ตอนที่ 83 ศึกรับอนุภรรยา (5)

เจ้าสาวร้อยเล่ห์

“ข้าบอกเรื่องนี้กับมี่เอ๋อร์…” หวงฝู่เยวี่ยเอ้อมองสีหน้าของซั่งกวนฮ่าวอย่างระมัดระวัง ในชั่วพริบตานั้นไม่มีเมฆหมอกหรือเสียงอัสนีบาตฟาดเปรี้ยงแต่อย่างใด ทำให้หวงฝู่เยวี่ยเอ้อที่พร้อมจะยอมรับความเดือดดาลเป็นฟืนเป็นไฟของซั่งกวนฮ่าวพิศวงใจมาก แม้กระทั่งเกิดความผิดหวังบางอย่างที่อธิบายไม่ถูกแล้วลองพูดหยั่งเชิงว่า “เจ้าไม่โกรธหรือ?”

อะไรที่เรียกว่าระบายความในใจกับสวรรค์? ซั่งกวนฮ่าวโมโหมากจนขมับเต้นตุบๆ แสยะยิ้มที่ค่อนข้างบึ้งตึงแล้วพูดว่า “เจ้าคิดอย่างไร?”

หวงฝู่เยวี่ยเอ้อถอยหลังไปอีกก้าวหนึ่งพลางกล่าวอย่างเอาใจว่า “ข้าไม่ได้ห่วงใยเจ้ากระมัง!”

“ห่วงใยหรือ?” ซั่งกวนฮ่าวอดตะโกนเสียงดังอย่างที่หวงฝู่เยวี่ยเอ้อคาดหวังไว้ไม่ได้ “เจ้ารู้หรือไม่ว่าข้าจะโกรธหากยังทำเช่นนี้อีก? เจ้ามีสมองหรือเปล่า? ทำไมถึงไม่พิจารณาให้ถี่ถ้วนแล้วค่อยทำ? เจ้ารู้ไหมว่าเจ้าไม่ใช่เด็กๆ อีกแล้ว…”

เมื่อเห็นว่าซั่งกวนฮ่าวยังคงมีน้ำโหเหมือนเดิม หวงฝู่เยวี่ยเอ้อก็รู้สึกโล่งใจเช่นเดียวกับนักโทษที่รอการพิจารณาคดีมาตลอดก็มิปาน ขั้นตอนการรอคอยคำพิพากษานั้นยากที่สุด หลังจากการพิจารณาคดีแล้วก็รู้สึกโล่งอกไปที

“ข้ารู้ว่าผิดไปแล้ว!” หวงฝู่เยวี่ยเอ้อพูดไม่รู้จะกี่ครั้งต่อกี่ครั้ง แล้วกล่าวอย่างจริงใจว่า “ข้าไม่ได้ตั้งใจจริงๆ เจ้าก็รู้ว่าข้าเป็นแบบนี้ในบางครั้ง เจ้าก็คลายความขึงขังและอย่าโกรธแค่นั้นเอง…”

“เจ้านี่นะ…” ซั่งกวนฮ่าวถอนหายใจ  แต่แปลกใจระคนดีใจอยู่บ้างที่หวงฝู่เยวี่ยเอ้อไม่ได้รับปากโดยตรงที่จะให้ชุยอวี่เฟยแต่งเข้ามา แล้วพูดว่า “มี่เอ๋อร์พูดอะไร?”

“มี่เอ๋อร์บอกว่า…” หวงฝู่เยวี่ยเอ้อเล่าที่เยี่ยนมี่เอ๋อร์พูดตั้งแต่ต้นจนจบ แล้วมองซั่งกวนฮ่าวอย่างคาดหวังพลางพูดยกยอว่า “เจ้าว่าตอนนี้ควรทำอย่างไร?”

“ไม่ต้องทำอะไรทั้งนั้น!” สีหน้าของซั่งกวนฮ่าวยังคงย่ำแย่ กล่าวว่า “ก็ปล่อยไว้อย่างนี้ รอให้ตระกูลชุยมาคุยด้วยตัวเอง!”

