อวิ๋นหว่านชิ่นเคยได้ยินเฉินจื่อหลิงเล่าว่า ตามกฎระเบียบของวังหลวง พอเหล่าสนมนางในคารวะสุรากันเสร็จสรรพ ก็ถึงคราวของเหล่าองค์ชายเจริญวัย ถือป้านสุรา เดินเข้าไปในศาลา รินสุราให้เสด็จย่าด้วยตนเอง เรียกว่า สุราลูกหลานบ่ม
หลังจากอวิ๋นหว่านชิ่นคารวะสุราร่วมกับสนมเอกเฮ่อเหลียนเรียบร้อย ก็ถอยไปยืนข้างพรมแดง จากนั้นก็รู้สึกว่าสัมผัสโดนชายเสื้อชุดผ้าไหมสีม่วงปักดิ้นทองลายมังกรสี่เล็บที่ปลิวเบาๆ ขึ้นมาครึ่งตัว พอมองไป ก็เห็นฉินอ๋อง เขาเหมือนองค์ชายท่านอื่นๆ ที่ลุกขึ้นจากที่นั่งมายืนรอต่อแถวคารวะสุรา โดยข้างกายองค์ชายทุกพระองค์จะมีขันทีน้อยคนหนึ่งคอยถือป้านสุราให้
ซึ่งขันทีน้อยที่ตามฉินอ๋องอยู่ข้างกายนั้น ถือถาดไม้แดงไว้ในมือ ในถาดวางป้านสุราที่มีสุราอยู่เต็มป้าน เช่นเดียงกันกับขององค์ชายท่านอื่นๆ เป็นป้านสุราสีทองสลักลายมังกรและหงส์ เนื่องจากอยู่ในช่วงฤดูใบไม้ร่วงที่อากาศเย็น ถ้าสุราที่รินให้ผู้สูงวัยอย่างไทเฮาดื่มเย็นลง เกรงว่าไทเฮาอาจไม่สบายได้ สุราในป้านจึงเป็นสุราอุ่นๆ ที่เพิ่งผ่านการต้ม โดยอาศัยช่วงรอต่อแถว วางไว้ในถาดให้ร้อนน้อยลง
ฉินอ๋องเดินตรงเข้ามา ห่างจากนางราวสามสี่ก้าว กลิ่นที่คุ้นเคยของชายหนุ่มโชยเข้าจมูกอวิ๋นหว่านชิ่น ขณะก้าวยาวๆ เข้ามา นอแรดที่ห้อยสายรัดเอวกระเด้งกระดอนพร้อมกับกลิ่นอำพันทะเล นางแทบอยากกลั้นหายใจ โดยไม่คิดว่า ตอนสูดหายใจเข้าไปก่อนที่จะกลั้นหายใจ กลับทำให้นางสะดุ้งตกใจ จนยืนนิ่งอยู่อย่างนั้น
เป็นเกสรดอกไม้ กลิ่นเกสรดอกไม้ ผู้ที่เคยสัมผัสกับเกสรดอกไม้จะรู้ว่า ดอกไม้สดแม้หอม แต่ถ้าดมเฉพาะเกสรดอกไม้เพียงอย่างเดียว จะได้กลิ่นคาวจางๆ และกลิ่นเหม็นเขียวร่วมด้วย ซึ่งจริงๆ แล้วก็ไม่น่าดมสักเท่าไหร่ แต่มีเอกลักษณ์มาก ดังนั้นแม้เกสรดอกไม้สามารถใช้ทำอาหารเสริมเพื่อความงาม แต่สตรีมากมายก็ไม่ชอบกิน เพราะกลิ่นของมันทำให้กินไม่ลง
พอเงยหน้าขึ้น อวิ๋นหว่านชิ่นก็จ้องฉินอ๋องเขม็ง
กลิ่นนี้โชยมาจากตัวเขา
เจี่ยไทเฮาเป็นภูมิแพ้ละอองเกสรดอกไม้ แล้วเหตุใดในงานเลี้ยงถึงได้มีกลิ่นเกสรดอกไม้ได้ล่ะ!
