ตอนที่ 84 ศึกรับอนุภรรยา (6)

เจ้าสาวร้อยเล่ห์

“รับอนุภรรยา? หรือเพราะรอดูเรื่องขบขันที่เรือนมีคู่ไม่พอจึงได้ออกมาพูดยั่วยุอีก? พวกนางรังแกคนเกินไปแล้วจริงๆ!” หลังจากเข้าตระกูลซั่งกวนมา เซียงเสวี่ยก็เอาแต่หลบตัวจากผู้คนมาโดยตลอด ไม่อยากให้ใครได้ตระหนักถึงการมีอยู่ของนาง มีเพียงแต่ปรากฏตัวเพื่อหวีเผ้าสางผมและประทินโฉมให้เยี่ยนมี่เอ๋อร์ทุกวันเท่านั้น เวลาอื่นก็ล้วนแต่ขลุกตัวอยู่ในห้องทำผงชาดจากเกสรดอกไม้ หลบเลี่ยงสายตาจากผู้คน

“ไม่มีความจำเป็นที่ต้องโกรธถึงเพียงนี้” เยี่ยนมี่เอ๋อร์กล่าวอย่างราบเรียบ “เรื่องที่จะให้ซั่งกวนเจวี๋ยรับอนุภรรยานั้นเป็นเรื่องที่จะเกิดขึ้นไม่ช้าก็เร็วอยู่แล้ว ข้าเตรียมใจไว้ตั้งนานแล้ว เพียงแค่ไม่คาดคิดว่าวันนี้จะมาเร็วถึงเพียงนี้ ทั้งยังนึกไม่ถึงอีกว่าผู้ที่ยกเรื่องนี้ขึ้นมาก่อนกลับเป็นฮูหยินเสียอย่างนั้น”

“นางเอาแต่พร่ำบอกว่าปรารถนาดีต่อท่าน นี่ก็คือปรารถนาดีต่อท่านอย่างนั้นหรือ จอมปลอมสิ้นดี” เซียงเสวี่ยแค้นเคืองเป็นที่สุด

“แท้จริงแล้วนี่ก็เป็นเรื่องที่ปกติ” เยี่ยนมี่เอ๋อร์ไม่โกรธแม้แต่น้อย กล่าวอย่างเรียบนิ่ง “ผู้หญิงก็ล้วนเป็นเช่นนี้ คาดหวังให้สามีเอาใจใส่แต่นางเพียงผู้เดียว แม้ว่าจะไร้ผู้สืบสกุลก็เต็มใจที่จะลำบากไปด้วยกันนั่นคือความรักที่มั่นคงจนไม่อาจสั่น คลอนได้ แต่ที่เป็นปัญหาคือพวกนางมักจะหวังให้ลูกชายภรรยาหรืออนุภรรยารวมตัวกันให้เร็วที่สุด เพื่อให้ตระกูลได้แตกก้านผลิดอกออกผลไปทั่ว และหากว่าลูกสะใภ้ไม่ยินยอม นั่นก็นับได้ว่าเป็นสตรีที่ขี้อิจฉา ฮูหยินก็ไม่มีข้อยกเว้นเช่นกัน”

“เรื่องนี้ไม่อาจปล่อยไปเช่นนี้นะเจ้าคะ!” เซียงเสวี่ยกล่าวอย่างดุดัน “พรุ่งนี้หาข้ออ้างอะไรบางอย่างส่งข้าออกจากจวน ควรต้องจัดการผู้หญิงหน้าไม่อายคนนั้นก่อน เรื่องอื่นค่อยว่ากันเจ้าค่ะ”

“เจ้าคิดจะสังหารชุยอวี่เฟยหรือ?” เยี่ยนมี่เอ๋อร์กระจ่างใจดีถึงแผนของเซียงเสวี่ย นางส่ายศีรษะ “ไม่มีความจำเป็นที่ต้องเสี่ยงขนาดนั้น แม้จะกล่าวว่าตระกูลชุยเป็นตระกูลเก่าแก่ที่มีชื่อเสียงด้านกวีกาพย์กลอน แต่อย่างไรก็เป็นตระกูลหนึ่งที่รวมอยู่ในตระกูลใหญ่ทั้งแปดตระกูล วรยุทธ์ของลูกหลานตระกูลชุยแม้จะไม่เด่นชัด แต่ก็ไม่ได้หมายความว่ารอบกายพวกเขาจะไม่มีผู้ที่มีวรยุทธ์มือดีคอยคุ้มครองอยู่ อาจจะสำเร็จนั้นไม่ว่า แต่มันยังอาจจะทำให้เจ้าตกสู่อันตรายไปด้วยเช่นกัน”