“แต่หากเรื่องนี้เป็นเหตุให้ส่งผลกระทบต่อหลิงหลงกับฮ่าวหรันล่ะก็…” หวงฝู่เยวี่ยเอ้อยังคงไม่หันกลับมา

“ไม่มีคำว่าหาก!” ซั่งกวนฮ่าวกล่าวอย่างเย็นชาว่า “เรื่องนี้เป็นเพียงความคิดเห็นของสะใภ้ชุยเอง ตัวพี่ใหญ่ก็คงถูกปิดหูปิดตาเป็นแน่ ถ้าเขารู้ สะใภ้ชุยจะโดนด่าทออย่างเลี่ยงไม่ได้”

“ทำไมหรือ?” หวงฝู่เยวี่ยเอ้องงงัน แต่ซั่งกวนฮ่าวก็ไม่ได้คาดหวังว่านางจะเข้าใจ

“ชุยอวี่เฟยอดอาหารเพื่อจะเข้าสู่ตระกูลซั่งกวน นางถือสิทธิ์อะไรกัน?” ซั่งกวนฮ่าวหัวเราะเยาะพูดว่า “ตอนนี้หลิงหลงยังไม่ได้แต่งเข้าตระกูลชุย พวกนางจึงกล้าใช้เหตุผลนี้มาขู่ขวัญ ให้ชุยอวี่เฟยแต่งเข้ามา จากนั้นรอให้หลิงหลงกับชุยฮ่าวหรันแต่งงานกันหรือ? เราต้องดูสีหน้าท่าทางของชุยอวี่เฟยเพื่อหลิงหลงจะได้อยู่ดีมีสุขด้วยหรือไม่? ถ้าเป็นเช่นนั้น อย่าเอ่ยถึงการแต่งงานระหว่างหลิงหลงและฮ่าวหรันก็จบ!”

“แต่หลิงหลงกับฮ่าวหรันรักใคร่กันดีมากมาตลอดนะ!” หวงฝู่เยวี่ยเอ้อพูดอย่างเป็นห่วงว่า “ถ้าเป็นเพราะเหตุการณ์นี้กระทบกระทั่งต่อความรู้สึกของพวกเขา…”

“ถ้าเพียงชุยอวี่เฟยตัวกระจ้อยร่อยก็ส่งผลกระทบต่อความรักระหว่างพวกเขา ถ้าอย่างนั้นการแต่งงานครั้งนี้จะต้องไตร่ตรองให้ถี่ถ้วน” ซั่งกวนฮ่าวกล่าวอย่างเย็นเยียบว่า “เจ้าไม่ได้รับอนุญาตให้พูดอะไรกับตระกูลชุย ข้าจะรอให้พวกเขามาขอโทษถึงเรือนชาน!”

“เพราะเหตุใดกัน?” หวงฝู่เยวี่ยเอ้อยังคงไม่ได้คิดอย่างถ่องแท้

“ถ้าพวกเขาไม่เป็นฝ่ายมาขอโทษเอง ข้าทำได้เพียงหยุดการแต่งงานของหลิงหลงกับฮ่าวหรันไว้ชั่วคราว” ซั่งกวนฮ่าว อธิบายว่า “ชุยอวี่เฟยเป็นลูกหัวแก้วหัวแหวนของตระกูลชุย แล้วหลิงหลงเล่า? เพื่อให้ชุยอวี่เฟยแต่งกับเจวี๋ยเอ๋อร์ในฐานะอนุ พวกนางถึงกับละเลยความรู้สึกของหลิงหลง เสนอเรื่องไร้มารยาทในงานมงคลสมรสของเจวี๋ยเอ๋อร์เช่นนี้ได้ แล้วหลิงหลงจะเป็นอะไรในสายตา? ยามนี้หลิงหลงยังไม่ใช่ลูกสะใภ้ของตระกูลชุย พวกเขาก็ทำถึงขั้นนี้ได้ หลังจากที่หลิงหลงออกเรือนไปแล้วเล่า? หากมีอะไรบางอย่างเกิดขึ้นในตระกูลชุยในเวลานั้น เราจะรีบไปช่วย ไม่เช่นนั้นก็ต้องดูสีหน้าของหลิงหลงหรือ?” ซั่งกวนฮ่าวพูดอย่างเยือกเย็นว่า “แล้วให้หลิงหลงแต่งเข้าตระกูลชุยนับเป็นอะไร? เป็นตัวประกันจากตระกูลซั่งกวนหรือ?”

