สนามหญ้าด้านทิศตะวันตกของสวนหลวง
ศาลาอเนกประสงค์ที่ใหญ่และลึกหลังหนึ่งปรากฏอยู่ตรงหน้า ด้านนอกยังมีกระโจมชั่วคราวขนาดใหญ่หลังหนึ่งตั้งอยู่
นักแสดงไม่น้อยสวมชุดแสดงเรียบร้อย มีทั้งสตรีวัยกลางคน จอมยุทธ์ ผู้อาวุโส สาวรุ่น ถ้าไม่กำลังแต่งหน้า ก็กำลังยกแขนร้องเต้นเล่นละคร ซ้อมกันเป็นครั้งสุดท้าย
หนึ่งในนั้นมีสาวรุ่นคนหนึ่ง สวมชุดแสดงสีเขียวอ่อน ถือดอกบัวบานไว้ตรงหน้าอกหนึ่งดอก พลางซ้อมใหญ่ด้วยการร่ายรำอย่างสง่างาม
พอเดินเข้าไปใกล้ หลังต้นไม้ใหญ่ข้างศาลา ยังผูกลาไว้ตัวหนึ่ง กำลังยืนก้นโด่งกินหญ้า โดยมีองครักษ์คอยดูแลอยู่
ขันทีน้อยพาอวิ๋นหว่านชิ่นเดินเข้าไปในศาลาอเนกประสงค์ เห็นโต๊ะเครื่องแป้งที่ทำขึ้นชั่วคราววางอยู่ บนโต๊ะมีลูกท้อแบนๆ ลูกใหญ่หลายลูก พู่นักพรตอันหนึ่ง กระบี่ยาวทำจากไม้ท้อ
และร่างที่คุ้นเคยร่างหนึ่งนั่งอยู่ที่โต๊ะเครื่องแป้ง กำลังเขียนคิ้วให้ตัวเองอยู่หน้าคันฉ่อง ถ้าด้านข้างไม่มีองครักษ์กับขันทียืนอยู่ ไหนเลยจะรู้ว่าคนผู้นี้คือรัชทายาทแห่งยุค
พอได้ยินเสียงรายงาน รัชทายาทก็หันหลังมาทักทาย “มาแล้ว” ก่อนหันกลับไปแต่งหน้าต่อ
โครงหน้าที่ชัดเจนถูกแต่งแต้มด้วยสีสันที่จัดจ้าน คิ้วเข้มตาคม หล่อลากดิน เวลายิ้มแลดูเจ้าเลห์แสนกล สวมชุดแสดงเพียงชั้นหนึ่ง
อวิ๋นหว่านชิ่นถวายบังคม “ไม่ทราบว่ารัชทายาทเรียกหม่อมฉันมา มีอะไรต้องการให้ช่วยเพคะ”
รัชทายาทตวัดข้อมือ แต่งขนตา ทำให้ดูหล่อขึ้น ก่อนยิ้มกับคันฉ่อง
“ได้ยินว่าเจ้าสาดสุราใส่มู่หรงไท่ จนเกือบถูกลงโทษ เราถึงได้เรียกเจ้าออกมาเพื่อช่วยเจ้าหรอก ถ้ายังไม่พอ อีกสักครู่เราจะเตรียมออกโรงเอง”
“ขอบพระทัยที่ทรงห่วงใย”
ชอบพูดอำอยู่เรื่อย เชื่อไม่ได้ซักคำ ถ้ามัวแต่พึ่งเขา มีหวังตายไปนานแล้ว อวิ๋นหว่านชิ่นยิ้ม พลางว่า
“หม่อมฉันแก้ปัญหาได้แล้วเพคะ”
รัชทายาท “อ้อ” ออกมาคำหนึ่ง สีหน้าแสดงความเสียดายที่พลาดโอกาสช่วยสาวงาม
อวิ๋นหว่านชิ่นหันมองรอบด้าน “เรื่องแปดเซียนอวยพรวันเกิด ไทเฮาต้องถูกพระทัยแน่”
พอรัชทายาทเห็นว่านางสายตาแหลมคม มองปราดเดียวก็เดาถูก จึงยิ้มตาหยี
“แล้วชิ่นเอ๋อร์ดูออกไหมล่ะ ว่าเราแต่งเป็นใคร”
อวิ๋นหว่านชิ่นเหลือบมองของบนโต๊ะ แล้วยิ้ม
“รัชทายาทแต่งชุดนักพรตสีขาว มีพู่นักพรต กระบี่ไม้ จะเป็นใครไปได้ นอกจากหลี่ต้งปิน”
รัชทายาทหัวเราะเสียงดัง “เราว่าแล้ว ชิ่นเอ๋อร์นี่ล่ะที่เข้ากับเราได้มากสุด! หญิงสาวในตำหนักบูรพาเหล่านั้น อย่าว่าแต่ซ้อมละครเป็นเพื่อนเราเลย ขนาดละครซึ่งเป็นที่นิยมกันมานมนานก็ยังไม่รู้จัก! เรากับพวกนางจึงพูดกันคนละภาษา มาๆๆ นั่งลง!”