“หรือจะนั่งรอนางเข้าตระกูลมาเช่นนี้ล่ะเจ้าคะ?” เดิมเซียงเสวี่ยก็ไม่มีใจจะมาครุ่นคิดถึงความร้ายแรงของเรื่องนี้ คิดว่าวิธีที่เด็ดขาดที่สุดก็คือขจัดชุยอวี่เฟยที่เป็นดั่งภัยร้ายนี้ออกไป ทนลำบากเพียงครั้งเดียวเพื่อความสุขสบายในภายหลัง

“นางไม่มีค่าแล้ว ข้าไม่มีความจำเป็นต้องเสียแรงกับนางขนาดนั้น” เยี่ยนมี่เอ๋อร์มองตัวเองที่เปี่ยมไปด้วยพลังในกระจก นางในยามนี้ต้องรู้สึกชอกช้ำเสียใจจึงจะถูก นางขมวดคิ้วเล็กน้อย แล้วต้องทำอย่างไรล่ะ?

“ทำไมล่ะเจ้าคะ?” เซียงเสวี่ยไม่เข้าใจว่าเหตุใดเยี่ยนมี่เอ๋อร์ยังคงใจเย็นได้ถึงเพียงนี้

“เดิมทีชุยอวี่เฟยก็เป็นเพียงภัยคุกคามเท่านั้น ข้าก็เคยคิดให้นางหายไปโดยที่ทำให้คนไม่ต้องสงสัยข้าอยู่เหมือนกัน แต่น่าเสียดายที่พวกนางใจร้อนเกินไป ไม่มีความอดทนยกเรื่องนี้ขึ้นมาพูดหลังจากงานแต่งของหลิงหลง จึงนับว่าตัดทางรอดของตัวเอง ทำให้ข้าสมปรารถนา!” เยี่ยนมี่เอ๋อร์ครุ่นคิด ผงแป้งหนาสีขาวที่เคลือบอยู่บนแปรงอย่างสม่ำเสมอกัน เป็นสิ่งที่เติมแต่งให้ตัวเองคล้ายกับว่าใบหน้าซีดเซียว ดูเซื่องซึม ทั้งจิตใจบอบช้ำ สิ่งนี้สามารถใช้งานอย่างง่ายดาย หากไม่ใช้ยาน้ำที่ทำมาเป็นพิเศษล้างก็ย่อมล้างไม่ออก ไม่ต้องกังวลว่าจะมีคนมองออก

“เป็นเช่นนั้นจริงๆ เจ้าค่ะ!” พอเยี่ยนมี่เอ๋อร์พูด เซียงเสวี่ยก็ตั้งสติแน่วแน่หวนตรึกตรองชั่วครู่ ก่อนจะคิดเชื่อมโยงความสำคัญได้ “สิ่งที่สำคัญที่สุดก็คือคุณชายใหญ่ไม่มีความรู้สึกใดๆ กับนาง ทั้งยังไม่ยอมรับอยู่บ้าง เกิดเรื่องนี้ขึ้นมา ตระกูลซั่งกวนย่อมใส่ใจการแต่งงานเชื่อมสัมพันธ์ของสองตระกูลอย่างถี่ถ้วน แต่ว่าชุยอวี่เฟยก็เป็นเพียงลูกอนุภรรยาที่ถูกเลี้ยงในนามภรรยาเอกเท่านั้น แม้อยู่ในตระกูลชุยจะมีตำแหน่งสูงเท่าใด ก็ไม่อาจสลักสำคัญไปกว่าว่าที่สะใภ้สามในอนาคตได้อีกแล้ว ข้าว่าการกระทำยิ่งทำยิ่งเสียของนางครั้งนี้ ตระกูลชุยคงทำได้เพียงต้องสละเรื่องรองเพื่อรักษาสิ่งที่สำคัญมากกว่าเสียแล้วเจ้าค่ะ!”