“สะใภ้ชุยไม่ได้หมายความอย่างนั้น!” หวงฝู่เยวี่ยเอ้อกล่าวงึมงำ

“ไม่ได้ความหมายเช่นนั้นหรือ? ถ้าไม่ใช่เพราะฮ่าวหรันกับหลิงหลงมีสัญญาหมั้นหมาย นางจะกล้าพูดถึงเรื่องอุกอาจเช่นนี้ในระหว่างงานแต่งของเจวี๋ยเอ๋อร์หรือ? หากไม่ใช่เพราะการแต่งงานครั้งนี้ เจ้าตรึกตรองความเป็นไปได้ของเรื่องนี้หรือไม่? ด้วยอารมณ์ของเจ้า เกรงว่ายังฟังไม่ทันจบก็จะส่งแขกเสียแล้ว!” ซั่งกวนฮ่าวมองเห็นได้อย่างชัดเจน

“ข้า…” หวงฝู่เยวี่ยเอ้อเพียงทำตามสัญชาตญาณ จะคิดหาวิธีการมากมายได้อย่างไร

“ยังมีอีกเรื่อง เจ้าเคยคิดบ้างหรือไม่ว่าเหตุการณ์นี้จะสร้างความเจ็บช้ำน้ำใจให้กับมี่เอ๋อร์มากแค่ไหน?” ซั่งกวนฮ่าวไม่ต้องการเห็นแรงตึงเครียดและความเคียดแค้นระหว่างหวงฝู่เยวี่ยเอ้อกับลูกสะใภ้ จึงชี้เตือนนางว่า “เรื่องรับอนุ เจวี๋ยเอ๋อร์พูดได้ ท่านแม่จัดการได้ ข้าก็คุยได้ แต่เจ้าพูดไม่ได้ กระนั้นเล่า? เสียตรงที่เจ้าเอ่ยถึงเรื่องนี้ก่อน ทั้งที่เป็นเวลาดีๆ เช่นนี้!”

“ไฉนข้าถึงพูดไม่ได้กัน?” หวงฝู่เยวี่ยเอ้อพูดอย่างไม่ยอมว่า “ข้าไม่มีความคิดหรือ? มี่เอ๋อร์ทั้งฉลาดและเอาใจใส่ ข้าพูดคุยกับนางไม่ใช่ว่าขอคำแนะนำจากนางหรือ!”

“ปากเจ้าเอาแต่บอกว่าชอบนาง แต่คนแรกที่เอ่ยถึงการรับอนุกลับเป็นเจ้าเสียเอง แล้วเจ้าจะให้คนอื่นคิดอย่างไรกัน?” ซั่งกวนฮ่าวรู้ว่านางมีจิตใจบริสุทธิ์ ไม่ได้คิดอะไรซับซ้อนขนาดนั้น แต่ทว่า…

“นางจะคิดอย่างไรได้?” หวงฝู่เยวี่ยเอ้อลอบมองสีหน้าของซั่งกวนฮ่าว ในใจรู้สึกผิดมากขึ้นเรื่อยๆ

“เยวี่ยเอ้อ มี่เอ๋อร์ไม่ได้เกิดมาสูงส่งนัก ช่วงนี้ในตระกูลซั่งกวนนางต้องพึ่งพาเจ้ามากที่สุด แต่เจตนาที่เจ้าแสดงออกมานั้นเป็นอย่างไรเล่า? คล้ายรู้ว่านางไม่มีทางถอยแล้ว เป็นแม่สามีใจร้ายที่ไม่มีนางอยู่ในใจ ตระกูลเยี่ยนก็ไม่ช่วยออกหน้าให้นาง หากนางถูกกลั่นแกล้งที่ตระกูลซั่งกวน คนเดียวที่คุยเปิดอกคุยด้วยได้ก็มีเพียงเจ้า แต่เจ้ากลับทำให้นางรู้สึกน้อยเนื้อต่ำใจ นางจึงทำได้แค่ซ่อนตัวจากความเศร้ารันทด ถ้าพวกบ่าวไพร่รู้เข้า จะเกิดอะไรขึ้นรู้หรือไม่? คนพวกนั้นจะไม่เห็นนางอยู่ในสายตา ไม่ว่าจะเป็นเรือนไหนล้วนมีทาสที่รังแกเจ้านายได้ ทุกตระกูลขุนนางจึงใช้ทาสที่เกิดในเรือนเบี้ยเพราะทาสเหล่านี้ซื่อสัตย์มากที่สุด และจะมองคนอย่างประณามหยามเหยียดได้มากที่สุด แม้กระทั่งแม่สามีอย่างเจ้าที่ชื่นชอบมี่เอ๋อร์มาตลอดก็เริ่มรังแกนาง พวกบ่าวไพร่จะคิดอย่างไร? เจ้าจะให้นางอาศัยอยู่ในตระกูลซั่งกวนอย่างไร? แล้วจะรับช่วงต่อได้อย่างไร?”

คำพูดของซั่งกวนฮ่าวทำให้หวงฝู่เยวี่ยเอ้อตกตะลึง จะมีแต่ความชอกช้ำระกำใจมากยิ่งขึ้น จู่ๆ นางก็จำปฏิกิริยาของเยี่ยนมี่เอ๋อร์เมื่อได้ยินเรื่องนี้ จึงพูดอย่างมือไม้อ่อนไปหมดว่า “แล้วข้าจะทำอย่างไรดี?”