ขันทีน้อยยกเก้าอี้ไม้แดงทรงกลมมาให้ อวิ๋นหว่านชิ่นจึงนั่งลงข้างๆ
รัชทายาทค่อยหันไปใช้ถ่านแท่ง เขียนคิ้วหน้าคันฉ่องต่อ
พอมือเขาขยับ อวิ๋นหว่านชิ่นก็เห็นว่าถ่านแท่งวาดเลยขอบคิ้วออกมา เพราะไม่ค่อยได้วาด จึงหนีบข้อศอกไว้กับตัว กันไม่ให้สั่น การแต่งหน้าด้วยตัวเองมีจุดอ่อนตรงที่ ควบคุมส่วนโค้งงอของร่างกายได้ค่อนข้างยาก
รัชทายาทเกร็งจนเมื่อยแขน จึงหันมา ยัดถ่านแท่งใส่มืออวิ๋นหว่านชิ่น แล้วยื่นหน้าเข้าใกล้
“เขียนคิ้วให้เราหน่อย”
อวิ๋นหว่านชิ่นคันมืออยู่พอดี พอรับถ่านแท่งมา ก็ฝนไปตามคิ้วเดิมของเขา จนเกือบเสร็จ ค่อยรู้สึกว่าใบหน้าของเขากับตนอยู่ใกล้กันมาก ชายหนุ่มจึงขำก่อนว่า
“ละครยังขาดคนแสดงเป็นไป๋หมู่ตาน ชิ่นเอ๋อร์อยากลองเล่นดูไหม”
ทั้งสองพลันชิดใกล้ อีกนิดเดียวก็จะโดนตัวกันแล้ว ดีที่อวิ๋นหว่านชิ่นความรู้สึกไว จึงรีบลดมือลง ไม่ให้รัชทายาทเข้าใกล้
ฉากหลี่ต้งปินกับไป๋หมู่ตาน เป็นฉากเกี้ยวพาราสีอมตะนิรันกาลสุด ขันทีน้อยกับองครักษ์ที่ยืนอยู่ด้านข้างจึงรู้ทันทีว่า รัชทายาทนึกสนุกอีกแล้ว เพียงแต่คุณหนูลูกสาวขุนนางที่ถูกหยอก แกล้งทำเป็นไม่ได้ยิน แล้วถอยออก
อวิ๋นหว่านชิ่นถอนหายใจเบาๆ กระชับถ่านแทงให้แน่น แล้วเขียนคิ้วเป็นเส้นตรงยาวๆ ให้เขา
รัชทายาทรู้ตัวจึงค่อยๆ ปลีกตัวออก แล้วหยิบคันฉ่องขึ้นดู พลางพึมพำ
“ไม่เล่นก็ไม่เล่นสิ ทำไมต้องทำให้เราเสียโฉมด้วย…”
อุปนิสัยขี้เล่นขี้แกล้งเช่นนี้ ทำให้อวิ๋นหว่านชิ่นจ้องมองรัชทายาท พลางรู้สึกหัวเราะไม่ออกร้องไห้ไม่ได้อยู่บ้าง แม้รัชทายาทแห่งตำหนักบูรพาโตกว่าตน แต่อายุที่แท้จริงของจิตวิญญาณภายในร่างกายตน โตกว่าเขาหลายปี ตอนนี้พอนึกว่าเขาเป็นน้องชายคนหนึ่ง ก็โกรธไม่ลง
และในตอนนี้เอง นอกศาลาก็มีคนก้าวสวบๆ เข้ามารายงาน
“เรียนรัชทายาท” เหลือบมองอวิ๋นหว่านชิ่น “พระสนมเอกมีธุระ ต้องการให้คุณหนูอวิ๋นไปรับใช้พ่ะย่ะค่ะ”
แม้รัชทายาทไม่อยาก ก็ต้องปล่อยคน จึงทำหน้าจริงจัง
“เช่นนั้นเจ้าก็ไปปรนนิบัติพระสนมเอกก่อนเถิด”
อวิ๋นหว่านชิ่นจึงลุกขึ้นยืน ประสานมือไว้ที่เอวข้างหนึ่ง ย่อตัวลง แล้วหันกายเดินออกจากศาลาไป