“ดังนั้นจึงไม่จำเป็นต้องเสียแรงมากมายกับคนที่ถูกกำหนดให้ถูกทิ้งเช่นนี้!” เยี่ยนมี่เอ๋อร์มองดูใบหน้าที่ซีดขาวอย่างพอใจ “ส่งผ้าเช็ดหน้ามาให้ข้า ข้าต้องร้องไห้ให้ตาแดงเสียหน่อย!”

“ท่านทำอย่างนี้ไปทำไมกันเจ้าคะ?” เซียงเสวี่ยจุ่มผ้าเช็ดหน้าไปในยาน้ำพิเศษนั้น ก่อนจะส่งให้เยี่ยนมี่เอ๋อร์ เยี่ยนมี่เอ๋อร์ถือไว้ในมือ กัดฟันเช็ดไปที่มุมตา คล้อยหลังน้ำตาก็หลั่งไหลคล้ายสายฝนทันที

“ข้าไม่คิดจะให้พวกนางก่อเรื่องของชุยอวี่เฟยขึ้นมาแล้วก็เงียบหายไปง่ายๆ เช่นนี้!” เยี่ยนมี่เอ๋อร์ร้องไห้ไปพลาง กล่าวไปพลาง “ทั้งยังหลี่ฉยงอวี่ที่กล้ามากระตุกหางเสือ ข้าไม่อยากออกหน้าจัดการนาง เพราะจะทำลายภาพลักษณ์ของข้าได้ แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าข้าจะไม่สามารถหยิบยืมแรงผู้อื่นให้มาจัดการนางแทนได้”

“ท่านหมายถึงคุณชายใหญ่หรือเจ้าคะ?” เซียงเสวี่ยคาดเดา “ถ้าหาก…”

“ไม่จำเป็นต้องเป็นเขา!” เยี่ยนมี่เอ๋อร์เปลี่ยนผ้าเช็ดหน้ามาเช็ดน้ำตา สรรพคุณของยานั่นดีเกินไปจริงๆ น้ำตาเอาแต่รินไหลไม่หยุดหย่อน ไม่ว่าจะหยุดอย่างไรก็ล้วนหยุดไม่ได้ เยี่ยนมี่เอ๋อร์พึงพอใจ ไม่คิดสนใจมันอีก ปล่อยให้ใบหน้าที่เรียบนิ่งเต็มไปด้วยน้ำตาอย่างแปลกประหลาดเช่นนี้…

“สภาพแบบนี้ของท่านจะพบคนได้อย่างไรเจ้าคะ” เซียงเสวี่ยร้อนใจ ฤทธิ์ของยาดีเกินไปก็ไม่ใช่เป็นเรื่องดีเสียหมด

“เย็นวันนี้ข้าล้วนไม่ได้เจอใครทั้งนั้น” เยี่ยนมี่เอ๋อร์กล่าวอย่างไม่ใส่ใจ “ผ่านไปสักพักก็คงจะดีแล้ว พรุ่งนี้ดวงตาของข้าย่อมต้องแดงก่ำและบวมเป็นแน่ ถึงเวลานั้นก็ดูว่าจะเป็นใครกันที่ระบายความแค้นเคืองให้ข้า!”

“ความหมายของท่านคือ…” เซียงเสวี่ยคาดเดาความคิดของเยี่ยนมี่เอ๋อร์ไม่ถูกอยู่บ้างว่านางกำลังคิดจะทำอะไรกันแน่?

“ข้าได้ยินว่าหวงฝู่หลินจี้เอ็นดูหลิงหลงเป็นอย่างมาก…เจ้าว่าหากหลิงหลงไปร้องไห้ระบายความทุกข์กับหวงฝู่หลินจี้หรืออาจจะไปกล่าวถามหลี่ฉยงอวี่ต่อหน้าหวงฝู่หลินจี้ว่าเกิดเรื่องอันใดขึ้น? ยังไม่จบเพียงแค่นั้น ซั่งกวนเจวี๋ยเห็นภรรยาของตนเองเอาแต่หลบร้องไห้อย่างปวดใจเพราะไม่ได้รับความเป็นธรรมจะทำอย่างไรล่ะ?” เยี่ยนมี่เอ๋อร์ลูบเส้นผมที่ยังเปียกชื้นอยู่เล็กน้อย ก่อนจะกล่าวราบเรียบ “พรุ่งนี้เรื่องต้องสนุกเป็นแน่ รอผมแห้งแล้ว พวกเราก็พักผ่อนเร็วหน่อย สะสมพลังไว้จึงจะได้มีแรงดูละคร!”

