บทที่ 46 เผชิญหน้าผู้ท้าทายด้วยกระบี่คุณธรรม

เซียนกระบี่มาแล้ว![剑仙在此]

บทที่ 46 เผชิญหน้าผู้ท้าทายด้วยกระบี่คุณธรรม

อันดับที่ 3 หลี่เทา เพศชาย จากสถานศึกษากระบี่หลวง

อันดับที่ 4 หวังซินอวี่ เพศหญิง จากสถานศึกษากระบี่ที่หนึ่ง

อันดับที่ 5 เช่าหย่งหนิง เพศชาย จากสถานศึกษากระบี่หลวง

อันดับที่ 6 มู่เหยียนตง เพศชาย จากสถานศึกษากระบี่หลวง

อันดับที่ 7 เผิงอี้หมิง เพศชาย จากสถานศึกษากระบี่ที่สี่

อันดับที่ 8 หลี่รุ่ย เพศชาย จากสถานศึกษากระบี่ที่สอง

อันดับที่ 9 เซียวเซียว เพศหญิง จากสถานศึกษากระบี่หลวง

อันดับที่ 10 หม่าจื้อเกา เพศชาย จากสถานศึกษากระบี่หลวง

อันดับที่ 11 จั้วไคซิน เพศหญิง จากสถานศึกษากระบี่หลวง

อันดับที่ 12 หลินเป่ยเฉิน เพศชาย จากสถานศึกษากระบี่ที่สาม

เมื่อเลื่อนสายตามาถึงตรงนี้ หลินเป่ยเฉินก็ไม่ได้อ่านรายชื่อต่อไปอีกแล้ว

เนื่องจากผู้ที่มีลำดับต่อจากนั้น ย่อมเป็นคนที่มีฝีมือต่ำต้อยมากกว่าเขา ไม่มีค่ามากพอให้ควรจดจำ

พวกนั้นไม่มีค่าพอที่จะมาอยู่ในสมองของเขา

แต่หลินเป่ยเฉินก็ต้องยอมรับว่าสถานศึกษากระบี่หลวงมีขุมกำลังที่น่ากลัวเหลือเกิน

รายชื่อผู้เข้ารับการคัดเลือก 12 อันดับแรก เป็นของสถานศึกษากระบี่หลวงไปแล้วถึง 8 คน แบบนี้จะไม่เรียกว่าน่ากลัวได้อย่างไรไหว

แต่เด็กหนุ่มก็ไม่ลืมดูลำดับของมู่ซินเยว่ อู๋เสี่ยวฟาง และเยว่หงเซียง

ปรากฏว่าเพื่อนร่วมสถาบันทั้งสามคน อยู่อันดับที่ 67 91 และ 92 ตามลำดับ

มู่ซินเยว่เป็นหนึ่งในอัจฉริยะที่เตะตาหลี่ชิงสวนระหว่างการสอบ แต่นางก็ยังอยู่เพียงอันดับที่ 67 เท่านั้น หลินเป่ยเฉินถึงกับอุทานออกมาเลยทีเดียวว่าเมืองหยุนเมิ่งมีอัจฉริยะมากมายขนาดนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่ นับได้ว่าการเดินทางมาสอบรอบสุดท้ายครั้งนี้ ทำให้เขาได้เปิดหูเปิดตาอย่างแท้จริง

ไม่นานต่อมา ก็มีศิษย์ผู้เข้าร่วมมายืนรวมกลุ่มอยู่รอบแท่นหินเต็มไปหมด

เมื่อเห็นรายละเอียดที่แสดงอยู่บนแท่นหิน เหล่าศิษย์ที่ได้รับการยกย่องให้เป็นอัจฉริยะต่างก็ต้องอุทานด้วยความไม่อยากเชื่อเมื่อเห็นรายชื่อแปลกตารวมอยู่ด้วย

“หลินเป่ยเฉินเป็นใครกัน?”

ทันใดนั้น เสียงที่แสบแก้วหูของใครบางคนก็ดังขึ้น “หลินเป่ยเฉิน เจ้าอยู่ไหน จงแสดงตัวออกมาเดี๋ยวนี้”

พลัน สายตาของทุกคนก็หันไปจ้องมองผู้พูด

คนพูดเป็นชายร่างกายสันทัด ใบหน้าเรียวยาว มีผมสีเหลืองทอง ท่าทางเย่อหยิ่งจองหอง ในขณะนี้กำลังกวาดสายตามองรอบกายด้วยแววตาดุร้าย เห็นได้ชัดว่าเขากำลังมองหาคนที่ชื่อหลินเป่ยเฉิน

