บทที่ 45 หมายเลขสิบสอง

เซียนกระบี่มาแล้ว![剑仙在此]

บทที่ 45 หมายเลขสิบสอง

ณ ห้องเปลี่ยนเสื้อผ้าสตรี ที่แห่งนั้นได้เกินเสียงฮือฮาดังขึ้น

มู่ซินเยว่กับเยว่หงเซียงเพิ่งเดินออกมาจากห้องเปลี่ยนเสื้อผ้า

มู่ซินเยว่จัดเป็นสาวงามอันดับหนึ่งของสถานศึกษากระบี่ที่สาม และถูกยกย่องให้เป็นผู้มีใบหน้าสวยงามที่สุดคนหนึ่งของเมืองหยุนเมิ่ง นางมั่นใจในความงามของตนเองมาแต่ไหนแต่ไร ด้วยเหตุนี้ เด็กสาวจึงมีชื่อเสียงมากกว่าหลินเป่ยเฉิน เพียงไม่นาน ทุกคนก็จดจำได้ว่านางเป็นใคร

“นางคือมู่ซินเยว่จากสถานศึกษากระบี่ที่สามนี่นา”

“สุดยอดสาวงามอันดับหนึ่งประจำเมือง”

“หูย ตัวจริงสวยอย่างกับนางฟ้าเลยแฮะ”

บรรดาศิษย์ชายจากสถานศึกษาต่างๆ พากันกระซิบกระซาบพูดคุยกันด้วยดวงตาเป็นประกาย

“แต่แม่นางน้อยคนที่อยู่ข้างๆ ก็สวยไม่แพ้กันเลยนะ”

“นั่นสิ คิดไม่ถึงเลยว่าสถานศึกษากระบี่สาม แทนที่จะคัดศิษย์จากฝีมือ กลับหันมาคัดศิษย์จากหน้าตาแล้วหรือนี่”

หลายคนส่งเสียงหัวเราะคิกคักอย่างมีเล่ห์นัย

ติงซานฉือยืนคอยอยู่หน้าแท่นหินด้วยความอึดอัดใจ

เขาไม่เคยคิดมาก่อนเลยว่าสถานศึกษาของตนเองจะได้รับความสนใจจากผู้คน เพราะมีลูกศิษย์หน้าตาดีอย่างนี้

“ท่านอาจารย์”

ลูกศิษย์ทั้งสี่เดินกลับมายืนอยู่ตรงหน้าติงซานฉืออีกครั้ง

“นี่คือหมายเลขประจำตัวของพวกเจ้าระหว่างอยู่ในค่ายแห่งนี้ จงเก็บรักษาเอาไว้ให้ดี อย่าได้ทำสูญหายเด็ดขาด เพราะนับจากนี้ไป นี่คือสิ่งเดียวเท่านั้นที่จะแสดงถึงตัวตนของเจ้า ถ้าเกิดทำหาย คงไม่สามารถหาใหม่ได้อีกแล้ว”

ติงซานฉือส่งเครื่องรางที่เป็นก้อนหินให้แก่ศิษย์ทั้งสี่คนละชิ้น

หลินเป่ยเฉินรับมาดูอย่างพิจารณา

เครื่องรางชิ้นนี้ทำมาจากก้อนหิน มีลักษณะเป็นรูปไข่ มีชื่อของเขาแกะสลักอยู่ที่ด้านหน้า ส่วนด้านหลังแกะสลักเป็นหมายเลขเอาไว้

หมายเลข 12

แต่เด็กหนุ่มไม่รู้เลยว่าเลข 12 นี้หมายถึงอะไร

ยิ่งไปกว่านั้น บนเครื่องรางประจำตัวนี้ยังแกะสลักอักขระพลังปราณเอาไว้หนาแน่น ลายเส้นเกี่ยวกระหวัดเชื่อมต่อกันเหมือนแผงวงจรอิเล็กทรอนิกส์ หากนี่เป็นสิ่งประดิษฐ์ที่อยู่บนโลกมนุษย์ ก็คงต้องแกะสลักลวดลายผ่านกล้องไมโครสโคปเท่านั้น

หลินเป่ยเฉินรู้ดีว่าลวดลายเหล่านี้คืออะไร

มันเป็นค่ายอาคมพลังปราณชนิดหนึ่ง

เพื่อให้ผู้ที่คอยควบคุมเครื่องรางเหล่านี้อยู่อีกทอดหนึ่งสามารถรับรู้ถึงสิ่งที่เกิดขึ้น

ดูเหมือนว่าเครื่องรางเหล่านี้จะไม่ได้มีไว้เพื่อพิสูจน์ตัวตนของพวกเขาเพียงอย่างเดียวเท่านั้น

“ไปกันเถอะ”

ติงซานฉือเดินนำหน้าศิษย์ทั้งสี่คนออกมาจากลานจัตุรัส เขาเลือกพื้นที่โล่งบริเวณหนึ่งในสนามหญ้าและสั่งให้เหล่าลูกศิษย์ช่วยกันกางกระโจมหน้าตาเฉย

กางกระโจมตรงนี้เนี่ยนะ?

