ตอนที่ 542 สอดคล้องกับกฎสวรรค์

ตำนานเทพกู้จักรวาล Tales of Herding Gods

แม้ว่าฉินมู่จะดึงจี้หยกออกมา แต่เขาก็ไม่ถอดมันออก เขากล่าวด้วยความลังเล “ท้าวยมราชกล่าวว่า จี้หยกนี้ใช้สยบสันดานมารในร่างของข้า และข้าไม่อาจแสดงให้ผู้อื่นเห็นได้โดยง่าย หากว่าจี้หยกนี้ออกไปห่างไกลจากร่างกายของข้า ก็จะเกิดเรื่องร้ายขึ้นมา”

นักบุญคนตัดไม้ส่ายหน้า “มีข้าอยู่ใกล้ๆ จะเกิดเรื่องร้ายอะไรขึ้นมาได้ มันก็คงเป็นแค่ลูกไม้ตุกติกเล็กน้อยอย่างคำสาปบางอย่าง หรือสายฟ้าฟาด อันไม่นับเป็นอะไรสำหรับข้า”

ฉินมู่กัดฟันและถอดจี้หยกออกมา ในอดีต ข้าได้ถอดจี้หยก และแสดงให้คนอื่นๆ ในหมู่บ้านชมดู เขาก็ได้เผยมันให้น้องสาวจิ่งดูเช่นกันและไม่เห็นเกิดเรื่องร้ายอะไรขึ้นมา คราวนี้ก็ไม่น่าจะเกิดอะไรขึ้นเหมือนกัน

นักบุญคนตัดไม้รับจี้หยกมา เขาเพ่งสายตาลงไปบนนั้นและผงกหัว “มันเป็นจี้หยกของทายาทจักรพรรดิก่อตั้งจริงๆ เอ๋ แต่นี่ดูเหมือนไม่เหมือนกับอันอื่นๆ มันมีวงจรพยุหะปิดผนึกซ่อนอยู่ลึกๆ ข้างใน หรือว่ามันจะเป็นวงจรพยุหะที่ใช้ปิดผนึกสันดานมารของเจ้า”

“มีใครบางคนได้นำข้าออกมาจากแดนใต้พิภพมายังแดนโบราณวินาศ และท่านยายซีก็เก็บข้าได้ ข้างๆ ตัวข้ามีตะกร้า ผ้าอ้อม และจี้หยกนี้เท่านั้น บุคคลที่ส่งข้ามาได้ตายไปจากอาการบาดเจ็บสาหัสแล้ว…”

ฉินมู่สีหน้าหมองลงและกล่าวต่อ “ท่านยายซีเป็นธิดาเทพแห่งลัทธินักบุญสวรรค์ของข้า และก็เป็นนางที่เลี้ยงข้ามาจนเติบใหญ่ จี้หยกอันนี้ติดตัวข้ามาโดยตลอด ท่านยายซีและคนอื่นๆ ไม่พบประโยชน์ใช้สอยอื่นของมันนอกจากขับไล่ความมืดของแดนโบราณวินาศให้ล่าถอยไป แต่ทว่ามันใหญ่พอแค่จะปกป้องทารกคนหนึ่งเท่านั้น”

“หลังจากนั้น ผู้ใหญ่บ้านก็ได้ค้นพบว่าจี้หยกนี้มีความสามารถที่จะนำทางพวกเราไปยังหมู่บ้านไร้กังวล ทว่ามันเป็นเพียงแค่กับดัก จี้หยกได้นำทางพวกเราไปยังแดนยมโลก และพวกเราก็ปะทะเข้ากับมารเทวะที่ดักซุ่มรออยู่ข้างนอกเมืองยมโลก”

“มันมีความลับซ่อนอยู่อีกจริงๆ” นักบุญคนตัดไม้พลิกจี้หยกไปมาจนกระทั่งสายตาของเขาผิดประหลาด “จี้หยกนี้มิได้เพียงแค่สามารถนำทางเจ้าไปยังหมู่บ้านไร้กังวล แต่ยังสามารถนำทางเจ้าไปยังแดนใต้พิภพ ก็ในเมื่อมันถูกหลอมสร้างขึ้นมาที่นั่น ยิ่งไปกว่านั้น ผู้ที่หลอมสร้างมันยังแข็งแกร่งอย่างมหันต์ แข็งแกร่งเสียยิ่งกว่าข้า แปลกจริง ผนึกที่แข็งแกร่งขนาดนี้ มันกำลังพยายามจะปิดผนึกอะไรเอาไว้”