“ถ้าหาก…” เซียงเสวี่ยมองใบหน้าเยี่ยนมี่เอ๋อร์ที่แสดงอารมณ์ไม่ชัดเจน “ข้าพูดว่าถ้าหากเท่านั้น หากคุณชายใหญ่ไม่อยากทำลายมิตรภาพระหว่างสองตระกูลเพราะเรื่องนี้ ทำเรื่องใหญ่ให้กลายเป็นเรื่องเล็ก ทำเรื่องเล็กให้ค่อยๆ เลื่อนหายไป ท่านจะทำอย่างไรเจ้าคะ?”

“เช่นนั้นก็จะปล่อยหลี่ฉยงอวี่ไปชั่วคราว รอคอยโอกาสที่จะเปิดเผยเรื่องนี้กับซุนเฟยเสวี่ย อนุภรรยาที่เก่งกาจของหวงฝู่หลินจี้ผู้นั้น ให้พวกนางค่อยๆ ทะเลาะกันเองก็พอแล้ว” เยี่ยนมี่เอ๋อร์กล่าวอย่างไม่ใส่ใจนัก “ส่วนซั่งกวนเจวี๋ย ข้าจะจดบันทึกเขาไว้ รอวันไหนที่อารมณ์ไม่ดีก็จะค่อยๆ จัดการคิดบัญชี”

เซียงเสวี่ยถึงกับสั่นสะท้าน ลึกๆ ในใจรู้สึกเห็นอกเห็นใจผู้คนที่ล่วงเกินเยี่ยนมี่เอ๋อร์เหล่านั้นเป็นอย่างมาก แต่ยิ่งสงสัยมากกว่าว่าเยี่ยนมี่เอ๋อร์รู้สึกเช่นไรกันซั่งกวนเจวี๋ยกันแน่ ในยามที่กำลังจะถามก็ได้ยินเสียงแผ่วเบาของม่านเหอจากเรือนด้าน ล่างเสียก่อน “คุณชาย ท่านมาแล้ว…”

ใบหน้าของเยี่ยนมี่เอ๋อร์เผยท่าทีเศร้าโศกขึ้นมาทันตา ในขณะเดียวกันเซียงเสวี่ยที่รู้สึกชื่มชมก็เริ่มจัดการกับอารมณ์ของตัวเอง…

ซั่งกวนเจวี๋ยรู้เรื่องราวทั้งหมดมาจากช่าจื่อ เขารู้สึกทั้งโมโหทั้งสงสาร…สะใภ้ตระกูลชุยที่ไม่รู้จักกาลเทศะ หวงฝู่เยวี่ย เอ้อที่ทึ่มทื่อไม่ทันคน ทั้งหลี่ฉยงอวี่ที่กลัวว่าเรื่องจะไม่ยุ่งวุ่นวาย ล้วนแต่ทำให้เขาโกรธเกรี้ยวอย่างถึงที่สุด และเยี่ยนมี่เอ๋อร์ที่ต้องแสร้งทำเป็นแข็งแกร่งพูดอธิบายเรื่องไร้เหตุผลและสาเหตุที่เป็นไปไม่ได้ของเรื่องนี้กับหวงฝู่เยวี่ยเอ้อ คงจะพยายามข่มกลั้นความเสียใจอย่างมาก ไหนจะเผยท่าทีอย่างสบายๆ ต่อการยั่วยุของหญิงสาวมากเล่ห์สองคนนั้น ไม่สนใจความเจ็บปวดภายในของตนเอง ฝืนยิ้มกล่าวปลอบขวัญให้หลิงหลงสบายใจ รู้จักตระหนักถึงภาพรวมยับยั้งจิงอิ๋งไม่ให้ก่อเรื่อง ทั้งยังทำให้คนสงสารขนาดนั้น เขาได้แต่งภรรยาที่ดีคนหนึ่งเข้ามาจริงๆ!