อีกทั้ง กลิ่นแรงมากด้วย!
ถูก กลิ่นนี้ คล้ายกับกลิ่นสุราดอกไม้สามชนิดที่หลายวันก่อนตนหมักทิ้งไว้แล้วนำออกมาดื่มกับเมี่ยวเอ๋อร์และชูซย่า! เป็นกลิ่นของกรดแอลกอฮอล์ผสมกับเกสรดอกไม้
และนี่ก็เป็นเวลาคารวะสุราพอดี…
สุรา…หรือมีคนนำเกสรดอกไม้ใส่ลงไปในสุรา?
แม้ไม่อยากจะเชื่อ แต่ก็ชักช้าแม้เพียงเสี้ยวเวลาไม่ได้เป็นอันขาด อวิ๋นหว่านชิ่นรีบก้าวเข้าหา
ขันทีน้อยที่ยืนถือถาดป้านสุราอยู่ข้างๆ ฉินอ๋อง ดวงตามืดหม่นลง ก่อนเงยหน้าขึ้น
“คุณหนูอวิ๋น…”
พอซย่าโหวซื่อถิงเห็นว่า จู่ๆ นางก็เดินเข้ามา พลางใช้ดวงตาอันใสเย็นจ้องมองเขาเขม็ง คล้ายมีอะไร
อยากพูดด้วย ก็วางท่าขรึมและหยุดเดิน
ในสถานการณ์แบบนี้ ไหนเลยจะมีโอกาสอธิบาย อวิ๋นหว่านชิ่นคิดใหม่ นี่เป็นเรื่องเร่งด่วน
การรินสุราลูกหลานบ่ม เพื่อความเป็นศิริมงคลในการคารวะสุรา มีกฎเกณฑ์และลักษณะร่วมที่ไม่เหมือนกับของแขกเหรื่อท่านอื่นๆ คือ ไม่สามารถอ้างเหตุผลใดๆ เพื่อเปลี่ยนป้านสุรา ยิ่งไม่สามารถบอกความจริง เพราะถ้าพูดออกไป เจี่ยไทเฮาก็รู้แต่เพียงว่า ฉินอ๋องเป็นคนนำสุราเกสรดอกไม้มาคารวะ ต่อให้เขามีสิบปาก ก็โต้เถียงยาก
มีแต่ต้องกำจัดทิ้ง!
เว่ยอ๋องยืนอยู่ถัดจากองค์ชายสาม พอเห็นคุณหนูอวิ๋นเดินเข้ามาและยืนขวางขันทีน้อยผู้ถือถาดสุราของฉินอ๋องอยู่ ก็ตกใจ เพราะกำลังกินปูนร้อนท้อง เกรงว่านางจะทำให้เสียแผน จึงขมวดคิ้วพลางตะคอกใส่
“นี่ๆๆ! มาจากไหนน่ะ รู้จักกฎระเบียบไหม…”
อวิ๋นหว่านชิ่นกวาดตามองรอบด้าน และเห็นว่าห่างไปไม่กี่ก้าว หลังโต๊ะยาวมีชายหนุ่มชนชั้นสูงกลุ่มหนึ่งนั่งอยู่ หนึ่งในนั้นคือมู่หรงไท่
ถือว่าเจ้าโชคร้ายก็แล้วกัน!
ไม่มีวิธีอื่นใดอีกที่จะไม่ทำให้ใครเสียหาย อวิ๋นหว่านชิ่นจึงไม่พูดพล่ามทำเพลง เปลี่ยนสีหน้า เลิกคิ้วสวย ก่อนยกป้านสุราซึ่งมีสุราที่สามารถทำให้คนรินตกเป็นผู้กระทำความผิดร้ายแรง สาดใส่มู่หรงไท่จนหมดป้าน
สุราหนึ่งป้านประหนึ่งสายฝนรสหวานที่หล่นลงมาจากฟากฟ้า ทำชุดยาวเปียกไปครึ่งตัว มู่หรงไท่ตกตะลึงพรึงเพริศ ลุกพรวดขึ้น แม้โมโห แต่พอเห็นสุราในป้านที่สับเปลี่ยนมาถูกสาดจนไม่มีเหลือ ก็รู้สึกเครียดจนพูดไม่ออก ความโกรธจึงลดลงครึ่งหนึ่ง กัดฟันแล้วว่า
“คุณหนูอวิ๋น นี่ หมายความว่าอะไร!”
