ตอนที่ 541 ทักษะเทวะในการเปลี่ยนสีหน้า

ตำนานเทพกู้จักรวาล Tales of Herding Gods

เจ๋อหัวหลีแบกศพของเจี่ยงอี้และติดตามไปข้างหลังฟู่ยื่อลัว เมื่อเขาผ่านไปทางฉินมู่ เขาก็เบือนหน้ามามอง

ฉินมู่กำลังหลอมปรุงยา แต่เขาก็ผงกหัวเป็นการทักทาย “ศิษย์พี่เจ๋อหัวหลี ถ้ามีโอกาสก็ไว้พบกันใหม่”

เจ๋อหัวหลีจากไปพร้อมกับฟู่ยื่อลัวด้วยสีหน้าไร้อารมณ์

เสือเทพยดาขนดำกระโดดลงจากราชวัง และปรายตามองฉินมู่ ก่อนที่จะปรายตามองนักบุญคนตัดไม้ ขวานยักษ์ของเทพผู้นี้ถูกเก็บไปไว้ที่ไหนสักแห่งแล้ว ขณะที่ตัวเขากำลังสังเกตการณ์วิชามือที่ฉินมู่ใช้ในการหลอมปรุงยา

เทพอื่นๆ ก็กระโดดลงมา และรวมตัวมุงรอบๆ พวกเขา ทุกคนมีสิ่งที่อยากจะพูด ในเมื่อมีคำถามมากมายอัดอก แต่ทว่า พวกเขาหุบปากเอาไว้ก่อน

ก่อนที่นักบุญคนตัดไม้จะกล่าวอะไร ก็ไม่มีใครกล้าเอ่ยนำ

เทพซังเย่รีบไปดึงซังฮั่วกลับมา เขาอยากจะดุด่าธิดาสาวของตนอย่างเฉียบขาด แต่ในเมื่อไม่มีใครพูดอะไร ก็คงไม่ดีที่จะเป็นคนทำลายความเงียบ

ฉินมู่นั้นอยู่ในจังหวะสำคัญในการหลอมปรุงยาวิญญาณ กำลังเพ่งสมาธิจดจ่อและไร้ความคิดวอกแวก เขามิได้ให้ความสนใจแก่คนอื่นๆ ที่อยู่รอบตัว แต่ด้วยสายตาของเทพเจ้าทุกตนที่จ้องมาที่เขา ทำให้แม้แต่เขาก็ยังรู้สึกกดดัน และเหงื่อเม็ดหนึ่งก็ปรากฏบนหน้าผากของเขา ถูกรีดเร้นออกมา

ผ่านไปสักพัก ฉินมู่ก็สิ้นสุดการหลอมปรุงยาวิญญาณ และบดมันเบาๆ เขาตักน้ำมาเล็กน้อย ละลายยาที่บดแล้วลงไปในนั้น ก่อนที่จะหยอดสารละลายดังกล่าวลงไปในดวงตาและใบหูของอวี่เหอและฉู่เหยา

เขาสังเกตดูการงอกเงยของม่านตาและแก้วหูของทั้งสองคน จากนั้นก็ขมวดคิ้วเล็กน้อย เขารีบคุ้ยหาสมุนไพรจำนวนหนึ่งจากถุงเต๋าตี้ และผสมขี้ผึ้งยาตำรับหนึ่งมาอย่างรวดเร็ว เขาค่อยทามันลงไปตรงจุดที่บาดเจ็บอย่างระมัดระวัง

“ทำไมเจ้าถึงใส่ยาไปตั้งสองครั้ง” นักบุญคนตัดไม้ถามด้วยความฉงน “ครั้งแรกนั้นเพื่อให้ม่านตาและแก้วหูของพวกเขางอกกลับมา แต่ยาตัวที่สองมีพิษอยู่เล็กน้อย ทำไมถึงเป็นเช่นนั้น”