ดูเหมือนคงไม่ได้มีเจตนาจะมาสานสัมพันธไมตรีกันแน่นอน

หลินเป่ยเฉินย่อมไม่แสดงตัวอยู่แล้ว

เกิดเขาแสดงตัวออกไปทุกครั้งที่มีคนเรียกชื่อตนเอง มีหวังได้กลายเป็นตัวตลกในสายตาผู้อื่นไปอีกนานแสนนาน

“อีกอย่าง รู้จักรักษาเอาตัวรอดเป็นยอดคน อย่ามีปัญหาโดยไม่จำเป็นจะดีกว่า” หลินเป่ยเฉินบอกตัวเองในใจ

แต่ในวินาทีนั้นเอง…

“เขานั่นแหละหลินเป่ยเฉิน”

เสียงของอู๋เสี่ยวฟางดังกังวาน พร้อมกับยกมือชี้มาทางหลินเป่ยเฉิน

ไอ้งามไส้

หลินเป่ยเฉินหันหน้ากลับไปมองอู๋เสี่ยวฟางตาขวาง

“เจ้าคนทรยศ ยังไม่ทันไรก็หาเรื่องให้ข้าแล้วหรือ”

อู๋เสี่ยวฟางหัวเราะคิกคัก ดูจะมีความสุขยิ่งนัก

“นี่เรียกว่าการยืมดาบฆ่าคน ข้าเอาชนะเจ้าไม่ได้ก็จริง แต่ไม่ได้หมายความว่า ข้าจะแก้แค้นเจ้าไม่ได้สักหน่อย”

เด็กหนุ่มหน้ายาวก้าวเท้าเข้ามาหยุดยืนตรงหน้าหลินเป่ยเฉิน ดวงตาของเขาคมวาวเหมือนใบมีด กวาดสายตามองสำรวจหลินเป่ยเฉินตั้งแต่หัวจรดเท้า ในที่สุดก็พูดว่า “เจ้าเนี่ยนะ? ดูจากลักษณะท่าทีแล้ว ไม่น่ามีปัญญาทำคะแนนได้เหนือกว่าข้าจี้อู๋ชวงเลยสักนิด”

จี้อู๋ชวงอยู่อันดับ 13 ของรายชื่อ มาจากสถานศึกษากระบี่ที่ห้า ที่เป็นผู้ชนะอันดับ 1 ของการแข่งขันประจำสถาบัน

เด็กหนุ่มมั่นใจว่าด้วยระดับคะแนนของตนเองจะต้องติดอันดับ 1 ใน 10 แน่นอน แต่ในความเป็นจริงกลับร่วงลงมาอยู่ถึงอันดับที่ 13 แน่นอนว่าเขาย่อมไม่กล้าเปรียบเทียบตนเองกับตัวแทนจากสถานศึกษากระบี่หลวง รวมถึงสถานศึกษากระบี่ที่หนึ่ง สอง และสี่เช่นกัน แต่การพ่ายแพ้ให้แก่ตัวแทนจากสถานศึกษากระบี่ที่สามนั้น มันเกินที่จี้อู๋ชวงจะยอมรับได้

มิหนำซ้ำ คนทั้งเมืองต่างก็รู้ดีเกี่ยวกับขุมกำลังนักรบสวรรค์ที่ล่มสลายไปแล้ว

เจ้าแกะดำไม่ได้เป็นทายาทของนักรบสวรรค์อีกต่อไป หลินเป่ยเฉินมีสถานะเป็นคนโหลยโท่ยข้างถนน ที่ใครจะรังแกก็ได้ตามใจชอบ

ดังนั้นในขณะนี้ จี้อู๋ชวงจึงจ้องมองหลินเป่ยเฉินด้วยแววตาน่ากลัว

หลินเป่ยเฉินตั้งสติอยู่ครู่หนึ่ง ก็พูดด้วยน้ำเสียงเยือกเย็นว่า “ต้องทำอย่างไร เจ้าถึงยอมรับว่าตนเองฝีมือด้อยกว่าข้า?”

“ถ้าเจ้าสามารถรับหมัดของข้าได้ ข้าถึงจะยอมรับ”

จี้อู๋ชวงหัวเราะในลำคอ พลันยกมือขึ้นและกระแทกหมัดออกมาข้างหน้า

เปรี้ยง!

มวลอากาศระเบิดตัวเสียงดังสนั่นหู

นี่คือการลงมือที่รวดเร็วมาก

หลินเป่ยเฉินยกมือขึ้นปัดป้องการโจมตีหมัดนี้แทบไม่ทัน

ผลั่ก

ร่างของเด็กหนุ่มไถลถอยหลังไปไกลสามจั้ง

นี่คือจุดอ่อนในด้านทักษะการต่อสู้ของหลินเป่ยเฉิน ณ ปัจจุบัน

นอกจากวิชากระบี่แล้ว เขาก็ไม่เก่งวิชาอื่นใดอีกเลย

“แหมแหม ช่างอ่อนแอเสียจริง”

จี้อู๋ชวงหัวเราะออกมาดังลั่น “เพียงหมัดเดียวก็รับไม่ได้ซะแล้ว แบบนี้จะบอกว่าเจ้าเก่งกว่าข้า…”

แต่ก่อนที่เด็กหนุ่มหน้ายาวจะทันได้กล่าวจบประโยค

หลินเป่ยเฉินก็ชักกระบี่ออกมา

เช้ง!