เยี่ยนมี่เอ๋อร์สามารถใจเย็นจัดการกับเรื่องนี้ได้ เป็นสิ่งที่เหนือความคาดหมายของซั่งกวนเจวี๋ยอยู่บ้าง เขาไม่รู้ว่ายามที่เยี่ยนมี่เอ๋อร์ได้ยินหวงฝู่เยวี่ยเอ้อพูดถึงเรื่องการรับอนุภรรยา นางรู้สึกเช่นไรในใจ แต่ว่านางสามารถแยกอารมณ์ของตัวเองออกมาจากเรื่องนั้นชั่วคราวได้ ทั้งตั้งใจวิเคราะห์ถึงผลดีและผลเสียของเรื่องนี้ในมุมมองของผู้ชม แยกแยะสิ่งที่ไม่เหมาะสมในเรื่องนี้และเจตนาร้ายของตระกูลชุยออกมาได้ ทำให้ซั่งกวนเจวี๋ยพอใจเป็นอย่างมาก ที่มีหญิงสาวที่หลักแหลม ใจเย็นและไม่ใช้อารมณ์ในการจัดการกับปัญหาเช่นนี้เป็นภรรยา ทั้งหลังจากที่นางออกมาจากเรือนนภา ก็ร้องห่มร้องไห้อย่างเศร้าเสียใจในป่าไผ่ นี่ก็แสดงให้เห็นว่านางไม่ใช่ไม่ใส่ใจ แต่เพียงแค่พยายามควบคุมตัวเองให้ใจเย็น ไม่ให้เสียอาการต่อหน้าผู้คน นางสามารถเผชิญกับหลี่ฉยงอวี่ที่มีเจตนายั่วยุและหยั่งเชิงได้อย่างสบายๆ นั่นเป็นลักษณะที่นายหญิงแห่งตระกูลควรจะมี รักและเอ็นดูหลิงหลง ควบคุมดูแลจิงอิ๋ง นั่นคือความเอาใจใส่ของสะใภ้ใหญ่…สรุปได้ว่า เรื่องที่เกิดขึ้นอย่างไม่คาดคิดนี้ ทำให้ภาพลักษณ์ของเยี่ยนมี่เอ๋อร์ในใจซั่งกวนเจวี๋ยคล้ายถูกเติมเต็ม ทั้งยังมีความชื่นชม ชื่นชอบ รักและเอ็นดูจากหัวใจจริงๆ เพิ่มเข้ามา…

แต่ว่าซั่งกวนเจวี๋ยก็ยังคงเป็นห่วงเยี่ยนมี่เอ๋อร์อย่างมาก เพิ่งจะแต่งเข้าตระกูลมาก็ต้องเผชิญกับการหยั่งเชิงและแบบทดสอบติดต่อกัน รับมือกับแขกร้อยพ่อพันแม่ที่มีความคิดแตกต่างกันอย่างยากลำบาก เมื่อเห็นว่าคนพวกนี้กำลังถูกส่งกลับแล้ว ยังไม่ทันได้ผ่อนคลายพักหายใจดีๆ ก็มาเจอกับเรื่องแย่ที่บั่นทอนจิตใจเช่นนี้อีก และคนที่เป็นฝ่ายเริ่มยกเรื่องทำร้ายคนขึ้นมาก็ยังเป็นคนที่เรียกตัวเองว่าเป็นผู้ที่รักและเอ็นดูนางที่สุดมาโดยตลอด ร่างกายของนางที่บอบบางและจิตใจที่อ่อนไหวถึงขนาดนั้นไม่รู้ว่าจะสามารถรับแรงโจมตีเช่นนี้ได้หรือไม่ ดังนั้นหลังจากทราบต้นสายปลายเหตุของเรื่อง เขาก็ไม่ชักช้า ตรึกตรองสักพักก็เข้ามาเยี่ยมดูเยี่ยนมี่เอ๋อร์

“คุณชาย สะใภ้ใหญ่เพิ่งจะอาบน้ำเสร็จ เตรียมจะนอนแล้วเจ้าค่ะ ยามนี้เซียงเสวี่ยกำลังรับใช้นางอยู่” ม่านเหอที่เผชิญกับซั่งกวนเจวี๋ยมีคำพูดมากมายที่อยากจะกล่าว แต่เมื่อนึกถึงคำกำชับของสะใภ้ใหญ่ จึงจำต้องกลืนคำพูดที่อยากจะบอกลงไปอย่างเจ็บใจ

“นางเป็นอย่างไรบ้าง” ซั่งกวนเจวี๋ยเอ่ยถามออกไปอย่างไม่อ้อมค้อมทันที

“หลังจากสะใภ้ใหญ่อาบน้ำเสร็จก็รู้สึกง่วงนอนอยู่บ้าง นึกไม่ถึงว่าคุณชายจะมา จึงคิดจะเข้านอนเร็วหน่อยเจ้าค่ะ!” จื่อหลัวชิงตอบเสียก่อน “หากสะใภ้ใหญ่รู้ว่าท่านมาต้องดีใจแน่เจ้าค่ะ บ่าวจะไปเชิญนางลงมาเดี๋ยวนี้!”