“เราต้องค้างแรมกันในกระโจมหรือขอรับ?”

หลินเป่ยเฉินถามด้วยความปวดใจ

ติงซานฉือพยักหน้า ตอบว่า “ถูกต้อง การเข้าค่ายทดสอบเต็มไปด้วยความยากลำบาก เจ้าอย่าได้เรื่องมากนักเลย จงอย่าลืมว่าพวกเจ้ามาที่นี่เพื่อแข่งขันและสานสัมพันธไมตรี เราไม่ได้มาเพื่อพักผ่อน อีกอย่าง ได้นอนท่ามกลางธรรมชาติอย่างนี้ไม่ดีตรงไหน?”

นั่นก็เป็นเหตุผลที่พอฟังขึ้นอยู่บ้าง

แต่แล้วหลินเป่ยเฉินก็ยกมือชี้ไปยังด้านข้าง “แต่ทำไมคนอื่นเขาได้นอนในปราสาทกันล่ะขอรับ?”

ติงซานฉือหันหน้ามองไปตามนิ้วมือเด็กหนุ่ม แล้วกล่าวว่า “อ๋อ นั่นเป็นที่พักจัดไว้ให้สำหรับตัวแทนจากสถานศึกษากระบี่หลวง พวกเขาต่างก็เป็นสุดยอดอัจฉริยะชั้นแนวหน้าประจำเมืองหยุนเมิ่ง ย่อมสมควรได้พักในปราสาทหลังใหญ่ที่สุดเป็นธรรมดา”

พลัน หลินเป่ยเฉินยกมือชี้ไปยังอีกด้านหนึ่ง ถามว่า “แล้วคนพวกนี้ล่ะขอรับ?”

ติงซานฉือมองตามนิ้วมือของเจ้าแกะดำไปอีกครั้ง ก่อนจะกัดฟันพูด “นั่นก็เป็นที่พักซึ่งจัดไว้ให้ศิษย์จากสถานศึกษากระบี่ที่หนึ่ง พวกเขาต่างเป็นผู้ฝึกยุทธ์อนาคตไกลของเมืองหยุนเมิ่ง จึงได้รับสิทธิพิเศษให้พักในปราสาทได้เช่นกัน”

หลินเป่ยเฉินหันหน้าชี้ไปยังอีกทางหนึ่งไม่หยุดยั้ง “แต่ว่า คนพวกนี้ก็ได้พักอยู่ในปราสาทเหมือนกันนะขอรับ”

คราวนี้ ติงซานฉือไม่เสียเวลามองตามนิ้วมือของเขาอีกแล้ว ได้แต่ขึ้นเสียงดุกลับมาด้วยความอารมณ์เสีย “เจ้าจะเอาแต่ถามไปถึงไหนฮะ อาจารย์จะบอกความจริงให้ก็ได้ นอกจากสถานศึกษากระบี่ที่สามของพวกเราแล้ว คนจากสถานศึกษาอื่นๆ ต่างก็ได้เข้าพักในปราสาททั้งสิ้น หากเจ้าอยากจะเข้าไปพักที่นั่น ก็จงถามตนเองเสียก่อนเถิด ว่ามีความสามารถมากพอหรือเปล่า”

หลินเป่ยเฉินถึงกับชะงักไปทันที “สถานศึกษากระบี่ที่สามของพวกเรามันต่ำต้อยขนาดนี้เชียวหรือขอรับ?”

ติงซานฉือตอบด้วยน้ำเสียงห้วนสั้นว่า “เออ พวกเราต่ำต้อยขนาดนี้เชียวล่ะ”

หลินเป่ยเฉินพูดอะไรไม่ออกอีกแล้ว

ติงซานฉือกล่าวเสริมว่า “เจ้าจะแปลกใจไปทำไม? พวกเราถูกจัดอยู่อันดับสุดท้ายในกลุ่มสถานศึกษากระบี่ทั้ง 6 พวกเรากินตำแหน่งบ๊วยประจำการแข่งขันมาหลายสิบปี ไม่เคยมีคนจากสถานศึกษากระบี่ที่สาม สามารถผ่านเข้ารอบสุดท้ายได้มาก่อน มิหนำซ้ำ ตัวแทนของพวกเราก็ลดจำนวนจากสิบเหลือเพียงสี่คน อาจารย์ขอถามเจ้าเพียงคำเดียว พวกเราดูน่าอนาถใจมากพอหรือยัง?”

