ้วมองลู่เทียนหยาง

“เอ่อ… เขาสมควรอยู่ด้านนอก ข้าตื่นมาก็ไม่เห็นเขาแล้ว” ลู่เทียนหยางลูบศีรษะตอบ

“ตงจื่อ! เสี่ยวหลิน! คนเล่า เฒ่าเก๋อล่ะไปอยู่ไหน!?” ทางพี่ซงตะโกน เขายืนข้างกองไฟที่มอดดับแล้วอย่างอารมณ์เสีย หน้าเบ้เล็กน้อย

“ให้วานรสองตัวเฝ้าครึ่งคืนหลัง เฝ้ายังไงให้ไฟดับ พลิกหาเชื้อเพลิงไม่เจอ เจ้าลูกเต่าสองตัวนี่!” พี่ซงเดือด ตะโกนด่ารอบหนึ่ง

ทหารสบตากัน ตามหาตงจื่อกับเสี่ยวหลินที่เฝ้ายามโดยสัญชาตญาณ

“ผู้ใดเห็นเสี่ยวหลินบ้าง” พี่ซงถามเสียงเฉียบขาด

ทุกคนส่ายหน้า

“เช้ามาก็ไม่เห็นคนแล้ว หรือไปปัสสาวะ” มีคนเอ่ยพลางหัวเราะ

“ไร้สาระ!” พี่ซงมองคนของตระกูลลู่ที่อยู่ด้านข้าง สีหน้าไม่น่าดูอยู่บ้าง พวกเขาเป็นทัพรักษาเมือง นี่เป็นครอบครัวของนายผู้เฒ่าที่สอง หากทางนี้เกิดความผิดพลาด เผยแพร่กลับไปจะเข้าหูนายผู้เฒ่าที่สอง

“ไปหาคนซะ อย่าชักช้า!” เขาสั่ง

ทางลู่เฉวียนอันตามหาสักพัก พบว่าไม่มีคน หาจนทั่วก็ไม่เห็นร่องรอย พลันร้อนใจบ้างแล้ว ต่อให้ลู่เฉินซินเป็นตัวบัดซบอย่างไร สุดท้ายก็เป็นบุตรชาย

ตามหากันสองทาง คนสามคนไม่มีความเคลื่อนไหวใดทั้งสิ้น หายไปอย่างไร้ร่องรอย

ลู่เทียนหยางขนลุกอยู่บ้าง แอบไปหาจางซิ่วซิ่ว

“เมื่อวานเฉินซินไปหาเจ้าหรือไม่ ซิ่วซิ่ว”

“ไม่ เมื่อคืนข้าไม่ได้ตื่น หลับลึกยิ่ง” จางซิ่วซิ่วรู้สึกไม่ดีอยู่บ้างเช่นกัน สีหน้าซีดขาว

ลู่เทียนหยางสับสนแล้ว มองคนกลุ่มใหญ่ตะโกนค้นหาไปทั่ว ทั้งหมู่บ้านไม่มีการตอบสนองแม้แต่น้อย

ลู่เฉวียนอันเหงื่อผุดซึมหน้าผาก หลังจัดการให้คนควานหาทั่วหมู่บ้าน ยังคงไม่เจอคนหาย

“นายผู้เฒ่า ไม่เจอคน!” ทางพี่ซงได้รับข้อมูลที่ส่งกลับมาอย่างรวดเร็ว รีบรายงานลู่เฉวียนอัน

“ไม่เจอคน…” ลู่เฉวียนอันกวาดตามองรอบๆ รู้สึกว่าหมู่บ้านแห่งนี้คล้ายมืดครึ้มเป็นพิเศษ

“ไม่ได้ ที่นี่ไม่อาจอยู่นาน! พวกเราต้องรีบไป”

“แต่สามคนที่หายไป…” หลิวชุ่ยอวี้มารดารองกล่าวอย่างเป็นห่วง

“ออกจากที่นี่ก่อนค่อยส่งคนมาตามหา ไม่อาจให้ทุกคนอยู่ที่นี่!” ลู่เฉวียนอันกล่าวเสียงเร่งร้อน โลกนี้อันตรายไม่ธรรมดา ไม่อาจวางไข่ไว้ในตะกร้าใบเดียว

“นายผู้เฒ่า ไม่เจอเฉินซินพวกเรายังไปไม่ได้นะ” หวังเหยียนอวี่มารดาสามเอ่ยเสียงเครียด

