ตอนที่ 82-3 พลิกสถานการณ์

ยอดหญิงอันดับหนึ่ง

พอเจี่ยไทเฮาเห็นท่าทางเช่นนี้ของนาง ก็คิดว่าเมื่อครู่นางเพิ่งแก้ต่างให้น้องสาวคนเล็ก ตอนนี้ยังช่วยน้องสาวคนรองออกหน้าอีก ก็ไม่ใช่เรื่องแปลก จึงยิ่งไม่อยากตำหนินาง ทว่าเมื่อมีสายตานับสิบจ้องมองอยู่ ไม่ต่อว่าสักคำสองคำย่อมไม่ได้ จึงกระแอมไอออกมาสองที

 

 

“ข้านึกว่าเจ้าเป็นคนฉลาดเสียอีก ทำไมถึงได้อดรนทนไม่ไหว หุนหันพลันแล่นเช่นนี้ล่ะ เจ้าทำให้ข้าผิดหวังจริงๆ”

 

 

ครั้งนี้อวิ๋นหว่านชิ่นไม่ร้องไห้และไม่ร้องขอแล้ว ค่อยๆ คุกเข่าลง

 

 

“หม่อมฉันเสียใจที่ทำให้ไทเฮาผิดหวัง และยอมรับผิด แต่…”

 

 

ว่าแล้วก็หันไปมองตรงที่นั่งของมู่หรงไท่ ก่อนพูดด้วยน้ำเสียงที่แฝงไปด้วยความเกลียดชัง

 

 

“ไม่เสียใจที่ได้แก้แค้นแทนน้องสาว”

 

 

จากนั้นก็ยืดร่างที่บอบบางให้ตรง “…น้องสาวหม่อมฉันรักคุณชายรองมู่หรงหมดใจ ซึ่งคนในเมืองหลวงไม่มีใครไม่รู้ แต่คุณชายรองมู่หรงกลับหักหาญน้ำใจนาง ให้นางเป็นอนุก็มากพอแล้ว แต่นี่ขนาดบ้านก็ยังไม่ให้เข้า ทุกครั้งที่ท่านพ่อนึกถึง ก็หลั่งน้ำตา ทุกครั้งที่หม่อมฉันนึกถึง ก็เจ็บใจสุดจะเปรียบ เพียงเสียดายที่ปกติอยู่แต่ในบ้าน ไม่มีทางได้พบกับคุณชายรองมู่หรง วันนี้พอได้พบ จึงอยากหาทางเอาคืนให้กับน้องรองที่น่าสงสารให้สะใจ! เรื่องน้ำใจ หม่อมฉันแน่ใจว่าไม่ผิด แต่เรื่องกฎของวัง หม่อมฉันยอมรับผิดแต่โดยดี!”

 

 

ประโยคสุดท้ายพอออกจากปากนาง ซย่าโหวซื่อถิงก็ขยับ สนมเอกเฮ่อเหลียนจึงก้าวเข้าไป ใช้สายตายับยั้งโอรสไว้ ก่อนพูดเสียงต่ำ

 

 

“เจ้าดูสิ นังหนูสงบนิ่งแค่ไหน เมื่อกล้าทำ ก็น่าจะมีทางหนีทีไล่ไว้แล้ว เจ้ายังจะห่วงอะไรอีก ถ้าเจ้าทะเล่อทะล่าเข้าไป ไม่แน่ว่านางต้องแบ่งสมาธิมาช่วยเจ้าอีก”

 

 

ซย่าโหวซื่อถิงเคร่งขรึมลง ก่อนสะบัดแขนเสื้อ “เหยาอัน เก็บป้านสุรานั่นขึ้นมา ตรวจดูให้หน่อย”

 

 

ในศาลา พอเจี่ยไทเฮาฟังวาจาของอวิ๋นหว่านชิ่นจบ ก็ได้แต่รู้สึกเห็นใจ อึ้งไปสักพัก ค่อยว่า

 

 

“คุณชายรองทำอย่างไรกับน้องสาวเจ้า”

 

 

“ก่อนออกเรือน น้องรักคุณชายรองมู่หรงมากและต้องการแต่งงานจริงจังด้วย ซึ่งทั้งสองก็เคยให้คำมั่นสัญญากันไว้ เรื่องนี้คนในเมืองหลวงก็รู้ดี แต่แล้ว…คุณชายรองมู่หรงก็แต่งน้องสาวหม่อมฉันไปเป็นอนุ เท่านั้นยังไม่พอ ยังไม่ให้นางเข้าจวนโหวอีก นี่…”

