บทที่ 82 ความยากลำบาก (2)

ยอดวิถีแห่งปีศาจ

คุณชายผู้นี้พลิกตัวลงจากหลังม้า เดินเข้าไปในหมู่บ้าน

“ออกมาเถอะ พวกเจ้าไม่ใช่ล่อพวกเราให้ลงมือหรือ” เขากล่าวเสียงใส กวาดตามองรอบๆ

“ตอนนี้ข้ามาแล้ว”

เสียงเพิ่งขาด หน้าบ่อน้ำเก่ากลางหมู่บ้านไม่ทราบมีคนคนหนึ่งโผล่มาตอนไหน

เงาคนสวมอาภรณ์ดำ ผมยาวสยาย สองมือห้อยลง

คนผู้นี้ก้มศีรษะมองไม่เห็นใบหน้า เพียงยืนอยู่ตรงข้ามคุณชายผู้นั้นเช่นนี้ ไม่ทราบว่าม้าที่ลู่เฉวียนอันทิ้งไว้ข้างๆ หายไปไหน มีแค่ห่ออาหารห่อหนึ่งวางไว้ข้างบ่อ

“พวกเราตกลงกันแต่แรกว่าน้ำบ่อไม่ก้าวก่ายน้ำคลอง ตอนนี้พวกเจ้าลงมือหมายความว่าอะไร” คุณชายเห็นดังนั้นพลันกล่าวเสียงเย็น

ฟุ่บๆ!

สิ่งที่ตอบเขาเป็นขวานเหล็กที่ลอยมาจากด้านข้างด้วยความเร็วสูง

หัวขวานหมุนอย่างรวดเร็ว ส่งเสียงแหวกอากาศแหลมคม จากนั้นวาดผ่านขมับคุณชายเหมือนฟ้าคำรามไม่ทันปิดหู

ฉูด

เลือดสาดกระเซ็น

คุณชายผู้นั้นถูกขวานฟันหัวแยกออก ปากแผลลึกเกือบหนึ่งนิ้วปรากฏบนศีรษะ ยืนนิ่งอยู่กับที่

“นี่เป็นการแสดงอำนาจของพวกเจ้าหรือ” คุณชายถึงกับจ้องคนประหลาดด้วยสีหน้าไร้อารมณ์ ปากแผลสีแดงขนาดท่าฝ่ามือบนศีรษะสมานตัวด้วยความเร็วสูง เหมือนกับดอกไม้บานแล้วหุบอย่างรวดเร็ว ขมับไร้ร่องรอยใดคล้ายไม่ได้รับบาดเจ็บมาก่อน

หัวขวานตกลงบนพื้นด้านข้าง แปดเปื้อนดินโคลนฝุ่นผง เลือดสักหยดถึงกับไม่ติดบนคมขวาน

คุณชายสีหน้าเยือกเย็น ค่อยๆ เดินเข้าหาคนข้างบ่อ

บนเส้นทางในภูเขาที่ห่างจากหมู่บ้านราวครึ่งลี้

ลู่เซิ่งนำลูกน้องที่ขี่ม้ายี่สิบคนยืนนิ่งบนเส้นทางภูเขาที่คดเคี้ยว มองไปยังทิศทางที่หมู่บ้านอยู่

ที่ที่พวกเขาอยู่เป็นสันเขา พอดีเห็นที่ราบที่หมู่บ้านร้างอยู่ สายตาของคนทั่วไปอาจมองไม่ได้ไกลและชัดเจนขนาดนั้น แต่ลู่เซิ่งแตกต่าง

เขามองคุณชายอายุน้อยที่ทางเข้าหมู่บ้านอย่างสงบ เห็นเหตุการณ์พิสดารเมื่อครู่แล้ว

‘ศีรษะถูกจามเป็นสองส่วนยังฟื้นฟูได้ เป็นคนอยู่อีกหรือ…’ เขาขมวดคิ้ว จิตใจกระสับกระส่ายบ้าง

ผีเคยเห็นแล้ว ความประหลาดลี้ลับก็เคยเห็นแล้ว แต่เขาเพิ่งเคยเห็นลูกหลานตระกูลขุนนางต่อสู้กับคนอื่นเป็นครั้งแรก แต่นี่ไม่เหมือนกับสิ่งที่คาดไว้โดยสิ้นเชิง