สายตาของเขาวูบไหวเมื่อความสงสัยทวีขึ้นมา “เมื่อข้าสะกดข่มพยุหะปิดผนึกในจี้หยกนี่ได้ ข้าก็จะได้รู้ว่าอะไรที่ถูกปิดผนึกเอาไว้…”

ฉินมู่เต็มไปด้วยความกระตือรือร้น เมื่อท้าวยมราชพยายามทำแบบเดียวกันนี้ เขาได้สิ้นสติไป และไม่เห็นว่าเกิดอะไรขึ้นหลังจากนั้น

เขานั้นก็สงสัยใคร่รู้เป็นอย่างยิ่งว่าจี้หยกนี้ปิดผนึกสิ่งใดไว้กันแน่ และจะเกิดอะไรขึ้นหลังจากคลายผนึก

นักบุญคนตัดไม้มองไปที่สีหน้าของเขา และพึมพำกับตนเองอย่างตกลงใจไม่ได้อยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นเขาจึงยัดจี้หยกกลับใส่ในมือฉินมู่

เด็กหนุ่มงุนงง

“บุคคลที่หลอมสร้างจี้หยกนี้ทรงพลังเป็นอย่างยิ่ง และน่าจะเป็นหนึ่งในตัวตนที่แข็งแกร่งที่สุดในแดนใต้พิภพ อันเป็นดินแดนลึกลับที่น้อยคนนักจะได้เห็นโฉมหน้าที่แท้จริงของมัน แม้แต่จักรพรรดิก่อตั้งก็ไม่รู้ว่ามียอดฝีมือมากเท่าไรที่เร้นกายอยู่ในแดนใต้พิภพ” นักบุญคนตัดไม้กล่าว

“การที่จี้หยกนี้อยู่ติดกายเจ้ามันจะต้องมีเหตุผลอยู่เป็นแน่ ข้าคิดว่าพวกเราไม่หยั่งเข้าไปดูจะดีกว่า ในเมื่อท้าวยมราชบอกว่าอย่าให้จี้หยกนี้ออกไปห่างจากตัวเจ้า เจ้าก็จงทำตามที่เขาบอก”

เขาอยากรู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นหลังจากที่เขาสยบพยุหะปิดผนึกในจี้หยกแล้ว แต่เขาทนข่มมันเอาไว้

ฉินมู่จึงได้แต่รับจี้หยกของตนกลับมา และห้อยมันไว้ที่คอเหมือนเดิม

ในตอนนั้น ก็มีผู้ฝึกวิชาเทวะมากมายแห่งสวรรค์ไท่หวงที่เข้ามาในเมืองหลี และซ่อมแซมสิ่งก่อสร้างทั้งหลาย ก่อสร้างสิ่งป้องกันเมือง ฉินมู่มองไปรอบๆ แต่ไม่เห็นอาวุธอย่างปืนใหญ่เทวะยิงตะวัน

แม้ว่ากำลังฝีมือของผู้ฝึกวิชาเทวะแห่งสวรรค์ไท่หวงจะแข็งแกร่งสุดๆ และเหนือกว่าผู้ฝึกวิชาเทวะแห่งสันตินิรันดร์ระดับชั้นหนึ่ง แต่พีชคณิตของพวกเขาอ่อนแอเป็นอย่างมาก อาวุธอย่างปืนใหญ่เทวะยิงตะวัน ต้องอาศัยความสำเร็จเชิงพีชคณิตอันสูงส่ง ดังนั้นผู้คนพวกนี้จึงไม่สามารถหลอมสร้างพวกมันขึ้นมาได้

ต่อให้ฉินมู่วาดพิมพ์เขียวและมอบให้แก่พวกเขา พวกเขาก็คงจะไม่สามารถหลอมสร้างมันขึ้นมา มีก็แต่จักรวรรดิสันตินิรันดร์อันพรักพร้อมไปด้วยผู้เชี่ยวชาญเชิงพีชคณิตเท่านั้นถึงจะทำมันได้