“เจ้าหาโอกาสอธิบายเรื่องราวทั้งหมดให้มี่เอ๋อร์ฟังเสีย” ในเรื่องนี้ซั่งกวนฮ่าวไม่ต้องการเอาผิดกับหวงฝู่เยวี่ยเอ้อ ความสัมพันธ์ระหว่างแม่สามีและลูกสะใภ้เป็นเรื่องละเอียดอ่อนมาก หวงฝู่เยวี่ยเอ้อกับเยี่ยนมี่เอ๋อร์ต่างก็รู้สึกดีต่อกันในตอนแรก เสียตรงที่ขณะนี้เกิดปัญหา หากไม่ได้แก้ไขอย่างถูกต้อง ทิ้งความขุ่นข้องหมองใจไว้ ใครจะรู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นในอนาคต เยี่ยนมี่เอ๋อร์ขบคิดอย่างรอบคอบ แต่หวงฝู่เยวี่ยเอ้อกลับไม่มีกลอุบายใดๆ ในท้ายที่สุดหวงฝู่เยวี่ยเอ้อต้องทนทุกข์ทรมาน!

“ได้!” หวงฝู่เยวี่ยเอ้อคล้อยตามเห็นด้วย นางฟังออกว่าเป็นคำสั่งสอนของซั่งกวนฮ่าว หลังจากรู้ว่านางผิดก็ยอมรับความผิดพลาดอย่างตรงไปตรงมา นางทำได้ดีในจุดนี้ และเป็นข้อดีของนางที่ทำให้ซั่งกวนฮ่าวหลงใหลมากที่สุด

——————————-

ในขณะเดียวกัน ยังมีฮูหยินชุยที่คิดว่าตนทำดีก็ได้รับการสั่งสอนอย่างรุนแรงเช่นกัน!

แต่ฮูหยินชุยไม่ได้รับการปฏิบัติเหมือนอย่างหวงฝู่เยวี่ยเอ้อนี้ นางนั่งร้องห่มร้องไห้เสียงสั่นเครืออยู่ด้านข้าง ส่วนหวังเหมยเสียนซึ่งเป็นผู้สมรู้ร่วมคิดกับนางก็คุกเข่าตัวสั่นงันงกอยู่ต่อหน้านายท่านชุย สองพี่น้องทั้งชุยฮ่าวเหว่ยและชุยฮ่าวหรันมองดูพวกนางด้วยสีหน้าเคร่งเครียด

“นายท่าน ข้าไม่รู้จริงๆ ว่าผิดอะไร?!” ฮูหยินชุยพูดแก้ตัว ยามนี้นางยังคิดว่าเรื่องนี้เสร็จสิ้นไปอย่างสวยงาม ลูกสาวก็สมหวังดั่งใจนึก ตระกูลชุยและตระกูลซั่งกวนเกี่ยวดองกัน ทั้งยังคลายความคับแค้นใจที่ฝังอยู่ในใจของนางมานานหลายปี ช่างวิเศษเสียจริง!

“ท่านพ่อ…” ชุยอวี่เฟยวิ่งร่ำไห้เข้ามา คุกเข่าต่อหน้านายท่านชุยแล้วกล่าวอย่างเศร้าระทมว่า “ที่ท่านแม่ทำเช่นนี้เพราะรักลูกสาวสุดหัวใจ มันเป็นความผิดของลูกเอง หากท่านพ่อจะลงโทษ โปรดลงโทษลูก อย่าตำหนิท่านแม่…”

“เดิมทีมันเป็นความผิดของเจ้า!” นายท่านชุยไม่ได้หวั่นไหวกับน้ำตาของชุยอวี่เฟยแล้วพูดอย่างเย็นชาว่า “เจ้าอดอาหารใช้ความตายมาข่มขู่คนไม่ใช่หรือ? ทำไมยังมีชีวิตเต้นแร้งเต้นกาอยู่ ไม่ยักกะตาย!”

“ท่านพ่อ…” ชุยอวี่เฟยมองนายท่านชุยอย่างตกตะลึงพรึงเพริด ไม่คาดคิดมาก่อนว่านายท่านชุยจะพูดคำที่ไม่เห็นแก่หน้าอินทร์หน้าพรหมเช่นนี้จริงๆ

“ตระกูลชุยของเราปกครองบ้านด้วยการอบรมให้รู้มารยาท จะมีลูกสาวที่ไร้ยางอายอย่างเจ้าได้อย่างไร!” คำพูดของนายท่านชุยเสียดแทงร่างกายของชุยอวี่เฟยราวกับมีดดาบก็มิปาน แล้วกล่าว “เจ้ายังมีพ่อและพี่ชายอยู่ในสายตาบ้างไหม? ยังมีความยับยั้งชั่งใจอยู่หรือไม่?”