‘หรือว่าคนของตระกูลขุนนางยังมาไม่ถึง คนหนุ่มคนนั้นเป็นผีของพื้นที่หวงห้ามแห่งนี้’ ลู่เซิ่งคาดเดา แต่ก่อนมา ประมุขพรรคเฒ่ากำชับว่าถ้าเห็นคนหนุ่มสวมอาภรณ์สีเขียว ใบหน้ายิ้มแย้มเดินเข้าพื้นที่หวงห้ามคนเดียวเหมือนไม่มีเรื่องใด นั่นจะต้องเป็นคนของตระกูลเจินแน่

‘คนของตระกูลเจินแปลกประหลาดเช่นนี้หมดเลยหรือ’ ลู่เซิ่งขมวดคิ้วมุ่นกว่าเดิม

เขานั่งบนหลังม้า มือหนึ่งกำดาบ มือหนึ่งจับบังเหียน

‘ตระกูลขุนนางเป็นตัวตนเพียงหนึ่งเดียวที่สู้กับภูตผีปีศาจได้ นี่คือสิ่งที่ตวนมู่หว่านบอก เช่นนั้นพวกเขาอาศัยสิ่งใดต่อสู้กับตัวตนที่แข็งแกร่งสุดเปรียบปานเหล่านั้นได้’ ลู่เซิ่งนึกย้อนถึงตวนมู่หวานกับเหยียนไคเต้าจ่างที่น่าสงสัยว่าเป็นลูกหลานตระกูลขุนนางเหมือนกัน ไม่เห็นพวกเขามีวิชาฝีมือความสามารถที่กล้าแข็งถึงขีดสุดแต่อย่างใด

เหมือนอย่างเหยียนไคก็แค่อาศัยเลือดของตัวเองฆ่าผี ตอนที่เข่นฆ่าในวัดร้างยังสู้ตนในตอนนี้ไม่ได้

“หัวหน้าหน่วยภารกิจภายนอก พวกเราไม่ไปแล้วหรือ” คนหนึ่งในโถงอินทรีเหินเข้ามากระซิบถาม พวกเขามีพลังสายตาไม่พอ ไม่เห็นรายละเอียดในหมู่บ้านร้างที่ไกลออกไป ไม่ทราบว่าลู่เซิ่งหยุดอยู่ตรงนี้คิดทำอะไร

ลู่เซิ่งมองคุณชายผู้่นั้นค่อยๆ เดินเข้าหมู่บ้านไป จนกระทั่งถูกบ้านดินบังสายตามองไม่เห็นคน ค่อยถอนใจ

“ไปเถอะ ลงไปดูกัน”

“ขอรับ!”

คนและม้าค่อยๆ ลงจากสันเขา เข้าไปใกล้หมู่บ้านร้าง

พวกเขาใช้ทางลัด ดังนั้นจึงเร็วกว่าคนทั่วไป แต่ว่าทางรัดนี้แคบยิ่ง ไม่ใช่ยอดฝีมือที่เพียบพร้อมทั้งสายตาและความสามารถ ปกติจะไม่กล้าเดินบนเส้นทางใกล้ผาชันเช่นนี้

ลู่เซิ่งพาคนลงจากสันเขา ไปตามเส้นทางถึงหน้าประตูหมู่บ้าน แต่ยังไม่ได้เข้าไป พากันลงจากหลังม้า

ฟืด…

พวกม้าคล้ายกระสับกระส่าย พ่นลมไม่หยุด หมุนตัวคิดหนีไปจากที่นี่ จึงถูกคนดึงไปผูกไว้กับต้นไม้หนาต้นหนึ่งข้างทาง

นอกจากลู่เซิ่ง คนที่เหลือความจริงไม่รู้ว่าตนมาทำภารกิจอะไร เพียงทราบว่าเป็นคำสั่งของลู่เซิ่ง ภารกิจในครั้งนี้อันตรายอยู่บ้าง จำเป็นต้องเพิ่มความระมัดระวัง

“พวกเราจะเข้าไปหรือไม่” ต้วนหงอิงยอดฝีมือโถงอินทรีเหินที่เป็นหัวหน้าถามลู่เซิ่ง

“ไม่ต้องรีบ ด้านในมีคนแล้ว พวกเราเพียงแค่รออยู่ด้านนอก ขณะเดียวกันก็ปิดล้อมรอบๆ ไม่อนุญาตให้ใครเข้าออก” ลู่เซิ่งสั่ง