“เจ้ามายังสวรรค์ไท่หวงได้อย่างไร” นักบุญคนตัดไม้ถาม

ฉินมู่บอกเล่าเขาอย่างสังเขปว่าเขาได้เปรียนวิธีการบูชายัญโลหิตและแลกเปลี่ยนตัวเขากับแม่ทัพมารตนหนึ่ง ขนส่งตัวเขาเข้ามาในสวรรค์ไท่หวง นักบุญคนตัดไม้ส่ายหัว “บุ่มบ่ามจริงๆ ไปแลกเปลี่ยนตัวเจ้าเองกับบุคคลในค่ายทัพศัตรู เจ้าไม่กลัวตายบ้างหรืออย่างไร”

ฉินมู่สูดลมหายใจลึกและกล่าวอย่างเคร่งขรึม “เพื่อเอาชนะกษัตริย์มนุษย์บรรพชนแรก มันคุ้มค่าที่จะเสี่ยง! ครูบาศักดิ์สิทธิ์สอนข้าได้หรือไม่ ในวิธีการฝึกปรือเป็นเทพเที่ยงแท้เยาว์”

นักบุญคนตัดไม้อึ้งไปเล็กน้อย “เจ้าต้องการจะฝึกปรือเป็นเทพเที่ยงแท้เยาว์ และเอาชนะคนหนีทัพผู้นั้นแห่งโถงกษัตริย์มนุษย์งั้นรึ”

ฉินมู่ผงกหัวอย่างเคร่งขรึม

นักบุญคนตัดไม้แย้มยิ้ม “เจ้าไม่รู้ปูมหลังที่มาของเขาสินะ?”

ฉินมู่หน้าเซ่อ

“เจ้าและเขาเหมือนๆ กัน พวกเจ้าทั้งคู่แซ่ฉิน และต่างก็เป็นศิษย์ของข้า ฟู่ยื่อลัวเรียกข้าว่าครูบาสวรรค์อันหมายถึงครูบาที่กระทำการสอดคล้องกับกฎสวรรค์ และยังเป็นครูบาของโอรสสวรรค์อีกด้วย ทว่าจริงๆ แล้วข้าเป็นเพียงครูคนหนึ่งเท่านั้น เมื่อครั้งกระโน้น ด้วยคำบัญชาของจักรพรรดิก่อตั้ง ข้าสั่งสอนองค์ชายมากมาย และหนึ่งในองค์ชายเหล่านั้นคือคนหนีทัพแห่งโถงกษัตริย์มนุษย์”

นักบุญคนตัดไม้เดินตรงไปยังประตูทิศตะวันออกของเมืองหลีพลางหวนรำลึกถึงอดีต สายตาของเขาดูขมุกขมัว

“องค์ชายผู้นี้มีพรสวรรค์อันเหนือธรรมดา และปฏิภาณของเขาก็สูงลิ่ว แต่ทว่า เมื่อภัยพิบัติปะทุขึ้นมา และสภาสวรรค์ก็จมปลักลงไปในการสงคราม องค์ชายนี้หวาดกลัวความตายและหลบหนีไป ด้วยความบังเอิญหรือฟ้าลิขิตก็ตาม เขาได้ช่วยชีวิตผู้คนจำนวนหนึ่ง และได้รับการยกย่องให้เป็นกษัตริย์มนุษย์”

“ข้าเองก็ยังมีชีวิตอยู่ ดังนั้นเขาจึงมาขอเข้าพบข้าหลายต่อหลายครั้ง แต่ข้าไม่ต้องการพบเขา หลังจากนั้นข้าก็จำศีลแปลงเป็นรูปสลักหินขณะที่จิตวิญญาณดั้งเดิมของข้าท่องไปทั่วโลกหล้าเพื่อค้นหาคำตอบต่างๆ ดังนั้นข้าจึงมิได้พบเห็นเขาอีก เจ้าคิดจะเอาชนะเขา คงจะยากมากๆ”

ฉินมู่กำหมัดแน่นและกล่าวด้วยเสียงอันดัง “แต่ถึงอย่างไร ครูบาศักดิ์สิทธิ์ก็ต้องมีหนทางใช่ไหม”

นักบุญคนตัดไม้เดินขึ้นไปบนกำแพงเมืองสูง ในเมื่อพวกเขาจำเป็นต้องป้องกันการรุกรานของเหล่ามาร ป้อมปราการเมืองทั้งหมดก็ถูกปลูกสร้างไว้อย่างสูงลิ่ว ดังนั้นการปีนขึ้นไปบนป้อมสักป้อมก็ไม่ต่างอะไรกับการปีนขึ้นภูเขา