“ข้าไม่คิดไป แค่จะย้ายที่ก่อนค่อยกลับมาตามหา พวกเราทิ้งสัญญลักษณ์ให้เสี่ยวซาน ให้เขารู้ว่าพวกเราอยู่ไหน” ลู่เฉวียนอันกล่าวด้วยสีหน้าจริงจัง เขาไม่อยากทิ้งบุตรคนที่สามเช่นกัน แต่ตอนนี้สถานการณ์ไม่ดี ทหารเฝ้ายามสองคนไม่ใช่คนธรรมดา หากแต่แข็งแรงกำยำ ถึงกับหายไปโดยไม่ส่งเสียงสักคำ

นี่ไม่ใช่เรื่องธรรมดา

เขาสงสัยว่าพวกตนถูกม้วนเข้ามาในความยุ่งยากแล้ว

“นายผู้เฒ่า!” หวังเหยียนอวี่วิงวอน

“ต้องไป! เดี๋ยวนี้!” ลู่เฉวียนอันกล่าวขึงขัง

ทุกคนรีบรวบรวมขบวนคน ค่อยๆ ลากเกวียนเทียมวัว รถม้าออกจากหมู่บ้านร้างภายใต้การนำของลู่เฉวียนอันและพี่ซง

ลู่เฉวียนอันทิ้งม้าหนึ่งตัวกับอาหารเครื่องดื่มส่วนหนึ่งให้ลู่เฉินซินกับทหารสามนาย เอาวางไว้ข้างบ่อตรงกลางหมู่บ้าน ที่นั่นเป็นสถานที่ที่สะดุดตาที่สุด ขอแค่เข้าหมู่บ้านก็จะเห็นทันที

การหายตัวไปในป่ากลางแจ้งเช่นนี้ ลู่เฉวียนอันทราบแก่ใจดีว่า คนทั้งสามเกรงจะเคราะห์ร้ายมากกว่าเคราะห์ดี…

ถึงอย่างไรในป่าเปลี่ยวแบบนี้คนทั้งสามไปไม่ได้ไกล ในสถานการณ์ที่ไม่ได้ไปไกล คนจำนวนมากตะโกนเรียกยังไม่ออกมา เกรงจะเกิดเรื่องจริงๆ

ถึงเขาจะเจ็บปวด แต่เวลานี้สิ่งที่สมควรทำคือปกป้องทุกคน

เรือวาฬแดง

ในตำหนักประชุมอันโอ่โถง ประมุขพรรคเฒ่า เฉินอิง ผู้จัดการภารกิจภายในและภายนอกหลายคน ยังมีลู่เซิ่ง ต่างมากันครบ

ตอนเช้าประมุขพรรคเฒ่าได้ส่งคนแจ้งผู้นำในพรรคทั้งหมดให้มาประชุม

ทุกคนไม่ทราบว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้น พากันนั่งตำแหน่งของตัวเอง

ลู่เซิ่งนั่งตำแหน่งที่หกของผู้จัดการภารกิจภายนอก ที่นี่เดิมเป็นที่นั่งของอู๋ซาน

แสงอาทิตย์กระจ่างส่องผ่านลายหน้าต่างจากข้างตำหนักใหญ่กลายเป็นภาพโย้เย้มากมายบนพื้น

หญิงรับใช้ยกชาร้อนและของว่างมา จากนั้นก็ถอยไป

ประมุขพรรคเฒ่าหงหมิงจือดวงตาจริงจัง มีความเคร่งขรึม กวาดตามองทุกคนรอบหนึ่ง

“เอาล่ะ คนที่ไม่มีหน้าที่ต่างลงไป” เขายกมือขึ้น

หญิงรับใช้กับคนคุ้มกันทั้งหมดรับคำสั่ง พากันถอยออกจากตำหนักใหญ่ เหลือแค่ผู้นำทั้งหมดของพรรควาฬแดง

ประตูใหญ่ปิดลงอย่างช้าๆ เสียงตึงดังขึ้นเมื่อปิดประตูสนิท บรรยากาศในตำหนักหนักอึ้งกว่าเดิม ทุกคนมองออกว่าสีหน้าในตอนนี้ของประมุขพรรคเฒ่าผิดปกติยิ่ง

“เกิดอะไรขึ้นกันแน่” เฉินอิงนิ่วหน้าถาม

“ท่านประมุข ทางใต้เกิดปัญหาหรือ” ผู้จัดการภารกิจภายนอกคนหนึ่งถาม

“ไม่ใช่ อาณาเขตของพวกเราเกิดปัญหา” ประมุขพรรคเฒ่ากล่าวเสียงทุ้ม เขาหยิบจดหมายสีเงินฉบับหนึ่งจากในแขนเสื้อออกมา จดหมายนี้ประหลาดยิ่งไม่ได้ใช้กระดาษ หากทำจากโลหะสีเงินที่ลี้ลับชนิดหนึ่ง