 

 

อวิ๋นหว่านชิ่นเห็นเจี่ยไทเฮาคล้ายสนใจอยู่บ้าง ก็ดีใจ แววตาเต็มไปด้วยความเจ็บปวด

 

 

“นี่ ทำราวกับนางเป็นเมียเก็บอย่างไรอย่างนั้น เลี้ยงดูอยู่นอกบ้าน”

 

 

“เฮ้อ” เจี่ยไทเฮาส่ายหน้า “ชายโลเลกับหญิงโง่แท้ๆ คนที่เสียเปรียบก็คือผู้หญิงอยู่วันยังค่ำ คนที่เสียใจมากกว่า ก็คือผู้หญิงอยู่ดี ไม่ได้เป็นเมียหลวงก็แล้วกันไป ยังต้องมีชีวิตที่ตกต่ำแบบนี้อีก”

 

 

แววตาอวิ๋นหว่านชิ่นหมองมัว ขณะพยายามกลั้นน้ำตา พลางพยักหน้า

 

 

“เพคะ น้องรองน่าสงสารจริงๆ” แล้วจึงมองเฉียงไปทางผู้ที่นั่งอยู่ด้านล่างของเจี่ยไทเฮา พลางพูดเน้นทีละคำ “ท่านว่าจริงไหม หัวหน้าไป๋”

 

 

ไป๋ซิ่วฮุ่ยคิดไม่ถึงว่าเด็กนี่จะโยนเรื่องมาที่ตน จึงตกใจ ด้วยใครๆ ในที่นี้ต่างก็รู้ว่าอวิ๋นหว่านเฟยเป็นหลานแท้ๆ ของตน ตอนนี้ตนจึงไม่สามารถแกล้งโง่ ตะลึงงัน หรือทำเป็นไม่ได้ยินได้อีก

 

 

ที่เฟยเอ๋อร์ต้องมีชีวิตเช่นนี้ จริงๆ แล้วไป๋ซิ่วฮุ่ยโกรธแค้นจวนโหวมากที่พูดอย่างทำอย่าง แต่เสียดาย หลานออกเรือนแล้ว นางจึงยื่นมือเข้าไปแทรกต่อไม่ได้อีก ตอนนี้พออวิ๋นหว่านชิ่นพูดถึง ไป๋ซิ่วฮุ่ยจึงเข้าใจในจุดประสงค์แอบแฝง และได้แต่ยืนอยู่ข้างอวิ๋นหว่านชิ่น โดยการก้าวออกมา

 

 

“ไทเฮาเพคะ บ่าว…ก็คล้ายได้ยินเรื่องนี้มาก่อน หลานของบ่าวใช้ชีวิตอยู่อย่างไม่เป็นธรรมจริงๆ มิ…มิน่าเล่า คุณหนูใหญ่ถึงต้องสู้เพื่อนาง”

 

 

สายตาของเจี่ยงฮองเฮาจ้องมองไปยังอวิ๋นหว่านชิ่น พลางรู้สึกทึ่งอยู่บ้าง การให้คนสนิทคนหนึ่งช่วยตนพูดนั้น ไม่ยาก แต่การให้คนที่ไม่ถูกกับตนช่วยตนพูดนี่สิ ถือว่าไม่ธรรมดา

 

 

ซึ่งเด็กนี่ ก็ได้ดึงไป๋ซิ่วฮุ่ยออกมาช่วยพูดให้นางพ้นโทษ

 

 

และเมื่อข้องเกี่ยวกับหัวหน้าไป๋ เจี่ยงฮองเฮาจะไม่ส่งเสียงก็ไม่ได้

 

 

หรือพูดได้ว่า เรื่องยิ่งถูกขยายให้ใหญ่ ไป๋ซิ่วฮุ่ยก็อาจพูดจนกระทบถึงชื่อเสียงของนาง ซึ่งอาจพูดถึงการบีบให้จวนโหวรับอวิ๋นหว่านเฟยเข้าบ้านด้วยซ้ำ น้อยเรื่องย่อมดีกว่ามากเรื่อง อีกอย่าง นางเองก็ดูออกว่าเจี่ยไทเฮาไม่คิดลงโทษเด็กนี่จริงๆ หรอก แล้วจะไม่ให้ฉวยโอกาสนี้พูดเอาใจได้อย่างไร จึงอมยิ้มพลางพูดขึ้นเรียบๆ