ขันทีหนุ่มที่มาเรียกนาง สวมเครื่องแบบขันทีชุดยาวสีเขียวขี้ม้า
ขันทีในงานเลี้ยงสังสรรค์มีมากมาย สวมชุดก็คล้ายๆ กัน อวิ๋นหว่านชิ่นไหนเลยจะจำได้ พอเดินไปครึ่ง
ทาง ค่อยรู้สึกว่าไม่ใช่ทางขามาเมื่อครู่ อีกทั้งยิ่งเดินก็ยิ่งห่างออกจากงานเลี้ยง จึงเอะใจ พอจ้องมองให้ถ้วนถี่ ก็พบว่าไม่คุ้นหน้าขันทีหนุ่ม ไม่เหมือนคนที่เพิ่งรับใช้อยู่ข้างกายสนมเอกเฮ่อเหลียน จึงหยุดเดิน
“กงกงจะพาข้าไปไหน”
พอขันทีหนุ่มเห็นว่าอวิ๋นหว่านชิ่นเริ่มระแวง ก็หัวเราะหึๆ และไม่คิดปิดบังอะไร
“คุณหนูอวิ๋นวางใจ บ่าวไม่ทำร้ายท่านหรอก เชิญตามบ่าวมา” ว่าแล้วก็ผายมือไปยังซุ้มประตูโค้งด้านหน้า ทำท่าเหมือนคนนำทาง
ที่นี่อยู่ห่างออกมาพอควร จึงเงียบสงบยิ่ง กระทั่งไม่มีเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยกับคนในวังเดินผ่านสักคน
ตกลงเป็นสถานที่ในวังส่วนไหนกันแน่ อวิ๋นหว่านชิ่นย่อมไม่รู้ ขวามือเป็นระเบียงยาว ซ้ายมือเป็นรั้วกำแพง ไม่มีทางไปอื่นใดอีก
ความจริง สนมเอกเฮ่อเหลียนไม่ได้ส่งคนมาเรียกตน ผู้ที่ล่อตนให้ตามมาเป็นอีกคนหนึ่ง
อวิ๋นหว่านชิ่นถามอย่างสงบ “รบกวนกงกงพูดให้ชัดเจนหน่อยว่า ผู้สูงศักดิ์ท่านใดเชิญข้ามา มีธุระอะไร ข้าขอกลับไปบอกพระสนมเอกก่อน ค่อยมาคารวะทีหลัง พระสนมเอกจะได้ไม่ต้องเป็นห่วง”
พอขันทีหนุ่มเห็นอวิ๋นหว่านชิ่นถกกระโปรงเตรียมจะหันหลังกลับ ก็ร้อนรน ยื่นมือออกปราม
“เดี๋ยวๆ คุณหนูอวิ๋นอย่าเพิ่งไป ผู้สูงศักดิ์ท่านนั้นอยู่ในห้องหลานซิน อีกไม่กี่ก้าวก็ถึงแล้ว…”
การรั้งตัวไว้เช่นนี้ ยิ่งทำให้อวิ๋นหว่านชิ่นสงสัยเข้าไปอีก ถ้าเจ้านายคนใดในวังต้องการพบตนจริงๆ เรียกตนไปอย่างเปิดเผยก็ได้แล้ว ไม่จำเป็นต้องทำลับๆ ล่อๆ แกล้งบอกว่าพระสนมเอกให้มาเรียกหรอก
นางจึงรีบผละออกจากขันทีหนุ่ม แล้วหันหลังวิ่งกลับทางเดิม
ขันทีหนุ่มจะเรียกก็ไม่ได้ ไม่เรียกก็ไม่ได้ ขณะกำลังร้อนใจเกาศีรษะอยู่นั้น ผู้ที่อยู่ในห้องหลานซิน หลังซุ้มประตูโค้งคล้ายได้ยินความเคลื่อนไหว จึงสาวเท้าก้าวออกมา ยืนหัวเราะอยู่นอกซุ้มประตูโค้ง
“มีความระมัดระวังสูง ดีมาก”
อวิ๋นหว่านชิ่นหยุดฝีเท้า หันกลับไปดู