การสาดสุรา ทำให้ผู้คนพากันตกใจ จึงพุ่งเป้าสายตามา แล้วหันไปซุบซิบกัน ทำนองว่า คุณหนูอวิ๋นนี่วางตัวดีมาตลอด ทำไมจู่ๆ ถึงทำเรื่องไร้มารยาทขนาดนี้ได้!
เจี่ยไทเฮาที่นั่งอยู่ในศาลาเห็นเหตุการณ์ชัดเจน จึงขมวดคิ้วตาม
“ไปดูซิว่า คุณหนูอวิ๋นทำอะไรกันแน่!”
จูซุ่นจึงรีบวิ่งลงบันไดไป ขณะตกใจไม่หาย
สนมเอกเฮ่อเหลียนก็คิดไม่ถึงว่าอวิ๋นหว่านชิ่นจะทำเช่นนี้ จึงสะดุ้งโหยงก่อนเอ็ด
“ยังไม่ไปพากลับมาอีก!”
เมี่ยวเอ๋อร์จึงก้าวเข้าไป จับมือคุณหนูของตนแล้วพาออกมา แม้มองตาก็รู้ใจว่า นางไม่มีทางสาดสุราอย่างไม่มีเหตุผลแน่ แต่ทำไมคุณหนูใหญ่ถึงไม่แอบทำล่ะ กระโตกกระตากแบบนี้ แถมเป็นงานเลี้ยงในวังด้วย อย่างไรตนก็รู้สึกเครียดยิ่ง เกรงว่าจะเกิดเรื่องขึ้น
พออวิ๋นหว่านชิ่นเห็นจูซุ่นมา ก็ทำทีเป็นไม่เห็น จับมือเมี่ยวเอ๋อร์ไว้แน่น ร่างสั่นเล็กน้อย เดิมก้มหน้า แต่ก็
ยังเหล่ตามองมู่หรงไท่ด้วยสายตาที่ทั้งเย็นชาและมีน้ำตารื้นๆ ก่อนหยุดเดิน พลางส่งเสียงอันเยียบเย็นออกมา
“คุณชายรองมู่หรงยังมีหน้ามาถามอีกว่า หมายความว่าอะไร น้องรองข้ารักท่านอย่างสุดหัวใจ…วันนี้ข้า
ก็แค่ทนดูพฤติกรรมของคุณชายรองมู่หรงไม่ได้ แค่นั้น”
คำพูดนี้พอหลุดจากปาก คนในงานเลี้ยงล้วนเข้าใจแล้ว เรื่องคุณหนูรองสกุลอวิ๋นแต่งเข้าจวนโหวในฐานะอนุคนโปรด แล้วได้รับการดูแลอย่างทิ้งขว้างให้อยู่ในบ้านหลังเล็กๆ นอกจวนโหว เป็นที่รู้กันทั่วทั้งเมืองหลวง จนป่านนี้ แม้แต่ประตูจวนก็ยังเข้าไม่ได้ และมีคนไม่น้อยก็รู้อีกว่า คุณหนูใหญ่สกุลอวิ๋นรู้สึกว่าถูกดูหมิ่น เรื่องเมื่อครู่จึงน่าจะเป็นเพราะได้พบเจอมู่หรงไท่ตัวเป็นๆ จึงอารมณ์ขึ้น อดไม่ไหวที่จะแก้แค้นแทนน้องสาว
ทว่ามู่หรงไท่ไม่เชื่อหรอกว่า อวิ๋นหว่านชิ่นจะออกหน้าแทนอวิ๋นหว่านเฟย แต่ก็พูดอะไรไม่ได้ อ้ำๆ อึ้งๆ อยู่ครึ่งค่อนวัน อึดอัดใจจนหน้าแดงก่ำ พออวิ๋นหว่านชิ่นเห็นจูซุ่นก้าวเข้าหา จึงผละออกจากเมี่ยวเอ๋อร์ หันหน้าไปทางศาลา แล้วคุกเข่าลง