“ทราบแล้ว!” ทุกคนแยกย้าย ค่อยๆ ลาดตระเวนรอบหมู่บ้าน

คนยี่สิบคนแยกตัวไป ล้อมหมู่บ้านร้างไว้ ไม่นับว่าคนน้อยเกินไป ทุกคนเห็นว่าข้างตัวจะมีคนอยู่ห่างๆ

ลู่เซิ่งใคร่ครวญ ยืนอยู่ที่ประตูหมู่บ้านตั้งใจฟังเสียงความเคลื่อนไหวด้านใน

คล้ายมีคนกำลังต่อสู้กันอยู่ในบ้านดิน การเคลื่อนไหวแม้ไม่มาก แต่สำหรับเขาแล้วชัดเจนยิ่ง

‘ตระกูลขุนนาง ตกลงมีพลังอะไรกันแน่…’ ลู่เซิ่งสงสัยยิ่ง

ถึงตอนนี้ เขาเป็นยอดฝีมืออันดับหนึ่งที่มีชื่อเหมาะสมกับความเป็นจริงในพรรควาฬแดง ต่อให้เป็นประมุขพรรคเฒ่า ถ้าทุ่มเทด้วยชีวิตจริงๆ ผู้ชนะมีแต่เขา

ต่อให้เป็นผีที่เจอก่อนหน้านี้ เขาความจริงก็ไม่ได้อันตรายมากนัก ดังนั้นตอนนี้จึงคิดอยากยืนยันมากกว่าว่า พลังของตนนับเป็นระดับไหนในสายตาของคนจากตระกูลขุนนาง

ลู่เซิ่งกำด้ามดาบแน่น ค่อยๆ เดินเข้าหมู่บ้าน

‘เสียงดังมาจากบ้านดินที่ใหญ่ที่สุดทางฝั่งขวา’

เขายืนยันทิศทาง เดินเข้าไปใกล้บ้านดินหลังนั้นอย่างเงียบเชียบ

เดินมาถึงข้างหน้าต่างบ้านดินหลังนั้น ลมหายใจหนักหน่วงเล็กน้อย ค่อยๆ มองเข้าไปในหน้าต่าง

ด้านในมืดสนิท มองไม่เห็นอะไร

ลู่เซิ่งนิ่วหน้า เขยิบเข้าไปใกล้อีกนิด คิดดูให้ชัดเจนกว่าเดิม

“ท่านกำลังดูอันใด บอกข้าได้หรือไม่”

ทันใดนั้นเสียงอ่อนโยนเสียงหนึ่งพลันดังมาจากด้านหลังของลู่เซิ่ง

เขาตกใจ รีบหมุนตัวกลับ เกือบชักดาบฟันออกไป

“ท่าน!?” ลู่เซิ่งถอยหลังไปสองก้าว ค่อยเห็นคนที่โผล่มาอย่างกะทันหันถึงกับเป็นคุณชายอาภรณ์เขียวที่ก่อนหน้าเข้าหมู่บ้านมา

ใบหน้าอีกฝ่ายมีรอยยิ้มเป็นมิตร บนตัวไร้อาวุธ ยืนนิ่งอยู่ด้านหลังเขา

ทั้งสองคนห่างกันไม่เกินสองหมี่

“ท่านเป็นใคร?!” ลู่เซิ่งกล่าวเสียงทุ้ม อีกฝ่ายแอบมาถึงด้านหลังเขาอย่างไร้สุ้มเสียง ท่าเท้าวิชาตัวเบานี้ชีวิตนี้เพิ่งเคยเห็น

“ข้าหรือ” คุณชายร้อยยิ้มไม่แปรเปลี่ยน ตอบว่า “ข้าเรียกว่าเจินอี้ ท่านเป็นคนที่พรรควาฬแดงส่งมาเก็บกวาดกระมัง

ที่นี่ไม่มีผีแล้ว แต่ต้องปิดล้อมสิบวัน ไม่อาจให้สิ่งมีชีวิตใดๆ เข้ามา”