 

 

“อารมณ์ชั่ววูบของเด็กผู้หญิงถือเป็นเรื่องปกติ คุณหนูอวิ๋นอายุยังน้อย เพราะไร้เดียงสา ถึงได้วู่วามไปหน่อย และยังเข้าวังเป็นครั้งแรกด้วย ไม่รู้ย่อมไม่ผิด อีกอย่าง นี่ก็เป็นงานเลี้ยงเล็กๆ เป็นการส่วนตัว มิใช่งานใหญ่โตเป็นทางการ ไม่จำเป็นต้องเคร่งเครียดจริงจัง ขอเสด็จแม่ทรงเมตตา หายโกรธแล้วก็แล้วกันไป จะได้ไม่เสียบรรยากาศ”

 

 

คำพูดของเจี่ยงฮองเฮา เสมือนหนึ่งบันไดให้เจี่ยไทเฮาก้าวลงจากเวทีได้ง่ายขึ้น จึงวางท่าเคร่งขรึม ก่อนพูดอย่างตรงไปตรงมา

 

 

“ยังคงเป็นฮองเฮาที่พูดมีเหตุผล เช่นนั้น คุณหนูอวิ๋นต้องจำให้ขึ้นใจว่า ครั้งหน้าจะไม่ทำผิดซ้ำอีก”

 

 

พูดถึงตรงนี้ ก็ขึ้นเสียงสูง “ต่อให้ผู้อื่นผิดจริง เจ้าก็ไม่ควรลงมือ ใจคิดดีเป็นเรื่องที่ดี แต่อย่าทำสิ่งที่ไม่ดี เพราะตนเองจะเสียเองแต่แรก เข้าใจไหม”

 

 

อวิ๋นหว่านชิ่นย่อมไม่ทำตัวฉลาด ตั้งใจฟังคำสั่งสอนของเจี่ยไทเฮา

 

 

สถานการณ์จึงพลิกผัน ในช่วงเวลาอันสั้น

 

 

กลุ่มคนล้วนมิใช่คนโง่ ฟังแล้วก็กระจ่างชัดว่า คำสั่งสอนนี้ จะบอกว่าเป็นการสั่งสอนอวิ๋นหว่านชิ่น มิสู้บอกว่าเป็นการลอบด่ามู่หรงไท่เสียมากกว่า

 

 

หลังจากอวิ๋นหว่านชิ่นขอบพระทัยไทเฮาและฮองเฮา ก็ถกกระโปรงเดินกลับ แล้วไปยืนข้างกายสนมเอก

 

 

เฮ่อเหลียนใหม่ เรื่องเมื่อจัดการเสร็จเรียบร้อย นางค่อยเป่าปากออกมา

 

 

สนมเอกเฮ่อเหลียนรู้ว่านางเจ้าเลห์เพทุบาย แต่เมื่อผ่านอันตรายมาได้ ก็ไม่ถามมากความอีก

 

 

การเสียมารยาทในวัง แม้ไม่นับเป็นความผิดร้ายแรงอะไร แต่การถูกไทเฮาสั่งสอนไม่กี่คำแล้วยังอยู่รอดปลอดภัยกลับมาได้ ชนิดเมฆหมอกจางหาย เหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นนั้น…กลับมีน้อยคนที่ทำได้ ก่อนหน้านี้ก็มีเพียงองค์หญิงคนโปรดเท่านั้นที่ได้รับการปฏิบัติเช่นนี้

 

 

กลุ่มคนพากันชื่นชมในใจขณะมองมาทางคุณหนูอวิ๋น คล้ายเห็นผีอย่างไรอย่างนั้น ต่างคนต่างพูดไม่ออก แต่ผ่านไปสักพัก ประเพณีในงานเลี้ยงก็กลับคืนดังเดิม

 

 

หลังจากเหล่าองค์ชายและคนอื่นๆ คารวะสุราไทเฮาเสร็จเรียบร้อย เหล่านางในประจำโรงครัวก็เริ่มทยอยกันเดินเข้ามา พร้อมยกกับข้าวแต่ละอย่างวางลงบนโต๊ะ