ฉินมู่เพ่งพิศดูดวงตาของอวี่เหอและฉู่เหยา จากนั้นก็ไปส่องดูรูหูของพวกเขาอีกครั้ง เสร็จแล้วเขาจึงอธิบาย “ขี้ผึ้งนี้มิใช่ยาพิษ แต่เป็นยาวิญญาณที่ใช้สะกดข่มการเจริญเติบโตของเนื้อเยื่อ ยาวิญญาณตัวแรกที่ข้าใช้นั้นเพื่อรักษาม่านตาและแก้วหูของพวกเขาที่ได้รับความเสียหาย แต่ในเมื่อนี่เป็นครั้งแรกที่ข้าหลอมปรุงยาทำนองนี้ ปริมาณที่ข้าใช้จึงไม่เหมาะนัก และฤทธิ์พลังยาก็รุนแรงเกินไป”

“หากว่าข้าไม่ทำอะไรสักอย่าง ม่านตาและแก้วหูของพวกเขาก็จะหนา และส่งผลประทบต่อสายตาและการได้ยินของพวกเขา ดังนั้นข้าจึงต้องใช้ยาตัวที่สองที่ข่มการเจริญเติบโตของเนื้อเยื่อ” เขาบิดยืดเอวแล้วกล่าวด้วยรอยยิ้ม “บัดนี้ พวกเขาก็เกือบจะหายดีแล้ว สายตาและการได้ยินของพวกเขาจะไม่ด้อยไปกว่าแต่ก่อน”

ในบริเวณรอบๆ เทพเจ้าทั้งหลายแห่งสวรรค์ไท่หวงถอนหายใจด้วยความโล่งอก อวี่เหอและฉู่เหยาเป็นยอดฝีมือขั้นเจ็ดดาวที่แข็งแกร่งที่สุดในสวรรค์ไท่หวง พวกเขาก็ยังเป็นชนรุ่นเยาว์ที่มีความหวังมากที่สุดว่าจะบรรลุเป็นเทพเจ้าได้ หากว่าพวกเขากลายเป็นหนวกหรือบอด ก็คงจะเป็นความสูญเสียครั้งใหญ่ของสวรรค์ไท่หวง

ความตายของหวงเยว่และคนอื่นๆ ในโลกจำลองศึกทราย ก็ได้กรีดเนื้อหลั่งเลือดพวกเขาไปมาแล้ว

ฉินมู่กล่าวคารวะไปยังนักบุญคนตัดไม้ “ศิษย์ขอน้อมคารวะประมุขลัทธิ”

นักบุญคนตัดไม้ยื่นมือออกไปและพยุงเขาลุกขึ้น พลางกล่าวด้วยรอยยิ้ม “เจ้าน่าจะได้รับคำสั่งสอนที่ข้าถ่ายทอดเอาไว้ ในเมื่อเจ้าได้รับการสั่งสอนจากข้าโดยตรง เจ้าก็เป็นศิษย์ของข้า และไม่มีความจำเป็นที่ต้องเรียกข้าว่าประมุขลัทธิ”

ฉินมู่ประหลาดใจแกมยินดี หากว่าเขากลายเป็นศิษย์ของนักบุญคนตัดไม้ ลำดับอาวุโสของเขาก็จะพุ่งพรวดพราด หากว่าเขาไปพบกับอดีตเจ้าลัทธิมารฟ้าทั้งหลายอีกครั้ง ไอ้เฒ่าพวกนั้นก็ลืมไปได้เลยว่าจะใช้ลำดับอาวุโสมากดดันเขา!

เขาลังเลอยู่เล็กน้อยก่อนจะถามหยั่ง “ครูบาสวรรค์ ท่านเคยได้ยินเกี่ยวกับลัทธินักบุญสวรรค์ไหม”

“ลัทธินักบุญสวรรค์?” ด้วยความงุนงง นักบุญคนตัดไม้ส่ายหัว “ข้าไม่เคยได้ยินมันมาก่อน”

ฉินมู่สีหน้าซีดเผือด และกลายเป็นห่อเหี่ยว

นักบุญคนตัดไม้ไม่เคยได้ยินเรื่องลัทธินักบุญสวรรค์จริงๆ ด้วย!