“ทุกคนทราบดีว่าใครยืนอยู่เบื้องหลังพรรควาฬแดง ข่าวในครั้งนี้เป็นพวกเขาส่งมา” หงหมิงจือเสียงเบา แต่ว่าข่าวที่ถ่ายทอดกลับทำให้ทุกคนตกตะลึง

“ข่าวที่พวกเขาส่งมาหรือ” เฉินอิงบีบที่พักแขนโดยไม่รู้ตัว “”สิบปีก่อนพวกเขาส่งข่าวครั้งหนึ่ง ตอนนั้นพรรคเราตายมากกว่าพันคน ครั้งนี้มีข่าวมาอีก…” สีหน้าเขาไม่น่าดู

ลู่เซิ่งหยีตา

“ไม่ทราบว่าพวกเขาคือ…”

“ตระกูลเจินตระกูลขุนนาง” ประมุขพรรคเฒ่าหงหมิงจือตอบ

“ตระกูลขุนนาง…” ลู่เซิ่งตกตะลึง ว่าแล้ว…

คนอื่นๆ เงียบขรึม มีแค่คนที่ยืนบนตำแหน่งเหนือคนทั่วไปเช่นพวกเขาจึงค่อยทราบความนัยของคำว่าตระกูลขุนนาง

ทุกคนมีสีหน้าเคร่งเครียด

“ตระกูลเจินปกติไม่เคลื่อนไหว ออกหน้ามาแสดงว่าสถานการณ์ไปถึงขั้นที่ไม่อาจไม่จัดการ หรือว่าตอนนี้…” เฒ่าหวังเอ่ยเสียงทุ้ม

“ตอนนี้เป็นช่วงที่สถานการณ์ย่ำแย่ยิ่ง” หงหมิงจือเอ่ยเสียงทุ้ม “ข้าเพิ่งได้รับข่าวว่า แค่คืนเดียวแดนเหนือตั้งแต่เมืองธารประจิมถึงเมืองป่าบูรพาซึ่งเป็นอาณาเขตของพรรควาฬแดงเกิดพื้นที่หวงห้ามแปดแห่ง”

“พื้นที่หวงห้ามแปดแห่งหรือ” เฉินอิงเบิกตาโต ลุกพรวดอย่างมิอาจควบคุม

ไม่ใช่แค่เขา คนที่เหลือก็แตกตื่นเช่นกัน

พื้นที่หวงห้ามหมายถึงอะไร หมู่บ้านตระกูลซ่งที่ลู่เซิ่งได้รับบาดเจ็บทะลวงออกมาก่อนหน้านี้ก็เป็นพื้นที่หวงห้าม หนำซ้ำยังเป็นพื้นที่หวงห้ามระดับต่ำที่เพิ่งเกิด แดนเหนือใหญ่โต เดิมมีพื้นที่หวงห้ามไม่น้อย ตอนนี้อยู่ๆ ก็ปรากฏพื้นที่หวงห้ามอีกแปดแห่ง นี่หมายความว่า วันไหนไม่ทันระวังเดินหลงทางก็เข้าไปในพื้นที่หวงห้ามได้

รอจนพบแล้วคิดหนีออกมา ก็ขึ้นอยู่กับโชคแล้ว ถ้าโชคร้าย ตายไปยังไม่ทราบว่าตายอย่างไร

ลู่เซิ่งสัมผัสได้ถึงความร้ายแรงของปัญหา ร่างเกร็งเล็กน้อย เพ่งสมาธิฟังประมุขพรรคเฒ่าเล่าต่อ

“ตระกูลเจินคิดว่านี่เป็นการท้าทายอย่างร้ายแรงต่อพวกเขา จึงส่งมืออาชีพมาจัดการ” หงหมิงจือกล่าวรวบรัด “คนที่ถูกส่งมาจัดการความยากลำบากผู้นี้แซ่เจิน ชื่อสวิน เขาขอให้พวกเราเตรียมงานเก็บกวาด พื้นที่หวงห้ามแปดแห่งจำเป็นต้องให้พวกเราร่วมมือสุดกำลัง หลีกเลี่ยงไม่ให้มวลชนระส่ำระสาย”