“พระอาญาไม่พ้นเกล้า! เป็นเพราะหม่อมฉันเห็นคุณชายรองมู่หรงแล้ว ก็อดนึกถึงน้องรองที่น่าสงสารไม่ได้ อีกทั้งยังนึกถึงบิดาที่มักถอนหายใจขณะอยู่กับบ้าน จึงหัวร้อนขึ้นมา ละเมิดกฎในวังไป”
เจี่ยไทเฮาอยู่วังหลัง ไม่กระจ่างเรื่องภายในครอบครัวลูกหลานขุนนางสักเท่าไหร่ ฟังไม่ค่อยเข้าใจอยู่บ้าง นางในซึ่งอยู่ข้างๆ จึงอธิบายให้ฟังเสียงเบา
“…เหมือนหลายวันก่อน คุณชายรองของจวนกุยเต๋อโหวรับคุณหนูรองสกุลอวิ๋นเข้าเป็นอนุคนโปรด แต่กลับมิได้ปฏิบัติกับนางดีๆ…คุณหนูอวิ๋นคล้ายเห็นคุณชายรองมู่หรงแล้วหมั่นไส้ รู้สึกว่าคนที่บ้านกับน้องสาวไม่ได้รับความเป็นธรรม จึงทนไม่ไหว โมโหใส่ไป…”
ถ้าคิดเช่นนี้ ก็พอจะอภัยให้อวิ๋นหว่านชิ่นได้ อย่างไรเจี่ยไทเฮาก็เป็นผู้หญิงคนหนึ่ง ย่อมรู้สึกแบบเดียวกับผู้หญิงในใต้หล้า รังเกียจผู้ชายที่ทอดทิ้งผู้หญิง แต่เมื่อกระทำการบุ่มบ่ามในวัง โดยการสาดสุราใส่แขกที่มางานเลี้ยงเช่นนี้ ก็อุกอาจไปจริงๆ แม้อยากช่วยก็ทำอะไรไม่ได้ จึงโบกมือ
“เรียกคุณหนูอวิ๋นมา”
อวิ๋นหว่านชิ่นหันไปมองเมี่ยวเอ๋อร์อย่างอ่อนโยน พลางยิ้มที่มุมปาก บอกใบ้ให้นางสงบไว้ ไม่ต้องกังวลใจ ก่อนถกกระโปรง เดินไปหน้าศาลา แต่เดินได้ไม่กี่ก้าว ก็มีร่างๆ หนึ่งมาขวางทางไว้ เป็นฉินอ๋อง แววตาเขาดูร้อนรนและหมองหม่น กล้ามเนื้อที่แก้มกระตุกน้อยๆ
ตอนที่นางแย่งป้านสุรามาสาดใส่คนนั้น ตนดูออกว่านางมีสติ
แม้ไม่รู้สาเหตุ แต่จิตใต้สำนึกบอกว่า เรื่องนี้ต้องเกี่ยวกับตน
ป้านสุรา…สุรา? ซย่าโหวซื่อถิงละสายตาไปดูพรมแดงหนังแกะที่เปียกแฉะ อีกป้านสุราสลักลายมังกรและหงส์ที่กลิ้งอยู่กับพื้น
พอสนมเอกเฮ่อเหลียนเห็นพฤติกรรมของโอรส ก็รู้ว่าเขาคิดปกป้องอวิ่นหว่านชิ่น จึงรีบหันไปกระซิบ
“ซือเหยาอัน ยังไม่ไปเชิญนายเจ้าให้ออกมาอีก!”
ซือเหยาอันกระซิบตอบ “ท่านสาม…”
อวิ๋นหว่านชิ่นไม่คิดรีรอ จึงเงยหน้าขึ้น มองไปข้างหน้า แล้วเดินอ้อมซย่าโหวซื่อถิง มุ่งตรงไปที่หน้าศาลา