เขายังไม่ยินยอมพร้อมใจกับข้อเท็จจริงนี้ และถามหยั่งอีกครั้ง “ถ้าเช่นนั้น ต้นไม้ศักดิ์สิทธิ์ที่ครูบาศักดิ์สิทธิ์ทิ้งเอาไว้ กับก้อนหินนักบุญและรอยขวาน มันมีความหมายที่ลึกล้ำไปกว่านี้หรือเปล่า”

“ต้นหวยแก่นั่นยังไม่ตายอีกรึ” นักบุญคนตัดไม้ตกตะลึง เขาคำนวณอยู่ครู่หนึ่งแล้วกล่าว “ต้นไม้นั่นน่าจะอายุสองหมื่นปีเห็นจะได้ ใช่ไหม ข้าเอาขวานจามมันมาตั้งหลายครั้งหลายหน แต่มันก็ยังคงมีชีวิตอยู่ ไม่ช้าไม่นานมันคงจะกลายเป็นปีศาจได้”

ฉินมู่ตะกุกตะกัก “คะ..ครูบาศักดิ์สิทธิ์ หินนักบะ..บุญนั่น…”

“หินนักบุญอะไร โอ เจ้าหมายถึงหินที่ข้านั่งระหว่างถ่ายทอดคำสั่งสอนน่ะหรือ แล้วมันมีอะไร”

ราวกับว่าฉินมู่ถูกสายฟ้าฟาดจนจิตกระเจิดกระเจิงไปหมด เขาพึมพำ “ทุกครั้งที่พวกเรามีงานเฉลิมฉลองใหญ่ ลัทธินักบุญสวรรค์ของพวกเราก็จะไปคุกเข่าโขกศีรษะที่หน้าหินนักบุญและต้นไม้ศักดิ์สิทธิ์ มีแต่จ้าวลัทธิทั้งหลายและผู้อาวุโสที่ได้กระทำคุณงามความดีเท่านั้น ที่จะมีสิทธิ์ได้ฝังเถ้าอังคารเอาไว้ใต้ต้นไม้ศักดิ์สิทธิ์…”

นักบุญคนตัดไม้ส่ายหัว “พิธีเยอะขนาดนี้เชียวหรือ ข้าชังพิธีรีตองเป็นที่สุด หรือลัทธินักบุญสวรรค์จะถูกก่อตั้งโดยศิษย์ของข้า พี่ใหญ่ของเจ้าไม่ได้เรียนรู้วิชาฝีมือทั้งหมด แต่กลับไปตั้งกฎเกณฑ์มากมายขึ้นมาแทน ด้วยการเพ่งความสำคัญไปที่กฎ เขาก็ได้สูญเสียเป้าสำคัญของความหมายของข้าในการถ่ายทอดคำสั่งสอนให้แก่เขา ช่างไม่เอาไหนเสียเลย ไม่เอาไหนเลยจริงๆ!”

‘ศิษย์’ และ ‘พี่ใหญ่’ ที่เขาพูดถึงนั้นคือบรรพจารย์ก่อตั้ง ซึ่งเป็นบุคคลอันไร้ร่องรอยที่ฉินมู่มิได้พบเจอในยมโลก

ชายผู้นั้นไม่เคยไปที่ยมโลก ดังนั้นฉินมู่จึงไม่รู้ว่าเขาหายไปไหน

กระนั้นสีหน้าเขาก็ซีดเผือดสลับมืดคล้ำ ต้นไม้ศักดิ์สิทธิ์และอาสนะหินนักบุญที่ทุกคนในลัทธิมองว่าเป็นสมบัติล้ำค่ากลับกลายเป็นของไร้ราคาในสายตาของนักบุญคนไม้!

หากว่าข้อเท็จจริงนี้แพร่ออกไป ทุกคนในลัทธินักบุญสวรรค์ รวมทั้งปรมาจารย์เยาว์และอดีตจ้าวลัทธิทั้งหลายในยมโลก ก็คงจะสติหลุดกันแน่!