“เขาคนเดียวจัดการได้หรือ” เฉินอิงขมวดคิ้ว

“ตระกูลเจินไม่พูดถึงคนที่สอง เพียงมีแค่คุณชายเจินสวินมาคนเดียว แต่ตามสถานการณ์ทั่วไป คุณชายเจินสวินคนนี้สมควรเป็นผู้นำ ยังมีคนอื่นๆ เคลื่อนไหวด้วย ไม่อย่างนั้นสถานที่มากมายแบบนี้ ไปๆ มาๆ แค่เดินทางก็ต้องใช้เวลาไม่น้อยแล้ว” หงหมิงจือตอบ “ทุกคนอ่านข้อมูลพื้นที่หวงห้ามทั้งแปดดู”

เขาส่งจดหมายในมือให้เฉินอิง รองประมุขพรรคกวาดตาอ่านรอบหนึ่ง แล้วส่งให้คนอื่นๆ วนเวียนเช่นนี้

ไม่ทันไร ลู่เซิ่งก็ได้จดหมายมา จากนั้นคลี่ออกเบาๆ

บนจดหมายเป็นแผนที่ แดนเหนือมากกว่าครึ่งอยู่ด้านบน ทำสัญลักษณ์เป็นจุดสีแดงเล็กๆ แปดจุดอย่างชัดเจน

ดูไปดูมา เขาหยีตามองจุดเล็กๆ จุดหนึ่งในนี้

“ระหว่างเมืองเก้าประสานกับเมืองเลียบคีรีมีพื้นที่หวงห้ามด้วยหรือ” เขาอดส่งเสียงถามไม่ได้

“มี” ประมุขพรรคเฒ่าหงหมิงจือพยักหน้า “ทางที่ดี ศิษย์น้องเจ้าควรแจ้งครอบครัวให้อ้อมผ่านจุดนี้ไป”

ลู่เซิ่งพยักหน้าอย่างเคร่งขรึม

นอกจากตวนมู่หว่าน นี่เป็นครั้งแรกที่เขาได้เจอลูกหลานตระกูลขุนนางคนอื่นๆ อย่างเป็นทางการ ตกลงพวกเขาแตกต่างกับคนธรรมดาและคนฝึกวรยุทธ์อย่างไรกันแน่ เขาไม่แน่ใจ

ครั้งนี้อาจเห็นกุญแจสำคัญ

หลังจากแจ้งเรื่องเสร็จ ประมุขพรรคเฒ่าก็เลือกคนรับผิดชอบเก็บกวาดพื้นที่หวงห้ามแต่ละแห่ง

ลู่เซิ่งได้รับการจัดสรรหน้าที่ คล้ายเพื่อดูแลเขา ที่เขารับผิดชอบเป็นพื้นที่หวงห้ามระหว่างเมืองเก้าประสานและเมืองเลียบคีรี

หลังจากแยกย้าย ลู่เซิ่งรีบระดมคน ได้มาทั้งหมดยี่สิบคน บวกกับเขาเป็นยี่สิบเอ็ดคน เป็นยอดฝีมือโถงอินทรีเหินขอบเขตพลังปลอดโปร่งห้าคน ที่เหลือเป็นมือดีวิชาดาบที่ฉลาดมีความสามารถ ยี่สิบคนยี่สิบม้ามุ่งหน้าไปยังสถานที่พื้นที่หวงห้าม

เขากลับอยากเห็นว่าคนของตระกูลขุนนางกับคนทั่วไปแตกต่างกันตรงไหน

ในสถานการณ์ที่ควบตะบึงตลอดทางไม่ถนอมแรงม้า เกือบยามกลางอู่ ในที่สุดลู่เซิ่งก็ใกล้ถึงตำแหน่งที่พื้นที่หวงห้ามอยู่

หมู่บ้านร้าง

หลังจากรถม้าของพวกลู่เฉวียนอันค่อยๆ จากไป ก็ถึงยามกลางอู่อย่างรวดเร็ว หมู่บ้านข้างทางหลวงต้อนรับแขกคนหนึ่ง

ใต้ท้องฟ้าขมุกขมัว ม้าดำทั่วตัวไม่มีสีอื่นแทรกตัวหนึ่งเหยาะย่างเข้าหมู่บ้าน

เป็นคุณชายอายุน้อยบุคลิกอ่อนโยน ใบหน้าประดับรอยยิ้มคนหนึ่งขี่ม้าเข้ามา

‘เป็นที่นี่หรือ’ คุณชายผู้นี้ยังคงยิ้มแย้ม เป็นท่าทางเดิมตั้งแต่ต้นจนจบ

เขาใส่อาภรณ์สีเขียว มือไร้อาวุธ ไม่แขวนอาวุธใดๆ ไว้บนตัว มีเพียงหยกสีเขียวแก่ผูกไว้รอบเอว เรียบง่ายธรรมดา

……………………………………….