“ข้าเคยสอนเขามาก่อน และพรสวรรค์กับปฏิภาณของเขาล้ำเลิศที่สุดท่ามกลางองค์ชายทั้งหมดที่ข้าได้สอนสั่งมา เขาสามารถสำเร็จทักษะเทวะใดๆ ได้แม้เพิ่งเรียนรู้มัน และปฏิภาณความเข้าใจหนึ่งของเขาก็เทียบได้กับร้อยคน เขาเคารพครูของเขา และให้ความสำคัญกับการสั่งสอน แม้ว่าข้าจะหมิ่นแคลนที่เขาหนีทัพ แต่ข้าก็ยังชื่นชมเขาเป็นอย่างยิ่ง หากว่าเจ้าต้องการจะเอาชนะเขา การหวังพึ่งให้ข้าสอนแต่อย่างเดียวก็คงจะไร้ประโยชน์”

นักบุญคนตัดไม้เดินขึ้นบันไดไปทีละขั้นๆ ราวกับปุถุชนธรรมดา โดยไม่ใช้ทักษะเทวะใด “ข้าเป็นครูของจักรพรรดิก่อตั้ง และมีชื่อเสียงว่าครูบาสวรรค์ ในแง่ของกำลังการต่อสู้แล้ว ข้ามิใช่คนที่แข็งแกร่งที่สุดในยุคนั้น ในทางตรงข้าม กำลังการต่อสู้ของข้านับได้เพียงชั้นกลางๆ เท่านั้น หากว่าข้าสอนเจ้า เจ้าก็จะไม่สามารถเหนือล้ำกว่าคนหนีทัพไปได้ ยิ่งไปกว่านั้น” เขาแย้มยิ้ม “ไม่ใช่ว่าข้าก็สอนเจ้าไปแล้วหรอกหรือ”

ฉินมู่ตกตะลึง ความหมายของเขาก็คือการสั่งสอนบนอาสนะหิน ดังนั้นถ้าพูดตามเหตุตามผล นักบุญคนตัดไม้ก็ได้สอนเขาไปแล้ว แต่ทว่า ฉินมู่ก็ยังขัดเคืองกับการที่นับอันนั้นเป็นการสั่งสอน

นักบุญคนตัดไม้มีทักษะเทวะที่ทรงพลังมากกว่านั้นชัดๆ ในสนามรบ ฉินมู่ได้พบกับฟู่อวี่เซียวและเกือบถูกฝ่ายตรงข้ามสังหาร หากว่าไม่เพราะนักบุญคนตัดไม้ขับเคลื่อนกระบวนท่าให้ฉินมู่เรียนรู้และสามารถหลบหนีจากอันตรายไปได้

ในเมื่อเขามีทักษะเทวะที่ทรงพลังมากกว่านั้น ทำไมเขาถึงไม่ยินดีที่จะสอนสั่ง

ฉินมู่อยากเรียนรู้วิชาฝึกปรือและทักษะเทวะที่ทำให้เขาสามารถกลายเป็นเทพเจ้าเยาว์ได้ เขาอยากที่จะร้อยรัดกายเนื้อให้เป็นหนึ่งเดียว เพื่อก้าวล้ำไปกว่ากษัตริย์มนุษย์บรรพชนแรกในขั้นวรยุทธเดียวกัน เพื่อซัดให้คว่ำจมโคลน หักกระดูกเขาและทำให้เขากระอักเลือดออกมา เขาอยากจะกระทืบอีกฝ่ายจนกระทั่งต้องคุกเข่าลงกับพื้นและวิงวอนขอความเมตตา จนกว่าบรรพชนแรกจะโขกศีรษะและกล่าวขออภัยต่ออดีตกษัตริย์มนุษย์ทั้งหลาย!

“หากข้าสอนทักษะเทวะของข้าแก่เจ้า เจ้าก็จะไม่เค้นสมองตรึกตรองเข้าใจกระบี่ภัยพิบัติ กระบี่ริเริ่มภัยพิบัติเป็นสิ่งที่อัศจรรย์อย่างยิ่ง แต่ข้าไม่อาจสอนเจ้าในสิ่งนั้นได้”

นักบุญคนตัดไม้ขึ้นไปบนป้อมปราการเมืองและนั่งลง เขาตบลงกับขั้นบันไดข้างๆ ตนและเรียกฉินมู่ให้เข้ามานั่งด้วยเช่นเดียวกัน