เสือเทพยดาขนดำมองไปที่สภาวะจังงังของเขา และอ้าปาก แต่ทว่าเขาก็ยับยั้งตนเองไว้ไม่ให้วิพากษ์วิจารณ์ และเพียงแค่คิดในใจ นายท่านเอาแต่ดุด่าข้า และไม่เชื่อว่าไอ้เด็กนี่กรอบคิดจิตใจไม่ดีเลยสักนิด เพียงแค่ระยะเวลาสั้นๆ เด็กนี่ก็เปลี่ยนสีหน้าไปมากกว่าสิบอารมณ์…

เทพเที่ยงแท้ผางอวี้เดินเข้ามา และตรวจดูดวงตาและใบหูของอวี่เหอ เขาก็ไปตรวจดูฉู่เหยาด้วยเช่นกัน เมื่อเขาเห็นว่าทั้งสองหายดี “สหายน้อยฉินได้ช่วยชีวิตพวกเจ้าเอาไว้ ไฉนพวกเจ้ายังไม่รีบไปขอบคุณเขาอีก สาเหตุที่พวกเจ้าทั้งสองสามารถออกมาจากโลกจำลองศึกทรายได้นั้นก็เพราะว่าเขาเสี่ยงชีวิตตนเองเพื่อหลอกล่อศัตรูเข้ามา กำจัดศัตรูไปสามคนตั้งแต่แรก”

อวี่เหอและฉู่เหยาสะท้านใจอย่างรุนแรง และร้องออกมา “เขากำจัดยอดฝีมือถึงสามคนด้วยตนเองเชียวหรือ”

“นับเจี่ยงอี้ด้วยก็เป็นสี่” ผางอวี้ถอนหายใจและกล่าว “ในบรรดาสิบยอดฝีมือเผ่ามาร สี่ได้ตายในน้ำมือของเขา มันเกือบจะครึ่งหนึ่งในพริบตา หากว่าเรานับรวมยอดฝีมือมารที่เด็กสาวจากตระกูลซังเย่กำจัดไปด้วยแล้วล่ะก็ ทั้งสองคนก็ได้ชิงความดีความชอบไปครึ่งหนึ่ง ส่วนคนอื่นๆ รวมทั้งพวกเจ้าทั้งสองกำจัดศัตรูได้เพียงสี่คน เผ่ามารก็ยังคงไม่อาจดูแคลน กำลังฝีมือของพวกเขายังคง…”

เขาส่ายหัวและไม่กล่าวอะไรต่อ

เผ่ามารตายไปเก้าคน และฉินมู่ก็ได้ลงมือกำจัดไปสี่ด้วยตนเอง ขณะที่ซังฮั่วก็ได้กำจัดไปหนึ่ง นี่นับว่าเป็นความดีความชอบที่มากกว่าครึ่งจริงๆ

ในขณะเดียวกัน อวี่เหอและฉู่เหยา ต่างก็กำจัดยอดฝีมือมารไปได้คนละหนึ่ง และร่วมมือกันเพื่อกำจัดไปอีกหนึ่ง นี่หมายความว่ายอดฝีมืออีกหกคนที่ตายไป รวมกันแล้วแลกชีวิตเพื่อกำจัดยอดฝีมือมารได้เพียงคนเดียว

พลังการต่อสู้ของพวกมารเหล่านี้นับว่าแข็งแกร่งกว่ามนุษย์อย่างแท้จริง หากว่ามิใช่เพราะการเข้ามาสมทบอย่างเกินคาดหมายของฉินมู่ พวกเขาก็คงจะประสบกับการถูกฆ่าล้างบางทั้งสิบยอดฝีมือเยาว์!

อวี่เหอและฉู่เหยาระบายลมหายใจสะท้าน พวกเขามายังฉินมู่ที่ดูห่อเหี่ยวและเหม่อลอย พลางกล่าวขอบคุณ

ฉินมู่รีบคารวะกลับไปด้วยใบหน้าเกลื่อนยิ้ม “เมื่อก่อนหน้า ข้าได้พะวงอยู่กับการเพิ่มพูนพลานุภาพกระบี่บินของข้า และมิได้แนะนำตัวข้ากับศิษย์พี่หญิงและศิษย์พี่ชายทั้งสอง ชื่อของข้าคือฉินมู่ ฉินจากคำว่าฟาดฟ่อนข้าว และมู่จากคำว่าคนเลี้ยงวัว ข้าคารวะศิษย์พี่หญิงอวี่เหอ และศิษย์พี่ฉู่เหยา”

เสือเทพยดาขนดำเห็นเขาเปลี่ยนสีหน้าเดี๋ยวคล้ำเดี๋ยวซีดของเขาให้กลายเป็นรอยยิ้มแจ่มจ้าภายในเสี้ยวพริบตา และอดไม่ได้ที่จะแค่นเสียงเย็นชา นายท่านมองไม่เห็นเลยสักนิดว่าเจ้าเด็กนี่มันเปลี่ยนสีหน้าได้รวดเร็วขนาดไหน!