ม่านเหอเห็นจื่อหลัวพูดเช่นนั้น ก็ทำได้เพียงถอยออกไป ไม่กล่าวอะไรอีก จื่อหลัวทำถูกแล้ว แม้ว่านางเพิ่งจะแสดงท่าทีอยากจะบีบคอผู้หญิงพวกนั้นให้ตายมาเมื่อครู่ แต่ยามนี้กลับเลือกกระทำตามที่เยี่ยนมี่เอ๋อร์ได้กำชับไว้ ยอมอดกลั้นเพื่อยุติความขัดแย้ง ไม่ให้เรื่องกลายเป็นเรื่องใหญ่ นี่จึงนับเป็นวิธีที่ฉลาด

 “ข้าจะขึ้นไปเอง!” ซั่งกวนเจวี๋ยรู้ว่านี่เป็นเพราะเยี่ยนมี่เอ๋อร์กำชับไว้ ก็ไม่คิดถามให้มากความ เดินไปทางบันไดเพื่อเตรียมจะขึ้นไปทันที

“คุณชาย เซียงเสวี่ยกำลังหวีเผ้าสางผมให้สะใภ้ใหญ่อยู่ เสื้อผ้าอาจจะไม่เหมาะสมอยู่บ้าง อย่างไรก็ให้บ่าวขึ้นไปบอกกล่าวก่อนสักหน่อยเถิดเจ้าค่ะ!” จื่อหลัวรีบขวางซั่งกวนเจวี๋ยอย่างรีบร้อน นี่เป็นครั้งแรกที่นางขวางซั่งกวนเจวี๋ยไม่ให้ขึ้นบันได

“ในเมื่อสะใภ้ใหญ่เตรียมจะเข้านอนแล้ว ข้าก็ไม่รบกวนดีกว่า เช่นนั้นพรุ่งนี้ข้าค่อยมาหานางใหม่เถิด” ซั่งกวนเจวี๋ยครุ่นคิดสักครู่ก็ไม่ได้ขึ้นไป แต่กลับปลีกตัวออกไปจากสายตาผู้คนของเรือนมีคู่ ไปยังมุมมืดลับตาคน ใช้วรยุทธ์ตัวเบากระโดดขึ้นไปบนขอบหน้าต่างของเยี่ยนมี่เอ๋อร์ ยังไม่ทันได้ยืนมั่นคงดี ก็ได้ยินเสียงของจื่อหลัวร้องเรียกอย่างตกใจแผ่ออกมาจากด้านใน

“คุณหนู นี่ท่านเป็นอะไรไปเจ้าคะ?” ใบหูเยี่ยนมี่เอ๋อร์กระดิกเล็กน้อย สัมผัสได้ถึงเสียงที่กระทบพื้นบางเบา ก่อนจะพึมพำออกมาเสียงเบา ‘ในที่สุดก็มาแล้ว’ ช้อนสายตาขึ้นมา ก่อนจะส่งสายตาเป็นนัยไปให้อย่างรวดเร็ว จากนั้นก็สะอื้นไห้อย่างโศกเศร้าโดยแทบไม่ฟังผู้ใด

 อุ้ย! เซียงเสวี่ยพยายามกลั้นรอยยิ้ม กระนั้นทั้งใบหน้าก็มีแต่ความเศร้าสร้อยปรากฏอยู่ กล่าวอย่างขุ่นเคืองอยู่บ้าง “พี่จื่อหลัว เจ้าเบาหน่อย หากคนมาได้ยินเข้าก็คงไม่รู้ว่าคิดไปไหนต่อไหนแล้ว!”