กระบี่คุณธรรมถูกชักออกจากฝักแล้ว

“เจ้าอยากมีเรื่องกับข้าใช่ไหม”

หลินเป่ยเฉินสวนกลับไปว่า “ก็เจ้าเป็นฝ่ายมาหาเรื่องข้าก่อน”

“หาเรื่องก่อนแล้วจะทำไม?”

จี้อู๋ชวงเพียงปล่อยออกไปหมัดเดียวก็เข้าเป้า ยิ่งเห็นฝ่ายตรงข้ามไถลถอยหลังไปไกล ก็ยิ่งมีความมั่นใจมากขึ้นกว่าเดิม

หลินเป่ยเฉินแสยะยิ้ม “ถ้าอย่างนั้น ข้าก็คงต้อง…สั่งสอนเจ้าด้วยคุณธรรมสักหน่อย”

วูบ!

คมกระบี่ตวัดออกไปแวววาว

รอยยิ้มเหยียดหยามบนใบหน้าจี้อู๋ชวงพลันหายวับไปกับตา

กระบี่พุ่งแทงเข้ามาอย่างรวดเร็ว

ก่อนที่จี้อู๋ชวงจะทันได้ตั้งตัวว่าเกิดอะไรขึ้น ปลายกระบี่ในมือของหลินเป่ยเฉิน ก็มาจ่ออยู่ที่ใต้ลำคอของเขาเรียบร้อยแล้ว

หลินเป่ยเฉินพูดด้วยน้ำเสียงราบเรียบว่า “ถ้าไม่ได้มีกฎห้ามทำให้ผู้เข้าแข่งขันได้รับบาดเจ็บ ป่านนี้เจ้ากลายเป็นศพไปแล้ว”

“เจ้า…” จี้อู๋ชวงกัดฟันกรอด สีหน้าเคียดแค้น “เจ้าคนแซ่หลิน ข้าต่อสู้เพียงมือเปล่า เจ้ากลับเอาเปรียบใช้อาวุธเล่นงานข้า เก่งจริงเจ้ามาประลองเพลงกระบี่กับข้าดูสักครั้งเป็นอย่างไร”

หลินเป่ยเฉินขยับถอยหลัง ลดกระบี่ลงมา

จี้อู๋ชวงชักกระบี่ออกจากฝักที่คาดอยู่ข้างเอว เหยียดยิ้มเย้ยหยัน พูดว่า “เข้ามาเลย ข้า…”

วูบ!

กระบี่ในมือของหลินเป่ยเฉินพลันพุ่งปราดมาจ่อที่ใต้ลำคอของเด็กหนุ่มหน้ายาวอีกครั้ง

เหล่ายอดอัจฉริยะจากสถาบันต่างๆ ที่ยืนดูเหตุการณ์โดยรอบ พร้อมใจกันอุทานด้วยความตกตะลึง

กระบี่นี้รวดเร็วยิ่งนัก

หลายคนถึงกับมองไม่ทันว่ากระบี่นี้พุ่งตัวเข้าไปตอนไหน รู้ตัวอีกที จี้อู๋ชวงก็พบกับความปราชัยเสียแล้ว

ถ้านี่เป็นการต่อสู้ที่หมายมั่นเอาชีวิต จี้อู๋ชวงคงกลายเป็นศพไปแล้วถึงสองครั้งซ้อน

เหล่าศิษย์อัจฉริยะอดรู้สึกตกตะลึงไม่ได้

ผู้มีลำดับที่สิบสองประจำการแข่งขันครั้งนี้ มีทักษะการใช้กระบี่ที่มองข้ามไม่ได้เด็ดขาด

หัวใจของอู๋เสี่ยวฟางยิ่งเต้นระทึกมากกว่าผู้ใด

เขาไม่รู้เลยว่าตนเองเห็นภาพหลอนหรือไร แต่เด็กหนุ่มก็มั่นใจว่าดูเหมือนหลินเป่ยเฉินจะแข็งแกร่งมากยิ่งกว่าตอนที่สอบกลางภาคเสียอีก

เจ้าห่วยแตกนี่ไปทำอะไรมา ทำไมฝีมือถึงได้คืบหน้ารวดเร็วปานนี้?