นี่มันอะไรกันเนี่ย

เรื่องราวที่อาจารย์วัยชราบอกเล่าออกมา ทำให้ฝ่ายเด็กหนุ่มถึงกับพูดอะไรไม่ออก ส่วนเด็กสาวก็มีน้ำตาคลอเต็มสองเบ้า

พวกเขามันน่าอนาถนัก

นี่มันน่าเศร้ายิ่งกว่ารายการวงเวียนชีวิตเสียอีก

หลินเป่ยเฉินพูดออกมาอีกครั้ง “สรุปว่า มีแค่พวกเราที่ต้องนอนค้างคืนในกระโจมกลางแจ้งใช่ไหมขอรับ?”

แบบนี้มันน่าอับอายมากเกินไปแล้ว

ติงซานฉือยิ้มกริ่มขณะตอบว่า “ก็ไม่เชิง นอกจากพวกเราแล้ว ก็ยังมีตัวแทนจากสำนักต่างๆ รวมถึงตัวแทนจากสำนักยุทธ์อิสระที่ต้องนอนในกระโจมกลางแจ้งด้วยเช่นกัน แต่ว่าคนเหล่านั้นยังไม่ได้มาจับจองพื้นที่ ทีนี้เข้าใจหรือยังว่าพวกเราไม่ได้โดดเดี่ยว แต่ยังมีเพื่อนร่วมชะตากรรมอีกจำนวนไม่น้อยเลยทีเดียว”

หลินเป่ยเฉินได้แต่สบถคำหยาบอยู่ในใจ

มันเป็นเรื่องที่น่าภูมิใจตรงไหนเนี่ย

ทำไมติงซานฉือถึงพูดเรื่องที่น่าอับอายได้อย่างภูมิอกภูมิใจขนาดนี้?

หรืออาจารย์กำลังพยายามสอนพวกเขาว่า ถึงจะเป็นไอ้ขี้แพ้ในสายตาคนอื่น แต่ก็จงเป็นไอ้ขี้แพ้ที่มีความสุขอย่างนั้นหรือ?

ระหว่างพูดคุยกันไป พวกเขาก็ช่วยกันกางกระโจมที่พักไปด้วย

ติงซานฉือจัดเตรียมทุกอย่างไว้ล่วงหน้าแล้ว กระโจมที่พักของพวกเขาแบ่งแยกออกเป็นพื้นที่ชั้นนอกกับพื้นที่ชั้นใน ตลอดอีก 10 วันนับจากนี้ พื้นที่ชั้นในจะเป็นที่พักของมู่ซินเยว่กับเยว่หงเซียง ในขณะที่พื้นที่ชั้นนอกจะเป็นที่นอนของหลินเป่ยเฉินกับอู๋เสี่ยวฟาง

หลินเป่ยเฉินพลันนึกอะไรขึ้นมาได้ “เอ๊ะ แล้วแบบนี้อาจารย์ติงนอนที่ไหนล่ะขอรับ?”

หรือว่าอาจารย์ชราตั้งใจจะยืนอารักขาพวกเขาอยู่ด้านนอกกระโจม?

แบบนั้นน่าสงสารตายชัก

ติงซานฉือตอบอ้อมแอ้มว่า “อ๋อ อาจารย์ลืมบอกพวกเจ้าไป สำหรับฝ่ายอาจารย์ พวกเขาได้เตรียมห้องพักไว้ให้เป็นพิเศษเรียบร้อยแล้ว…”

มะ…มีห้องพักส่วนตัวอย่างนั้นหรือ?

นั่นมันสบายกว่าศิษย์อย่างพวกเขาหลายเท่าเลยนี่นา

หลินเป่ยเฉินพูดอะไรไม่ออกอีกแล้วจริงๆ

รู้งี้ไม่น่าถามเลยดีกว่า

เวลาเดินไปข้างหน้าเฉกเช่นที่มันทำตามปกติ

เพียงพริบตาเดียว พระอาทิตย์กำลังจะตกดิน

ศิษย์ผู้เข้ารับการสอบคัดเลือกรอบสุดท้ายทั้ง 100 คน ต่างก็พากันมารายงานตัวที่ลานจัตุรัส