ฉินมู่นั่งลงบนพื้นผิวอันเย็นเฉียบราวน้ำแข็งนั้น

เขาหันกลับไปและเห็นเสือเทพยดาขนดำยืนอยู่ข้างใต้ป้อมปราการเมือง มิได้ขึ้นมาด้วย

“ทักษะเทวะทั้งหมดที่ข้ารู้ล้วนแต่ซ่อนเอาไว้ในคัมภีร์ เจ้าเพียงแต่ต้องใช้หัวใจของเจ้าตรึกตรองมันออกมา และเจ้าก็จะสามารถเรียนรู้พวกมันได้ คัมภีร์เหล่านั้นจักรพรรดิก่อตั้งสอนข้ามาอีกที”

“สิ่งที่ข้าเรียนรู้นั้นมากมายและหลากหลายอย่างเหลือแสน ดังนั้นต่อให้ข้าได้รับสุดยอดวิชาของจักรพรรดิก่อตั้งมา ข้าก็ยังไม่อาจรุดหน้าไปอีกขั้นได้ ข้ายังคงนับว่าเป็นเพียงเทพและมารที่มีฝีมือระดับกลางๆ เท่านั้น” นักบุญคนตัดไม้อธิบาย “ในเวลาไม่นาน ข้าก็ตระหนักว่าการเรียนรู้หลายสิ่งมากเกินไปก็อาจจะไม่ใช่เรื่องที่ดี มาสิ มาดูดวงอาทิตย์ขึ้นกัน”

“ดวงอาทิตย์ขึ้น?”

หางตาของฉินมู่กระตุกเมื่อเขามองไปยังท้องฟ้า ดวงตะวันแตกๆ หักๆค่อยๆ ส่องแสงสีแดงเรื่อออกมา รูปร่างพิกลพิการของมันบาดตาเขาเป็นอย่างยิ่ง

ใบหน้าเขามืดดำทันที และเขาก็รีบเบือนหน้าหนี เขารีบสะกดความอยากทุบทำลายในหัวใจเอาไว้ ข้างๆ เขา นักบุญคนตัดไม้ก็สีหน้ามืดดำ และก้มหน้าลง

ดวงอาทิตย์ขึ้นของสวรรค์ไท่หวงได้ทำให้ทั้งคู่รู้สึกเหมือนกับนั่งบนพรมเข็ม พวกเขาล้วนแต่รู้สึกทุรนทุราย

ฉินมู่เป็นจ้าวลัทธิมารฟ้า และเชี่ยวชาญเชิงพีชคณิต เขาเรียนวิชาช่างไม้จากเฒ่าหม่าและหวังความสมบูรณ์แบบจากงานฝีมือทุกชนิด แม้แต่เครื่องเรือนที่ท่านยายซีทำมากระโดกกระเดก ฉินมู่ก็ตามแก้ให้จนหมด แล้วดวงตะอาทิตย์อันอัปลักษณ์จนเกินจะทนดูนี่เขาจะปล่อยไปได้อย่างไร

ลัทธิมารฟ้าก็มีโถงงานฝีมือ และโถงวิศวกรรมอันล้วนแต่มีมาตรฐานที่เข้มงวดในการรังสรรค์ชิ้นงาน ทั้งสองโถงนั้นมาจากคัมภีร์มารฟ้ามหาศึกษิตอันแตกแขนงออกมาจากวิชาในการคำนวณและหัตถการต่างๆ ในคัมภีร์ คัมภีร์มารฟ้ามหาศึกษิตได้รับถ่ายทอดมาจากนักบุญคนตัดไม้ ดังนั้นไม่ต้องบอกก็รู้ว่าเขามีความสำเร็จอันน่าตื่นตะลึงในเชิงพีชคณิตด้วยเช่นกัน

ผู้ฝึกวิชาเทวะแห่งสวรรค์ไท่หวงภูมิใจเป็นอย่างยิ่งว่าดวงตะวันบนฟากฟ้านั้นหลอมสร้างขึ้นมาด้วยฝีมือเทพเจ้าของพวกเขา แต่สำหรับสองคนนี้ ดวงตะวันเป็นสิ่งอุบาทว์สายตา

บนท้องฟ้า ดวงอาทิตย์อีกซีกก็ส่องสว่างขึ้นมาด้วยเช่นกัน และดวงตะวันทั้งสองดวงก็แขวนห้อยอยู่ตรงนั้นโดยไม่กระดุกกระดิก

หางตาของนักบุญคนตัดไม้กระตุก และเขาพยายามฝืนตัวเอาไว้ไม่ให้เงยหน้าขึ้นไปมอง “พวกที่อยู่ในสวรรค์ไท่หวงลืมวิชาช่างงานฝีมือทั้งหมดเสียแล้ว!”