หลินเป่ยเฉินไม่ต่างจากนักฆ่าไร้ความรู้สึก เขาพูดด้วยน้ำเสียงเหยียดหยามเย้ยหยัน “ฝีมือกระบี่ระดับเจ้า ควรยอมรับว่าตนเองต่ำต้อยมากกว่าข้าหรือยัง?”

จี้อู๋ชวงตอนนี้ทั้งอับอายทั้งโกรธแค้น

ไม่คิดไม่ฝันเลยว่าทักษะการใช้กระบี่ของหลินเป่ยเฉินจะแข็งแกร่งถึงเพียงนี้

ในเวลาเดียวกันนี้เอง

เด็กสาวหน้าตาสวยงามคนหนึ่ง ยืนมองเหตุการณ์จากระยะไกลด้วยแววตาเป็นประกาย

ยอดอัจฉริยะจากสถานศึกษากระบี่หลวงหลายคน ก็กำลังจ้องมองหลินเป่ยเฉินไม่วางตาเช่นเดียวกัน บางคนมองด้วยความฉงนสนเท่ห์ บางคนมองด้วยความรังเกียจเดียดฉันท์ และก็มีบางคนที่มองด้วยแววตาเย็นชายากคาดเดาความรู้สึก

ทันใดนั้น เสียงกระดิ่งเรียกรวมตัวพลันดังขึ้น

“ทุกคนเข้าแถว”

เสียงคำรามที่ดังกังวานปานฟ้าผ่าดังขึ้นจากทิศใต้ของลานจัตุรัส

บรรดาศิษย์โดยรอบต่างก็รู้สึกหูอื้อกันไปทันที

พวกเขาหันหน้ามองไปทางเสียงตะโกน ก่อนจะเห็นเข้ากับจอมยุทธ์ผู้สวมใส่ชุดเกราะสะพายกระบี่ที่ข้างเอวคนหนึ่ง คนผู้นั้นกำลังยืนตระหง่านอยู่ใต้ธงผืนใหญ่ เสียงตะโกนเมื่อสักครู่นี้ เป็นเสียงของเขาเอง

ทุกคนรีบวิ่งไปยืนเข้าแถวหน้าเสาธงโดยไม่รีรอ

ส่วนผู้เป็นอาจารย์ประจำสถานศึกษาเอง พวกเขาก็ทำหน้าที่คอยดูแลให้ศิษย์ทั้ง 100 คนยืนเข้าแถวอย่างเป็นระเบียบเรียบร้อย

แถวของสถานศึกษาที่สามนั้นสั้นจุ๊ดจู๋ เพราะมีกันอยู่เพียงสี่คนเท่านั้น

หลินเป่ยเฉินยืนอยู่หัวแถว

“ขอแนะนำให้ทุกคนได้รู้จัก นี่คือท่านผู้การจากกองทัพนักรบเมฆา มีนามว่าเฉินเจี้ยนหนาน” หลี่ชิงสวนเดินมาหยุดยืนด้านหน้าเสาธง เมื่อโคจรพลังงานสสารลึกลับ เสียงของเขาก็ดังกังวานได้ยินทั่วทั้งค่าย “นับจากวันนี้จนกว่าจะจบการสอบคัดเลือกรอบสุดท้าย ผู้การเฉินและนายทหารของเขาจะคอยดูแลเรื่องความปลอดภัยภายในค่ายแห่งนี้ หวังว่าศิษย์ทุกคนคงจะให้ความร่วมมือกับกองทัพนักรบเมฆาเป็นอย่างดี”

นักรบร่างกายกำยำผู้ถูกเอ่ยชื่อขยับเท้าก้าวออกมาข้างหน้า พูดด้วยน้ำเสียงดังกังวานเน้นคำหนักแน่น “ข้ามีนามว่าเฉินเจี้ยนหนาน เป็นผู้ฝึกยุทธ์ขั้นปรมาจารย์ระดับ 2 ได้โปรดจำเอาไว้ให้ดี เราจะไม่เข้าไปแทรกแซงการสอบของพวกเจ้า แต่ที่นี่มีกฎระเบียบชัดเจน ศิษย์ทุกคนต้องทำตามโดยไม่มีข้อแม้ หากผู้ใดฝ่าฝืนกฎหรือกระทำความรุนแรงต่อเพื่อนร่วมสอบ คนผู้นั้นจะถูกตัดสิทธิ์ทันที เข้าใจหรือไม่?”

“เข้าใจขอรับ / เข้าใจเจ้าค่ะ”

“โห ปรมาจารย์ระดับ 2 สุดยอดไปเลย !”

บังเกิดเสียงชื่นชมดังไม่ขาดหู

เฉินเจี้ยนหนานเพียงทำหน้าบึ้งตึง หลังจากนั้นก็เดินกลับไปยืนอยู่ที่เดิมโดยไม่พูดอะไรอีก