“ข้าเปล่า…” ชุยอวี่เฟยร้องไห้อย่างน่าสงสารแล้วเอ่ยว่า “สำหรับลูกแล้ว ท่านพ่อคือท้องฟ้า พี่ชายก็คือท้องฟ้า หากไม่มีท่านพ่อและพี่ชาย อวี่เฟยก็ไม่มีอะไรเลย ตราบใดที่ท่านพ่อและพี่ชายมีคำสั่ง อวี่เฟยจะต้องเคารพและเชื่อฟัง…”

“ช่างน่าเคารพและเชื่อฟังดีจริง!” สายตาของนายท่านชุยเย็นเยียบประหนึ่งมีดดาบแล้วพูดอย่างเยือกเย็นว่า “พรุ่งนี้ เจ้ากลับไปที่จือหยางทันที หลังจากจัดการเรื่องที่ลี่โจวแล้ว พ่อจะเลือกคนที่ดีมาแต่งงานให้เจ้า ฮ่าวเหว่ย เมื่อสองสามวันก่อนตระกูลสิงของอี้โจวพูดถึงนายน้อยรองของตระกูล ตอนนี้เขายังไม่ได้แต่งงานไม่ใช่หรือ? เจ้าให้คนไปดูพฤติกรรมของผู้นั้นว่าเป็นอย่างไร ถ้าพอใช้ได้ ก็ตระกูลสิงแล้วกัน! จำไว้ว่าเรื่องนี้ต้องทำเสร็จสรรพภายในสามเดือน!”

“ขอรับ ท่านพ่อ!” ชุยฮ่าวเหว่ยกล่าวอย่างนอบน้อม แต่ไหนแต่ไรเขาก็ไม่ชอบน้องสาวคนนี้ที่ไม่รักนวลสงวนตัว เอาแต่ทำตัวเหมือนเด็กต่อหน้าท่านแม่ ตอนนี้ยิ่งทำให้เอือมระอามากยิ่งขึ้น

“ไม่! ข้าไม่แต่ง!” ชุยอวี่เฟยโมโห มองนายท่านชุยอย่างอ้อนวอนแล้วพูดว่า “ลูกมีคนที่ชอบอยู่ในใจแล้ว ลูกยอมตายดีกว่าแต่งงานกับคนอื่น!”

“ถ้าอย่างนั้น เจ้าเลยยอมแต่งกับเจวี๋ยเอ๋อร์ในฐานะอนุหรือ?” นายท่านชุยมองชุยอวี่เฟยอย่างเฉยชา นี่คือการเคารพเชื่อฟังของนาง ท่านพ่อคือท้องฟ้าหรือ? ช่างเป็นลูกสาวที่กตัญญูและเชื่อฟังเสียจริง!

“ลูกทำใจไม่ได้ ขอร้องท่านพ่อโปรดเมตตา!” ชุยอวี่เฟยไม่กล้ามองใบหน้าของนายท่านชุย ไม่รู้ว่าในขณะนั้นใบหน้าของสามคนทั้งนายท่านชุยและลูกชายอึมครึมเป็นอย่างมาก  ฮูหยินชุยตกใจที่นางพูดจนลืมร้องไห้ หวังเหมยเสียนก็เดินเข้ามาอย่างระมัดระวัง เดินห่างจากนางไปสองสามก้าว เพราะกลัวว่าจะพลอยโดนหางเลขไปด้วย

“เจ้ารู้หรือไม่ว่าอนุภรรยามีสถานะต่ำต้อยเพียงใด? เจ้ารับความคับแค้นใจเช่นนั้นได้งั้นหรือ?” เสียงของนายท่านชุยผ่อนคลายลงมาก แต่ใบหน้าเหยเกยิ่งกว่า ความเมตตาสุดท้ายที่หางตาก็อันตรธานไปอย่างไร้ร่องรอย

“ลูกรู้ดี! ลูกไม่สนใจ!” บางทีอาจจะเป็นการฉวยโอกาสสุดท้าย หรืออาจเป็นเพราะน้ำเสียงของนายท่านชุยทำให้นางสับสน ชุยอวี่เฟยกล่าวเหมือนถูกผีสิงว่า “อีกอย่างความคับข้องใจนี้จะเกิดขึ้นเพียงชั่วคราว ตราบใดที่ซั่งกวนหลิงหลงแต่งเข้าตระกูลชุยแล้ว จะไม่มีใครในตระกูลซั่งกวนกล้ารังแกอะไรลูก เพราะจะคำนึงถึงซั่งกวนหลิงหลง พวกเขาก็จะปฏิบัติดีกับลูกด้วย!”