“ข้า…” จื่อหลัวกัดฟันกดเสียงอย่างโมโห “คุณหนูเสียใจขนาดนี้ ยังจะต้องสนใจอะไรอีก? คุณหนู ไม่ใช่ว่าบ่าวไม่รู้จักที่ต่ำที่สูงที่พูดเรื่องเจ้านายนะเจ้าคะ แต่พวกนางรังแกคนเกินไปแล้วจริงๆ! ท่านกล้ำกลืนฝืนทนเช่นนี้ มีกี่คนที่จะเข้าใจกัน? ท่านบอกว่าต้องคำนึงถึงส่วนรวม ไม่อาจทำลายมิตรภาพของตระกูลซั่งกวน ตระกูลหวงฝู่ และตระกูลชุยได้ สิ่งนี้บ่าวเข้าใจ แต่ตระกูลซั่งกวนมีใครที่คิดถึงความรู้สึกของท่านบ้างเจ้าคะ?”

 “จื่อหลัว ไม่ต้องพูดแล้ว” เยี่ยนมี่เอ๋อร์ส่ายศีรษะเบาๆ ด้านนอกหน้าต่างก็ไม่มีเสียงอะไรให้ได้ยินอีกแล้ว ดูท่าซั่งกวนเจวี๋ยคงจะมีวรยุทธ์สูงส่งกว่าตนป็นอย่างมาก คงเพราะว่าไม่ได้วางแผนอย่างดีมาก่อน เขาจึงคิดไม่ถึงว่าตัวนางเองก็มีวรยุทธ์เช่นกัน เสียงฝีเท้าที่ตกกระทบจึงดังอยู่บ้าง ยังคิดว่าไม่มีคนอยู่ด้านนอกเสียอีก! นี่ไม่ดีเท่าไร หากถึงเวลาที่ไม่ได้เตรียมการขึ้นมา ทำให้ซั่งกวนเจวี๋ยพบความลับอะไรเข้านั่นก็จบเห่แน่ ต้องกันไว้ดีกว่าแก้ ควรจะคิดวิธีล่วงหน้ามาจัดการกับสถานการณ์เช่นนั้นบ้างเสียแล้ว

 “คุณหนู…” จื่อหลัวเรียกอย่างฮึดฮัดอยู่บ้าง นางไม่รู้ว่าเยี่ยนมี่เอ๋อร์จะพูดอะไรต่อ จึงทำได้แต่ผสมโรงเช่นนี้ไป

 “จื่อหลัว นี่เป็นสิ่งที่ข้าควรยอมรับ” เยี่ยนมี่เอ๋อร์รู้สึกเสียใจที่ใช้ยาแรงอยู่บ้าง สภาพตัวเองที่น้ำตาพรั่งพรูอย่างไม่หยุดหย่อนไม่รู้ว่าจะทำให้ซั่งกวนเจวี๋ยตกใจหรือเปล่า? แม้ว่าได้พยายามให้ร้องไห้ออกมาดูดีอยู่บ้าง แต่น้ำตาที่ไหลรินไม่ขาดสาย ทำให้ความคิดที่อยากจะร้องไห้งดงามดั่งเช่นสายฝนที่หยดบนดอกแพร์ก็ยังจะเป็นเรื่องยากอยู่บ้าง นางสะอื้นกล่าวต่อว่า “ในเมื่อมีฐานะเป็นสะใภ้ใหญ่ของตระกูลซั่งกวน เมื่อได้รับเกียรติยศและความเคารพสูงส่งของการเป็นสะใภ้ใหญ่ตระกูลซั่งกวนแล้ว ก็ต้องยอมรับความรับผิดชอบ ความอิจฉาริษยา การปะทะต่างๆ ให้ได้ด้วย…ยิ่งไปกว่านั้น สามียังเพียบพร้อมถึงเพียงนั้น เปล่งประกายขนาดนั้น มีสาวงามเข้ามาชื่นชอบก็เป็นเรื่องปกติ ข้าที่เป็นภรรยา ควรจะภาคภูมิใจกับสามีเช่นนี้จึงจะ…”

ซั่งกวนเจวี๋ยฉีกลายฉลุบนหน้าต่าง เผยให้เห็นใบหน้าที่ซีดขาว ดวงตาที่แดงช้ำ ทั้งน้ำตาที่ไหลรินอย่างไม่ขาดสายของเยี่ยนมี่เอ๋อร์ ใบหน้าของนางนั้นเผยความทุกข์ระทม ยามที่พูดคำว่า ‘ภาคภูมิใจนั้น’ ใบหน้าก็แทบที่จะปิดบังความขมขื่นไว้ไม่มิด ทั้งยังใช้มือประคองไว้ที่อกด้านซ้าย คล้ายกับเจ็บปวดเหลือทน…

 “คุณหนู…” จื่อหลัวร้อนใจ “ท่านเป็นอะไรเจ้าคะ?”