อวี่เหอและฉู่เหยารีบคารวะทักทายกลับไปทันที และฉู่เหยากล่าวอย่างขออภัย “พวกเราได้เย้ยหยันศิษย์พี่ฉินไปตั้งหลายครั้งหลายหน และเรียกท่านว่านักฟาดฟ่อนข้าวและนักตีเหล็ก ข้าหวังว่าท่านคงจะไม่เคืองใจ”

ด้วยสีหน้าเคร่งขรึม ฉินมู่กล่าวอย่างมั่นคง “วิธีการเขียนตัวอักษรฉินนั้นมาจากคำว่าคนสองคนถือสากยาวฟาดฟ่อนข้าวอยู่ และข้าไม่ได้ล้อเล่น อันที่จริงแล้ว น้องชายผู้นี้ได้เรียนการอ่านอักษรทุกชนิดจากอาจารย์ของข้า รวมทั้งเรียนภาษาทุกชนิด อย่างภาษามาร มังกร พุทธ แดนใต้พิภพ แม้กระทั่งภาษาเทพบางส่วน บางครั้งข้าก็ชอบจำแนกแยกแยะองค์ประกอบย่อยของตัวอักษร ดังนั้นนี่มิใช่การโอ้อวดแต่อย่างใด”

สีหน้าของไอ้เด็กนี่เปลี่ยนไปอีกแล้ว! เทพเสือขนดำกัดฟันกรอด แต่นายท่านก็ยังคงมองไม่เห็น!

“ศิษย์พี่อวี่เหอ และศิษย์พี่ฉู่เหยา” สีหน้าเคร่งขรึมของฉินมู่หายไป และรอยยิ้มของเขาก็ราวกับสายลมฤดูใบไม้ผลิ “พวกเจ้าเคยได้ยินเรื่องลัทธินักบุญสวรรค์ไหม ว่ากันตามตรงแล้ว น้องชายผู้นี้เป็นจ้าวลัทธิแห่งลัทธินักบุญสวรรค์ มันก่อตั้งขึ้นมาโดยอาจารย์ของข้า ซึ่งก็คือครูบาศักดิ์สิทธิ์ พวกเจ้าก็ได้เห็นแล้วว่าเขาทั้งทรงปัญญา ห้าวหาญ และเป็นคนพูดน้อย แต่ทว่า คำสั่งสอนของลัทธินักบุญสวรรค์พวกเรานั้นดีเยี่ยมและมหัศจรรย์เป็นอย่างยิ่ง มรรคาแห่งนักบุญที่ว่ากันนั้นก็มิใช่ใดอื่นนอกเสียจากการยังประโยชน์ให้แก่กิจวัตรประจำวันของผู้คน…”

ผ่านไปพักหนึ่ง ฉินมู่ก็ระบายลมหายใจสะท้าน และยิ้มแฉ่งไปให้แก่อวี่เหอและฉู่เหยาผู้ซึ่งเพิ่งเข้าร่วมลัทธิของเขา เขาคิดในใจ ลัทธิศักดิ์สิทธิ์ของข้าเพิ่งก่อตั้งสาขาเข้าไปในสวรรค์ไท่หวง โชคของข้าวันนี้ไม่เลวนัก สามารถเสาะหาหัวหน้าโถงคนใหม่สองคนอันมีศักยภาพที่จะบรรลุเป็นเทพเจ้า! ต่อให้นักบุญคนตัดไม้ไม่ยอมรับว่ารู้จักลัทธินักบุญสวรรค์ก็ไม่เป็นไร ตราบใดที่เขาไม่ปริปากทักท้วง นั่นก็ดีพอแล้วล่ะ จริงสิ ยังมีน้องสาวฮั่วอีก!