ชุยฮ่าวหรันกำหมัดแน่น ดี! เป็นน้องสาวที่ดีจริงๆ คิดคำนวณให้ตัวเองได้เปรียบ เขาจึงไม่พูดจา หันหลังเดินจากไป

“เจ้าฉลาดมาก!” นายท่านชุยผ่อนลมหายใจยาว แล้วพูดเบาๆ “ตอนนี้พ่อมีสองเส้นทางให้เจ้าเลือกเอง อย่างแรก กลับบ้านอย่างเชื่อฟัง ให้พ่อเลือกคนดีๆ มาแต่งงานให้เจ้า แต่งเป็นฮูหยินที่เพียบพร้อมไปอย่างสง่าผ่าเผย อย่างที่สอง อย่างที่สอง…เจ้ายังอยากจะฟังหรือไม่?”

“ข้าเลือกอย่างที่สอง!” ชุยอวี่เฟยยืนยันอย่างมั่นใจ นางคิดว่าหนึ่งในสองทางเลือกนี้ อย่างที่สองย่อมจะเติมเต็มความเพ้อฝันของนางได้ นายท่านชุยจะกดดันตระกูลซั่งกวนเอง ให้ตนได้แต่งเข้าตระกูลซั่งกวน ไม่แน่อาจจะไม่ใช่อนุภรรยาแต่เป็นภรรยารอง จึงยิ้มหน้าบานเป็นจานเชิงแล้วพูดว่า “ถ้าไม่ได้แต่งกับพี่ชายเจวี๋ย ลูกจะยอมตายทันที!”

“ดีมาก! ดีมาก!” นายท่านชุยกล่าวว่าดีมากซ้ำแล้วซ้ำเล่า จ้องเขม็งมองฮูหยินชุยแล้วพูดว่า “เจ้าให้พ่อเสนอทางเลือกที่สาม ดีมากจริงๆ! นี่คือลูกสาวตัวดีที่เจ้าสั่งสอน!”

“ท่านพ่อ…” ในที่สุดชุยอวี่เฟยก็ฟังออกว่ามีบางอย่างผิดปกติกับคำพูดของนายท่านชุย จึงเงยหน้าขึ้นมองใบหน้าของ นายท่านชุย แต่มองไม่ออกถึงต้นสายปลายเหตุใดๆ

“ทางเลือกอย่างที่สองคือ พ่อจะส่งคนคุ้มกันพาเจ้ากลับไปที่จือหยาง โกนผมเป็นแม่ชีในวัดประจำตระกูล ตระกูลชุยจะเลี้ยงดูเจ้าไปตลอดชีวิต ไม่ต้องออกมาให้อับอายผู้คน!” นายท่านชุยพูดคำตอบที่ชุยอวี่เฟยคาดไม่ถึงเสียด้วยซ้ำ

“ไม่ อย่านะ…”  ชุยอวี่เฟยส่ายศีรษะอย่างไม่ยินยอมสุดชีวิต สิ่งนี้จะไม่มีทางเกิดขึ้น!

“ทางเลือกที่สาม จะตายโดยเร็วที่สุด ไม่ต้องเล่นอดอาหารตบตาอะไร ตรงไปหาพี่ชายใหญ่ของเจ้าแล้วขอยาพิษมาเม็ดหนึ่ง พ่อสัญญาว่าจะไม่ทำให้เจ้าเจ็บปวดแต่อย่างใด” นายท่านชุยกล่าวอย่างไร้ความรู้สึก

“ทำไมเจ้าคะ?” ชุยอวี่เฟยอดเอ่ยถามไม่ได้ นางเป็นลูกสาวของเขา เป็นเลือดเนื้อเชื้อไขของตัวเขาเอง เขาจะกล้าลงมือโหดเหี้ยมขนาดนี้ได้อย่างไร?

“ไตร่ตรองด้วยตัวเองให้ดีแล้วค่อยมาพูดกัน!” นายท่านชุยไม่สนใจนาง มองฮูหยินชุยอย่างเมินเฉยพลางกล่าวว่า “ยังมีเจ้าด้วย ไปขอโทษตระกูลซั่งกวนให้ข้าในเช้าวันพรุ่งนี้!”