“เทพที่หลอมสร้างดวงตะวันนี้ เรียกว่าผู้สร้างตะวัน” ฉินมู่กล่าวด้วยใบหน้าก้มลง

“บ๊ะ! ผู้สร้างตะวันอะไร ข้ารู้จักหมอนั่น! เขาก็เป็นแค่พ่อครัวคนหนึ่งในสภาสวรรค์!”

ฉินมู่ตะลึง

นักบุญคนตัดไม้ลุกขึ้นยืนและกล่าว “เจ้าจะต้องตรึกตรองเข้าใจวิธีการในการกลายเป็นเทพเที่ยงแท้เยาว์ด้วยตนเอง มันจะดีกว่าให้ข้าสอนเจ้า สิ่งที่ข้าสอนถึงอย่างไรก็เป็นเพียงแค่ของข้า แต่สิ่งที่เจ้าตรึกตรองเองมันจะเหมาะสมกับตัวเจ้าที่สุด ข้าจะพาเจ้าไปที่ประตู แต่เจ้าจะต้องเดินเส้นทางที่เหลือทั้งหมดด้วยตัวเจ้าเอง”

เขาเงยหน้าขึ้นมองไปที่ไกลๆ ทิศเหนือ ทิศใต้ และทิศตะวันตกของเมืองหลียังคงมีปราณมารลอยคละคลุ้ง ราวกับว่ามีฝาหม้อใหญ่ครอบทับฟ้าและดินเอาไว้ “ข้ามาที่สวรรค์ไท่หวงในคราวนี้เพียงเพื่อจะหยุดยั้งเหล่ามารมิให้บูชายัญสวรรค์ไท่หวง ฟู่ยื่อลัวเป็นแม่ทัพที่ปรีชาสามารถ และถอยทัพไปเพราะว่าเขาไม่มีพละกำลังมากพอที่จะรับมือกับการมาเยือนโดยฉับพลันของข้าได้ ในครั้งถัดไปที่เขามาอีก เขาก็จะจู่โจมด้วยฤทธานุภาพสะท้านฟ้าดิน!”

ฉินมู่หัวใจสะดุ้งด้วยความแตกตื่นและรีบถาม “สวรรค์ไท่หวงจะขัดขวางมันเอาไว้ได้ไหม”

ตูม!

พื้นดินสั่นสะเทือน และฉินมู่รีบมองไปยังที่มาเสียง ในสนามรบที่ห่างไกลออกไป ผู้ฝึกวิชาเทวะมากมายแห่งสวรรค์ไท่หวงกำลังสุมกองซากศพของมารและมนุษย์ที่ตกตายลงในการศึก เปลี่ยนพวกมันให้เป็นภูเขาซากศพ

ทันใดนั้น พื้นดินก็แยกออกจากกัน และแท่นสังเวยยักษ์ก็ค่อยๆ ผุดโผล่ขึ้นมาจากนั้น แสงเรืองของการบูชายัญเลือดสาดส่อง และลำแสงสีแดงฉานก็พวยพุ่งขึ้นไปบนท้องฟ้า ข้างในนั้น ปรากฏรูปสลักหินขึ้นมา

ตูม ตูม คลื่นสะเทือนรุนแรงส่งมาถึงพวกเขาเมื่อสนามรบสะท้านสะเทือนอย่างไม่หยุดนิ่ง ยิ่งปรากฏแท่นสังเวยมากขึ้นและมากขึ้น

บนแท่นสังเวยเหล่านั้น ลำแสงสีแดงที่เหมือนกับหอคอยสูงพวยพุ่งขึ้นสู่เวหา และรูปสลักหินก็ค่อยๆ ก่อตัวขึ้นบนแท่นสังเวย!

ความหมายมาดมุ่งหวังท่วมท้นฉินมู่ และเขามองไปที่นักบุญคนตัดไม้ คาดหวังคำตอบ

“พวกเราขัดขวางไม่ได้” นักบุญคนตัดไม้เหมือนกับราดน้ำเย็นเฉียบลงบนหัวฉินมู่ “พวกเราเพียงแค่ถ่วงเวลาได้สักระยะหนึ่งเท่านั้น”

 …………..