“ที่แท้เป็นคุณชายเจิน สิ่งมีชีวิตใดๆ ที่ท่านว่าคือ” ลู่เซิ่งตกใจ รีบก้มหน้ากล่าวอย่างเคารพ

“ท่านทำความเข้าใจว่าเป็นคนก็แล้วกัน” เจินอี้เอ่ยด้วยรอยยิ้ม

“เข้าใจแล้ว” ลู่เซิ่งพยักหน้า

“เข้าใจแล้วก็ดี” เจินอี้ยิ้มพร้อมกับพยักหน้า “ที่นี่ท่านจัดการเถอะ จงจำเอาไว้ หลังจากข้าไปแล้ว อย่าให้คนอื่นๆ เข้ามา”

“ขอรับ” ลู่เซิ่งก้มหัวเอ่ย

“จริงด้วย ภายหลังบอกหงหมิงจือว่าอย่าได้บุ่มบ่ามแบบนี้…” เจินอี้กดขอบหน้าต่างบ้านเบาๆ ยืมแรงลุกขึ้น จากนั้นหมุนตัวค่อยๆ เดินจากไปไกล

ลู่เซิ่งก้มศีรษะตลอด จนกระทั่งอีกฝ่ายหายไปจากอาณาเขตสายตา ก็ค่อยๆ เงยหน้าขึ้นมา

หันกลับมาดู บนขอบหน้าต่างของบ้านไม้ถึงกับเหลือรอยมือสีดำอย่างชัดเจน

เขามีสีหน้าเรียบเฉย ยื่นมือไปแตะรอยฝ่ามือ

ซี่…

ความเจ็บปวดรวดร้าวไหลตามนิ้วไปทั่วร่างกายอย่างรวดเร็ว

ลู่เซิ่งมองเลือดเนื้อบนนิ้วตัวเองกลายเป็นสีดำ แล้วแห้งกรังอย่างรวดเร็ว คล้ายกับต้องพิษที่รุนแรง หรือถูกกรดเข้มข้นราดใส่ เนื้อบนนิ้วแห้งเหี่ยวด้วยความเร็วสูงเหมือนกับลูกโป่งที่ถูกเจาะ

ฉัวะ!

เขาตัดสินใจเฉียบขาด ตัดเลือดเนื้อที่ปลายนิ้วทิ้ง

เลือดเนื้อสีดำกลุ่มนี้ตกลงบนพื้น ควันดำลอยขึ้นก่อนหายไป ปราณภายในทั่วร่างลู่เซิ่งพุ่งไปยังนิ้วอย่างบ้าคลั่ง ต้านทานเลือดเนื้อสีดำที่หลงเหลืออยู่ต่อ

‘พิษที่รุนแรงนัก…’ ลู่เซิ่งสูดหายใจ เจ็บปวดจนเหงื่อซึมหน้าผาก เอ็นเขียวปูดบนคอ เขาพิจารณาสีดำบนนิ้ว หลังจากใช้ปราณภายในจำนวนมาก สีดำหายไปทีละน้อย

เลือดเนื้อสีดำขนาดเท่าเม็ดงาที่เหลืออยู่ต้องใช้ปราณภายในแปดส่วนกว่าๆ ผสานกับวิชาหยินหยางกระเรียนหยกกับวิชาลมปราณแดงฉานทั้งหมด จึงค่อยฝืนสะกดเลือดเนื้อสีดำจุดนี้ได้

ลู่เซิ่งยกดาบขึ้นคว้านเลือดเนื้อเล็กๆ ส่วนนี้ทิ้งอย่างระวัง

กายใจเชื่อมกัน เจ็บปวดสุดทนทาน แต่เขายังข่มความเจ็บปวดได้ คว้านเนื้อสีดำนั้นอย่างระมัดระวัง

‘คนของตระกูลขุนนาง… แตกต่างกันขนาดนี้เลยหรือ’

เขาเคร่งเครียดกว่าเดิม มองดูรอยมือสีดำที่เหลือบนขอบหน้าต่างอีกครั้ง

‘ที่นี่ไม่อาจอยู่นาน’ ลู่เซิ่งรีบหมุนตัว คิดออกจากที่นี่ก่อนค่อยว่ากัน

ทันใดนั้นเขาเหลือบเห็นห่อสัมภาระที่วางตรงขอบบ่อ บนห่อสัมภาระสีแดงดำปักอักษรคำว่าลู่ตัวใหญ่