“ข้า…ข้า…” ฮูหยินชุยไม่อาจชักสีหน้าปฏิเสธได้ มองนายท่านชุยอย่างสงสัย

“ไม่ต้องพูดให้มากความ!” นายท่านชุยสะบัดแขนเสื้อแล้วจากไป

“ข้าจะทำอย่างไรกับเรื่องนี้ดี!” ฮูหยินชุยร้องไห้สะอึกสะอื้นแล้วมองลูกชายคนโต นางไม่เคยเห็นนายท่านชุยมีท่าทางดุดันเช่นนี้มาก่อน นางไม่กล้าจะเอะอะโวยวายต่อหน้านายท่านชุย ไม่ได้หมายความว่าจะไม่กล้าร้องขอความเป็นธรรมต่อหน้าลูกชาย จึงร้องคร่ำครวญว่า “ข้าทำไปเพื่ออะไรเล่า? มิใช่เพื่อลูกๆ เพื่อตระกูลชุยหรือ? อวี่เฟยแต่งกับซั่งกวนเจวี๋ยไม่ดีตรงไหน อวี่เฟยยอมหวานอมขมกลืนเป็นอนุแล้ว ตระกูลซั่งกวนของเขาจะยังไม่พอใจอะไรอีก! ฮ่าวเหว่ย เจ้าต้องล้างแค้นให้แม่นะ!”

ชุยฮ่าวเหว่ยหายใจเข้าลึกครั้งแล้วครั้งเล่า มองภรรยาที่งุนงงไปหมด น้องสาวที่ไม่สำนึกผิด แล้วยังมีแม่ซึ่งไม่ดูทิศทางลม จึงปวดเศียรเวียนเกล้ายิ่งนัก…

“ท่านแม่ เรื่องนี้ออกจะไม่เหมาะสม!” ในขณะที่ชุยฮ่าวเหว่ยกำลังจะระเบิดอารมณ์ หวังเหมยเสียนหยัดกายเข้าไปหาฮูหยินชุย นางรู้ว่ามีบางอย่างผิดปกติในเรื่องนี้ แต่ไม่ได้คาดคิดว่าจะทำให้คนในตระกูลชุยโกรธเดือดดาลเช่นนี้ จึงฉวยจังหวะที่เรื่องนี้ยังไม่บานปลาย วัวหายล้อมคอกยังมีเวลาจะแก้ไขได้ทัน

“มีอะไรไม่เหมาะสม? อวี่เฟยไม่ดีตรงไหนกัน?” ฮูหยินชุยถลึงตาจ้องหวังเหมยเสียนอย่างเหี้ยมเกรียม

“ไม่ใช่ว่าน้องสาวไม่ดี แต่ว่า…” หวังเหมยเสียนมองชุยอวี่เฟยแล้วพูดว่า “ตามที่น้องสาวพูด ต่อให้จะเป็นอนุก็ตามแต่ เมื่อหลิงหลงแต่งเข้าตระกูลชุย ตระกูลซั่งกวนก็จะเห็นแก่หน้าหลิงหลง จะไม่ทำให้นางน้อยเนื้อต่ำใจ แต่เมื่อน้องสาวแต่งเข้าไปในตระกูลซั่งกวน การแต่งงานของฮ่าวหรันกับหลิงหลงอาจเปลี่ยนไป!”

“อะไรคือเปลี่ยนไป? พวกเขาเป็นคู่รักที่รู้จักกันตั้งแต่เด็ก รักใคร่กลมเกลียวกันดีมาก จะมีอะไรเปลี่ยนแปลงได้?” ฮูหยินชุยตระหนักดีถึงความสัมพันธ์ระหว่างลูกชายกับหลิงหลงนั้นลึกซึ้งเพียงใด ถ้าไม่ใช่เพราะเรื่องนี้ นางคงไม่กล้าทำเช่นนี้

“ท่านแม่ เกรงว่าตระกูลซั่งกวนจะไม่เต็มใจยกหลิงหลงให้แต่งเข้าตระกูลชุย เพราะจะกลายเป็นตัวประกันข่มขู่ให้ตระกูลซั่งกวนทำดีกับน้องสาว” หวังเหมยเสียนไม่ต้องการพูดแบบนี้ แต่สถานการณ์ตอนนี้ต้องพูดให้ชัดเจน

“ข้าจะใช้หลิงหลงมาข่มขู่ตระกูลซั่งกวนได้อย่างไรเล่า? ข้าเป็นคนเช่นนี้หรือ?” ฮูหยินชุยโวยวายด้วยความรู้สึกกินปูนร้อนท้อง