เทพเสือขนดำบิดหูของเขาไปมาด้วยความเบื่อหน่าย นายท่านยังคงมองไม่เห็น…

ฉินมู่มุ่งไปหาซังเย่และซังฮั่ว แต่เขาถูกยับยั้งไว้โดยเทพเจ้ามากมาย พวกเขากล่าวชื่นชมเขากันทีละคน และฉินมู่ก็ต้องกล่าวตอบรับอย่างถ่อมตน ด้วยการชื่นชมของเทพเจ้ามากมาย ความมั่นใจของเขาก็ทะยานสูงขึ้น และเขาก็ลิงโลดอย่างสุดๆ

นายท่านก็ยังคงมองไม่เห็น… เสือเทพยดาขนดำพลิกหูหนึ่งไปข้างหน้า และอีกหูไปข้างหลังพลางพึมพำในใจ

ฉินมู่นั้นติดแหง็กอยู่กับเทพเจ้ามากมาย และเมื่อทุกคนแยกย้าย เทพเจ้าแห่งสวรรค์ไท่หวงก็รีบออกเดินทางไปควบคุมกองทัพเข้ามาตั้งกำลังในเมืองหลีเพื่อมิใช้พวกมารบุกกลับมายึดคืนได้ในภายหลัง ซังฮั่วก็ถูกซังเย่พาจากไป อันทำให้ฉินมู่ได้แต่ถอนหายใจด้วยความเสียดาย

“ตามข้ามา ข้ามีบางอย่างอยากจะถามเจ้า” นักบุญคนตัดไม้กล่าว

ฉินมู่รีบตามเขาไป เสือเทพยดาขนดำอยากจะตามไปด้วยเช่นกัน แต่นักบุญคนตัดไม้หันกลับมาจ้องเขา เขาก็เลยชะงัก เสือเทพยดาขนดำหันหน้าเสไปมองทางอื่น

“เจ้าเป็นมารหรือเป็นมนุษย์” ฉินมู่ได้ตามนักบุญคนตัดไม้ไปยังที่เงียบสงบและถูกยิงคำถามเป็นสิบๆ “แม้ว่าเจ้าจะได้เรียนรู้วิชาของข้า และสืบทอดมรดกยุทธของข้า แต่ยังคงมีพลานุภาพประหลาดในร่างกายของเจ้าอันเป็นของเผ่ามาร จู่ๆ เจ้าก็ปรากฏขึ้นมาในสนามรบ ท่ามกลางหมู่มารทั้งหลาย ดังนั้นพฤติการณ์ของเจ้าจึงน่าสงสัย บอกข้า เจ้ามาจากที่ไหนกันแน่”

ฉินมู่ลังเลอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะกล่าว “หมู่บ้านไร้กังวล”

นักบุญคนตัดไม้หันขวับ และจ้องหน้าเขาเขม็งราวกับว่าจะดูว่าเขาโกหกหรือพูดความจริง

ฉินมู่มีสีหน้าสงบขณะที่กล่าว “ข้าไม่ได้เกิดในหมู่บ้านไร้กังวล แม่ของข้ากำลังตั้งท้องข้าอยู่ตอนที่พ่อและแม่ของข้าออกไปจากที่นั่น พวกเขาประสบกับศัตรูระหว่างการเดินทาง และในที่สุดนางก็ให้กำเนิดข้าในแดนใต้พิภพ ท้าวยมราชแห่งยมโลกกล่าวว่า เพราะข้าถือกำเนิดที่นั่น บางอย่างที่ไม่อาจคาดเดาได้ก็เกิดขึ้น ทำให้สันดานมารแห่งแดนใต้พิภพเข้าไปในร่างกายของข้า”

นายท่าน ท่านจ้องหน้าเขาขนาดนี้ก็ยังไม่เห็นสีหน้าเปลี่ยนแปลงไปมาของเขาได้อีกหรือ! ไกลออกไป เสือเทพขนดำเดือดดาลจนแทบจะโลดเต้น

“เจ้าบอกว่ามาจากหมู่บ้านไร้กังวล แต่เจ้ามีสิ่งสัญลักษณ์ใดหรือไม่” นักบุญคนตัดไม้ถาม

ฉินมู่รีบถอดจี้หยกออกมาจากคอ

………….