ในขณะนี้ แท่นหินที่ตั้งอยู่ใจกลางจัตุรัส ได้ทำหน้าที่แสดงรายชื่อของศิษย์ทุกคน

หลินเป่ยเฉินเดินเข้าไปดูด้วยความสงสัย

“สถานศึกษากระบี่หลวงส่งตัวแทนมาทั้งสิ้น 30 คน สถานศึกษากระบี่ที่หนึ่งส่งตัวแทนมา 16 คน สถานศึกษากระบี่ที่สองและสี่ส่งตัวแทนมาฝ่ายละ 10 คน ส่วนสถานศึกษากระบี่ที่ห้ากับหกส่งตัวแทนมาฝ่ายละ 7 คน และจากสำนักใหญ่กับสำนักยุทธ์อิสระอีกฝ่ายละ 5 คน”

“ส่วนผู้ที่ส่งตัวแทนมาน้อยที่สุดก็คือสถานศึกษากระบี่ที่สาม ที่ส่งมาแค่ 4 คนเท่านั้น…เฮ้อ แบบนี้นี่เองถึงได้โดนคนเขาตราหน้าว่าเป็นสถาบันที่ห่วยแตกที่สุดประจำเมือง”

หลินเป่ยเฉินรู้สึกเศร้าใจเป็นอย่างยิ่ง

เพียงเห็นเท่านี้ ก็ไม่ต้องแปลกใจอีกแล้วว่าทำไมตัวเขาเองถึงได้รับฉายาว่าเจ้าแกะดำ ส่วนสถานศึกษากระบี่ที่สามก็ได้รับฉายาว่าเป็นแหล่งผลิตเศษสวะชั้นดีมาประดับโลกจอมยุทธ์นับไม่ถ้วน

แต่ในขณะนี้ อีกด้านหนึ่งของแท่นหิน ก็กำลังจัดแสดงลำดับของศิษย์ผู้เข้าแข่งขันเช่นกัน

อันดับเหล่านี้จะเรียงตามการประเมินผลของคณะกรรมการผู้คุมสอบประจำเมืองหยุนเมิ่ง

หลังจากกวาดตามองรอบหนึ่ง หลินเป่ยเฉินก็เข้าใจแล้วว่า หมายเลขบนเครื่องรางประจำตัวของเขามันหมายถึงอะไร

เขาถูกจัดอยู่ในอันดับที่ 12

“ไม่น่าเชื่อ ขนาดเราสอบได้คะแนนเต็ม และวัดพลังได้ถึงระดับ 7 แถมยังเป็นผู้ชนะในทุกการแข่งขันที่ลงแข่ง แต่ก็ยังไม่ติด 10 อันดับแรกอีกหรือ ถ้าอย่างนั้น พวกที่ติดอันดับต้องเป็นสุดยอดอัจฉริยะขนาดไหนกันนะ?”

หลินเป่ยเฉินรู้สึกใจแป้วขึ้นมาเล็กน้อย

เขากวาดตามองลำดับศิษย์ใหม่อีกรอบ

ผู้ที่ครองตำแหน่งอันดับ 1 มีนามว่าหลิงเฉิน มาจากสถานศึกษากระบี่หลวง

แต่โชคร้ายที่ข้อมูลบนแผ่นหินจะบอกไว้เพียงลำดับคะแนน ชื่อ เพศ และสถาบันที่สังกัดอยู่เท่านั้น ไม่ได้บอกรายละเอียดอื่นๆ อีกเลย ด้วยเหตุนี้ หลินเป่ยเฉินจึงไม่รู้เลยว่าหลิงเฉินที่มีสถานะเป็นศิษย์อันดับ 1 ประจำชั้นปีที่ 2 ของเมืองหยุนเมิ่งคือผู้ใดกันแน่

“หลิงเฉินอย่างนั้นหรือ ฟังแค่ชื่อก็รู้แล้วว่าต้องเป็นผู้หญิง แถมต้องเป็นพวกลูกคุณหนูนิสัยเสียด้วย”

หลินเป่ยเฉินคิดอยู่ในใจด้วยความไม่สบอารมณ์

นับเป็นเคราะห์ดีที่ไม่มีใครได้ยินความคิดของเขา มิฉะนั้นแล้ว หลินเป่ยเฉินอาจจะถูกย้อนศรถามกลับมาได้ว่า เจ้าแกะดำอย่างเขา มีหน้าไปตำหนิติเตียนชื่อคนอื่นได้อย่างไร

หลินเป่ยเฉินกวาดตามองรายชื่อต่อไป

ผู้ที่มีตำแหน่งเป็นอันดับ 2 มีนามว่าเถาว่านเฉิง เป็นผู้ชาย มาจากสถานศึกษากระบี่หลวงเช่นกัน