‘ผ้าที่มีแต่บ้านเราใช้!’ ลู่เซิ่งตื่นตระหนก รีบเดินไปหยิบห่อสัมภาระข้างบ่อขึ้นมา

เปิดห่อสัมภาระเบาๆ อาหารส่วนหนึ่งกับจดหมายฉบับหนึ่งวางอยู่ด้านใน ลู่เซิ่งอ่านอย่างรวดเร็ว

จดหมายทิ้งไว้ให้ลู่เฉินซิน ด้านบนเขียนทิศทางไปเมืองเลียบคีรี และสัญลักษณ์ที่ทำไว้ตามเส้นทาง รวมถึงวิธีตรวจสอบค้นหาสัญลักษณ์อย่างละเอียด

‘นี่เป็นจดหมายที่ทิ้งไว้ให้ลู่เฉินซิน หมายความว่าที่บ้านเคยมาหมู่บ้านแห่งนี้ หนำซ้ำลู่เฉินซินก็หายไปแล้ว” ลู่เซิ่งวิเคราะห์ผลลัพธ์อย่างรวดเร็ว

‘ยังดีที่ไม่เกิดเรื่องใหญ่ ลู่เฉินซินเดิมมิใช่ตัวดีอันใด เป็นตายไม่สำคัญ’ แต่เขาคิดอีกที ‘จำได้ว่าตอนเราเดินทางมา ที่นี่ไม่มีหมู่บ้านอันใด เหตุใดไม่เกิดเรื่องให้เร็วกว่าหรือช้ากว่านี้ พานเกิดตอนครอบครัวเราย้ายบ้าน’

ออกจากหมู่บ้าน ด้านนอกไม่เห็นเงาเจินอี้แล้ว มีแค่มือดีพรรควาฬแดงที่เหลือเฝ้าอยู่

ลู่เซิ่งซ่อนอาการบาดเจ็บบนมือไว้ในแขนเสื้อ

“พวกเจ้าเฝ้าให้ดี ห้ามใครเข้าไป ส่งคนสองคนกลับไปรายงาน ให้คนที่มาแทนร่วมมือด้วย!”

เขาเริ่มจัดการคนปิดล้อมที่นี่ อาศัยแค่ยี่สิบคนย่อมไม่พอ ต้องเปลี่ยนเวรกัน

“ขอรับ!”

หลังจากสั่งบริวารแล้ว ลู่เซิ่งก็ไปยังเมืองเลียบคีรีทันที

ครอบครัวกำลังย้ายบ้าน เกิดเจอปัญหาเข้าพื้นที่หวงห้ามอื่นๆ ก็ลำบากแล้ว เขาจะต้องไปตรวจสอบ

ความรู้สึกบอกเขาว่าเรื่องนี้ไม่ได้บังเอิญและไม่ได้รวบรัด

ขี่ม้าไล่ตามอย่างบ้าคลั่ง ลู่เซิ่งมุ่งหน้าตามทางหลวง ฟ้าค่อยๆ มืดลงหลังเวลาผ่านไป

ไม่ทราบไล่ตามนานเท่าไหร่ ม้าที่เขาขี่อยู่ก็ทนไม่ไหว ค่อยๆ ลดความเร็วลง

บนทางหลวงตรงหน้า ขบวนรถตระกูลลู่ค่อยๆ โผล่ขึ้นในสายตา กลุ่มคนด้านในคล้ายปั่นป่วนอยู่บ้าง

ลู่เซิ่งถอนใจ สะบัดบังเหียน เร่งความเร็วเข้าไป แต่ยังไม่ทันเข้าใกล้ก็เห็นว่าบนรถม้าคันหนึ่งด้านในถึงกับแขวนโคมไฟสีแดงขนาดใหญ่ใบหนึ่ง

บนประตูรถของรถม้าแขวนโคมไฟขนาดใหญ่สีแดงฉานใบหนึ่ง มองผ่านหน้าต่างรถเห็นได้ว่า ด้านในยังแขวนโคมไฟแดงเหมือนกันอีกสองใบ

ลู่เซิ่งตื่นตัวขึ้น

……………………………………….