“ถ้าไม่ใช่ท่านเอ่ยขอให้อวี่เฟยแต่งเข้าตระกูลซั่งกวนตอนที่น้องเจวี๋ยอยู่ในช่วงข้าวใหม่ปลามัน” ชุยฮ่าวเหว่ยไม่เข้าใจว่าทำไมมารดาที่ทำทุกอย่างรัดกุมมาตลอด เดินหน้าถอยหลังได้อย่างมีจังหวะจะโคนถึงทำเรื่องเยี่ยงนี้ได้

“ได้ ข้าทนได้!” ฮูหยินชุยไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากยอมรับมัน

“ท่านแม่!” ชุยอวี่เฟยอุทาน ด้วยวิธีนี้นางจะยอมสิ้นหวังหรือ?

“อวี่เฟย เจ้าเป็นลูกสาวที่ดีของข้า หลังจากงานแต่งของหลิงหลงกับฮ่าวหรัน เราค่อยคุยเรื่องนี้กัน!” ฮูหยินชุยไม่ยอมแพ้ เพียงแค่เปลี่ยนกลยุทธ์เท่านั้น แล้วพูดอย่างขมขื่นว่า “ข้าไม่เชื่อว่าเมื่อถึงเวลานั้นตระกูลซั่งกวนจะไม่เร่งเจ้าแต่งเข้าเรือน!”

ชุยฮ่าวเหว่ยมองฮูหยินชุยด้วยสีหน้าประหลาดใจอย่างทนไม่ได้ ชุยอวี่เฟยที่ตกอยู่ในสถานการณ์สิ้นหวังราวกับได้เกิดใหม่ เขาจึงพูดอย่างหักใจว่า “ท่านแม่ ท่านควรทิ้งความคิดนี้ไปจะดีที่สุด ถ้าอวี่เฟยไม่หมั้นและเลือกวันแต่งงานทันที งานแต่งของน้องสามก็จะถูกเลื่อนออกไปเช่นกัน หากน้องสาวยังคงมีความหวังลมๆ แล้งๆ ที่ไม่สมควรแบบนั้น ก็อย่าไปโทษว่าท่านพ่อและพี่ชายใจร้ายแล้วกัน!”

“พี่ใหญ่ ท่านจะใจแข็งเฝ้าดูน้องสาวเดินไปถึงทางตันได้หรือ?” ชุยอวี่เฟยกล่าวทั้งน้ำตานองหน้า

“ท่านแม่ ให้เรื่องจบไว้เท่านี้ ข้าไม่อยากพูดมากกว่านี้!” ชุยฮ่าวเหว่ยพูดอย่างใจเย็นและไร้ความปรานี “ท่านแม่โปรดตรองดูให้กระจ่างชัด น้องสามเป็นเลือดเนื้อเชื้อไขของท่านเอง ความสุขของน้องสามเป็นสิ่งสำคัญ หรือความคิดเพ้อเจ้อของอวี่เฟยสำคัญ! ตระกูลชุยมีลูกสาวหลายคน เรื่องมากอย่างนางมีไม่เยอะ เรื่องน้อยกว่านางมีถมเถ ถ้าท่านอยากให้ลูกสาวแต่งงานเป็นฝั่งเป็นฝา มีให้เลือกมากมายก่ายกอง!”

เมื่อเห็นลูกชายจากไปอย่างสิ้นหวังเหมือนกัน ฮูหยินชุยก็ตื่นตระหนก หวังเหมยเสียนไม่สนใจความแค้นของชุยอวี่เฟยแล้วพูดชักชวนว่า “ท่านแม่ เรื่องนี้ ไม่มีทางหนีแล้ว ท่านควรเชื่อฟังการตัดสินใจของท่านพ่อเถิด”

“ข้าไม่ยอมหรอก!” ฮูหยินชุยพูดด้วยความไม่พอใจว่า “ข้าเอาชนะจงเสวี่ยฉิงไม่ได้ ทั้งยังต้องเห็นลูกสาวของนางได้ดิบได้ดีไปต่อหน้าต่อตาอีก ข้าจะยอมเลิกราได้อย่างไร!”

หวังเหมยเสียนตกตะลึง ชุยอวี่เฟยตะลึงงัน วุ่นวายมาพักใหญ่ที่แท้ไม่ใช่เพื่อความสุขของชุยอวี่เฟย แต่เพื่อทำให้ผู้อื่นเศร้าเสียใจ หวังเหมยเสียนมองฮูหยินชุยอย่างกังขา ว่าแต่…จงเสวี่ยฉิงคือใครกัน?

———————————-