 

 

พอกับข้าวมา ทุกคนก็คึกคักขึ้น กลิ่นอาหารตลบอบอวล ซึ่งล้วนแล้วแต่เป็นอาหารเลิศรสที่ยากพบเห็นทั่วไป บรรยากาศจึงค่อยๆ กลับคืนดังเดิม

 

 

เมื่อเว่ยอ๋องเห็นว่า อีกนิดเดียวแผนการก็จะสำเร็จ แต่กลับถูกคุณหนูใหญ่สกุลอวิ๋นที่ไม่รู้ว่าตั้งใจหรือไม่ได้ตั้งใจเข้ามาพลิกสถานการณ์ ไหนเลยจะกินลง แค่นเสียงออกมาคำหนึ่ง ก่อนมองไปที่มู่หรงไท่ซึ่งนั่งห่างออกไปไม่ไกล

 

 

พอมู่หรงไท่ตากเสื้อจนแห้ง ก็เอาแต่นึกสงสัยในใจ แต่คิดไปคิดมา เริ่มจาก เว่ยอ๋องวางคนไว้เสร็จสรรพ ให้ไปนำสุราดอกท้อที่โต๊ะของซุนจวิ้นอ๋องมา จากนั้นก็อาศัยที่ป้านสุราของเหล่าองค์ชายเหมือนกันทั้งหมด สับเปลี่ยนเสีย แล้วอวิ๋นหว่านชิ่นรู้ได้อย่างไรเล่า

 

 

สีหน้าของเว่ยอ๋องถูกซย่าโหวซื่อถิงเก็บไว้ในสายตา ส่วนป้านสุราก็ถูกซือเหยาอันนำไปตรวจสอบดู แล้วริมฝีปากก็ปรากฏรอยยิ้มเย็นชาโดยไม่รู้ตัว

 

 

ส่วนอวิ๋นหว่านชิ่นที่เพิ่งเสียพลังงานไป กำลังนั่งรับประทานอาหารชาววังอย่างมีความสุข รัชทายาทก็ส่งขันทีน้อยคนหนึ่งมา ยิ้มให้สนมเอกเฮ่อเหลียนพลางโค้งกาย

 

 

“ถวายบังคมพระสนมเอก รบกวนเวลาอาหารแล้ว รัชทายาทอยากขอยืมคนของพระองค์คนหนึ่ง”

 

 

“รัชทายาทต้องการยืมใคร” สนมเอกเฮ่อเหลียนวางตะเกียบงาช้างลง

 

 

ขันทีน้อยมองไปที่อวิ๋นหว่านชิ่น พลางยิ้ม

 

 

“คุณหนูอวิ๋นพ่ะย่ะค่ะ รัชทายาทกำลังเตรียมละครเฉลิมพระชนมพรรษาให้ไทเฮาอยู่ในสวนตรงนั้น อยากให้คุณหนูอวิ๋นไปช่วยเตรียมพ่ะย่ะค่ะ”

 

 

“คุณหนูอวิ๋นรู้เรื่องแบบนี้ที่ไหนกัน ไม่กลัวว่าจะยิ่งทำให้ชักช้าหรอกหรือ” สนมเอกหัวเราะ

 

 

แต่เมื่อรัชทายาทอุตส่าห์ขอมา จะปฏิเสธก็ไม่สู้ดี รัชทายาทเป็นคนกระตือรือร้น งานเลี้ยงในวันนี้นังหนูโดดเด่นทั้งขึ้นทั้งล่อง น่าจะดึงดูดความสนใจของรัชทายาทอยู่ จึงพยักหน้า แล้วหันไปกำชับอวิ๋นหว่านชิ่น

 

 

“เช่นนั้น เจ้าก็ไปช่วยรัชทายาทเถิด เป็นลูกมือต้องตื่นตัวหน่อย อย่าอยู่เฉยๆ ล่ะ”

 

 

อวิ๋นหว่านชิ่นจึงได้แต่วางตะเกียบลง ทั้งๆ ที่กำลังจะใช้ตะเกียบคีบขนมถั่วเหลืองเหนียวหนึบสีเหลืองทองอร่ามที่หากินได้ยากอยู่ แล้วจึงเดินตามขันทีน้อยไป