“ใจของข้าเจ็บปวดจริงๆ…” เยี่ยนมี่เอ๋อร์กุมอกเอาไว้ มักจะรู้สึกว่าแปลกๆ อยู่บ้าง เฮ้อ จะเล่นละครก็ต้องคำนึงถึงผู้ชม หัวใจของนางเห็นได้ชัดว่าอยู่ด้านขวาไม่เหมือนกับคนทั่วไป กระนั้นกลับต้องทำเป็นกุมอกด้านซ้าย นับเป็นเรื่องที่ปรับตัวไม่ทันอยู่บ้างจริงๆ!

“สะใภ้ใหญ่ อย่างไรท่านก็นอนก่อนเถิดเจ้าคะ! จะได้รู้สึกสบายหน่อย!” เซียงเสวี่ยกล่าวอย่างทนไม่ได้ นางคิดว่าความสามารถของตนยังไม่ดีเท่าไร หากพยายามแสร้งทำต่อไป อาจจะทำพังได้ ทางที่ดีจึงแนะนำให้เยี่ยนมี่เอ๋อร์ทำเพียงหอมปากหอมคอ “แม้ว่าคุณชายจะไปแล้ว แต่หากเขาย้อนกลับมาอีกล่ะเจ้าคะ…”

“ก็ได้!” เยี่ยนมี่เอ๋อร์ผงกศีรษะเบาๆ ดวงตาของนางทั้งแสบทั้งเคือง รู้สึกไม่สบายอยู่บ้าง หากได้นอนหลับตาก็คงจะรู้สึกดีขึ้นมาบ้าง จึงนอนลงโดยมีสองสาวใช้คอยพยุง ก่อนเยี่ยนมี่เอ๋อร์จะกล่าวคล้ายกับไม่วางใจ “อย่าให้สามีมาเห็นข้าที่อ่อนแอไม่เป็นโล้เป็นพายเช่นนี้ หากสามีเข้ามาอีก ต้องขวางเขาไว้ให้ได้”

หากไม่ได้มีแผนอยากจะให้ซั่งกวนเจวี๋ยเห็นสภาพนี้ ท่านจะร้องไห้จนเป็นแบบนี้หรือเจ้าคะ? เซียงเสวี่ยกล่าวในใจ ทว่าปากนั้นยังคงรับคำสั่งอย่างพร้อมเพรียงกับจื่อหลัว ประคองเยี่ยนมี่เอ๋อร์ลงนอนเสร็จแล้ว ก็ทิ้งโคมไฟให้ส่องสว่าง คล้อยหลังทั้งสองคนก็เดินเคียงกันลงเรือนไป

ยังดีที่พวกนางไม่ลืมเอาผ้าม่านคลุมเตียงลง เยี่ยนมี่เอ๋อร์ถูแก้มเบาๆ ที่ยังปวดแสบอยู่บ้าง เหตุใดการร้องไห้จึงเหนื่อยกว่าการหัวเราะขนาดนี้ แม้ว่าหลังจากนั้นความหงุดหงิดจะค่อยๆ เปลี่ยนเป็นเล็กลงแล้ว แต่ผ่านไปสักพักก็ไม่ยังไม่อาจหยุดน้ำตาไว้ได้ เฮ้อ…ไม่สนแล้ว ไม่มีกฎใดเคยกล่าวไว้เสียหน่อยว่าจะนอนหลับไปด้วยร้องไห้ไปด้วยไม่ได้! หากซั่งกวนเจวี๋ยลอบเข้าห้องมาตอนดึกดื่นก็อาจจะทำให้เชื่อได้มากขึ้นไม่ใช่หรือ?

หาเหตุผลให้ตัวเองได้ ก็ไม่สนใจว่าซั่งกวนเจวี๋ยที่ยืนอยู่นอกหน้าต่างจะมีความเคลื่อนไหวอะไร เยี่ยนมี่เอ๋อร์ล่วงสู่นิทราอย่างสบายใจ ทิ้งเรื่องนี้ไว้ข้างหลัง ไม่ได้สนใจสักนิดเลยว่าคืนนี้จะมีคนมากมายเท่าใดกันที่ไม่อาจนอนหลับอย่างสงบใจได้…

———————————–