ตอนที่ 85 ศึกรับอนุภรรยา (7)

เจ้าสาวร้อยเล่ห์

“พวกเราเตรียมตัวให้พร้อม วันมะรืนต้องเดินทางกลับฝูโจว!” ในยามที่รับประทานอาหารเช้า หวงฝู่หลินจี้ก็กล่าวขึ้นอย่างเรียบนิ่งกับหลี่ฉยงอวี่ บนโต๊ะนอกจากพวกเขาสองสามีภรรยาแล้ว ก็มีเพียงหวงฝู่อวี๋หลิง ส่วนคนอื่นๆ บ้างก็ยังไม่ตื่นจากที่นอน บ้างก็ยังไม่กลับมาตั้งแต่เมื่อคืน

“จะกลับไปรวดเร็วเช่นนี้เลยหรือ?” หลี่ฉยงอวี่ทำใจไม่ได้อยู่บ้าง ไม่ใช่ว่าพักอาศัยอยู่ที่ตระกูลซั่งกวนนั้นสุขสบายกว่าตระกูลหวงฝู่ แต่เพราะอยู่ที่นี่ไม่มีอนุภรรยาพวกนั้นของหวงฝู่หลินจี้ต่างหาก โดยเฉพาะซุนเฟยเสวี่ย ผู้ที่นางไม่เคยเกลียดใครเข้ากระดูกดำเช่นนี้มาก่อน หวงฝู่หลินจี้เอาแต่ร่วมเตียงเคียงหมอนกับนางติดกันหลายคืน ทำให้นางย้อนคิดไปถึงตอนที่เพิ่งแต่งงานใหม่ๆ ยามไร้ซึ่งอนุภรรยา มีเพียงสองสามีภรรยาอยู่เคียงคู่กัน แม้ว่าจะไม่ได้บรรเลงเพลงรักร่วมกันทุกคืน แต่เพียงสัมผัสถึงไออุ่นของสามีที่อยู่ข้างกายได้ แค่นั้นก็ทำให้หลี่ฉยงอวี่มีความสุขอย่างลึกซึ้งแล้ว

“ในตระกูลยังมีเรื่องมากมายที่ต้องจัดการ ไม่อาจชักช้าได้!” หวงฝู่หลินจี้กล่าวอธิบาย บางทีอาจเพราะว่าช่วงนี้ทั้งสองคนมีเวลาใกล้ชิดกันมากกว่ายามที่อยู่ที่ตระกูล หลี่ฉยงอวี่ที่ช่างเหน็บแนมเสียดสีแตกต่างจากเดิมไปอย่างมาก ทำให้เขาค่อยๆ มีความอดทนขึ้นมา ทั้งยังแสดงท่าทีอ่อนโยนกับนางมากขึ้นอยู่บ้าง

“ได้ใช้ชีวิตเอื่อยเฉื่อยสบายๆ มาหลายวัน จึงรู้สึกทำใจไม่ได้อยู่บ้างเท่านั้น” หลี่ฉยงอวี่เผยยิ้มหวานให้เขา “ควรถึงเวลาที่ต้องกลับไปแล้วจริงๆ ไม่รู้ว่าลูกชายจะเป็นอย่างไรบ้าง? ตั้งแต่เขาเกิดมาก็ไม่เคยอยู่ห่างกันเป็นเวลานานเช่นนี้มาก่อน”

“ข้าก็คิดถึงลูกชายเหมือนกัน” หวงฝู่หลินจี้คล้อยตามนาง แน่นอนว่าเขาไม่ได้คิดถึงแต่เพียงลูกชายคนโต แต่ยังคิดถึงพวกลูกอนุภรรยาและอนุภรรยาสุดที่รักด้วย เพียงแต่เขาไม่ได้พูดออกมา เวลานี้หากพูดออกมาก็ย่อมทำลายบรรยากาศ พวกเขาสองสามีภรรยายากที่จะมีช่วงเวลาที่อบอุ่นเช่นนี้ แต่บางครั้งเรื่องราวก็อาจไม่ราบรื่นไปได้เสียหมด เสียงดังตึกตักจากที่ไกลๆ ลอยเข้ามาใกล้ ตามมาด้วยเสียงร้องของพวกสาวใช้ที่ดังสะเปะสะปะก็ได้ทำลายช่วงเวลาอันสงบสุขลงอย่างหมดสิ้น…

“หลี่ฉยงอวี่ เจ้าออกมาเดี๋ยวนี้นะ!” หลิงหลงตะโกนกร้าวอย่างโมโห แทบไม่ได้สนใจพวกสาวใช้ที่สร้างเรื่องขัดขวางแม้แต่น้อย บุกเข้าไปด้านในไปพลาง ทั้งตะโกนเรียกเสียงดังไปพลาง

“หลิงหลง นี่เจ้าเป็นอะไรไป?” หวงฝู่หลินจี้มองหลิงหลงที่อยู่ในท่าทีโกรธเกรี้ยวด้วยอาการงุนงงเป็นอย่างมาก ใบหน้าที่ไม่ปิดบังความโมโหแม้แต่น้อยทำให้หวงฝู่หลินจี้ไม่เข้าใจว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่

              “ท่านลองถามหลี่ฉยงอวี่ดูสิ” หลิงหลงเดือดดาล ถลึงตามองไปยังหลี่ฉยงอวี่ที่เผยท่าทีร้อนใจขึ้นมาชั่วพริบตา ก่อนจะแสร้งทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้ “ท่านถามนางดูว่าลับหลังนางไปทำเรื่องไม่เหมาะไม่ควรอะไรมา!”

 “หลิงหลง เช้าตรู่เช่นนี้ เหตุใดจึงบันดาลโทสะโกรธขึ้นมาอย่างไร้เหตุผลเช่นนี้?” หลี่ฉยงอวี่กล่าวอย่างใจกว้าง “เจ้าอย่าเพิ่งโมโห นั่งลงเสียก่อน มีเรื่องอะไร พี่สะใภ้จะตัดสินให้เจ้าเองดีหรือไม่?”

“ข้าเนี่ยนะไร้เหตุผล เป็นเจ้าน่ะสิที่ไร้เหตุผล!” หลิงหลงเช็ดน้ำตาไปด้วย ถลึงตามองนางไปด้วย “เจ้ามันเป็นผู้หญิงชั่วช้า อย่าได้แสร้งมาเป็นคนดีที่นี่ ข้าถามเจ้าหน่อย ข้าไปทำสิ่งใดให้เจ้าโกรธกันแน่ เจ้าจึงได้คิดวิธีมาทำร้ายคนอื่นเช่นนี้ เจ้าคิดอยากจะให้ข้าไม่มีความสุขไปชั่วชีวิตเลยใช่หรือไม่?”

“ตกลงเจ้าทำเรื่องอะไรกันแน่!” หวงฝู่หลินจี้น้อยครั้งที่จะเห็นหลิงหลงเศร้าเสียใจเช่นนี้ เวลานี้จึงหันไปตะโกนใส่หลี่

ฉยงอวี่ หลิงหลงนั้นมีความคิดใสซื่อบริสุทธิ์ ไม่อาจใส่ร้ายคนอื่น ทั้งยังไม่อาจปั้นน้ำเป็นตัวกุเรื่องพวกนี้ขึ้นมาพูดได้ และหลิงหลงก็เป็นคนที่แข็งแกร่งมาโดยตลอด หากไม่ใช่เพราะได้รับความไม่เป็นธรรมอย่างถึงที่สุด ก็คงไม่เป็นเช่นนี้ได้หรอก เพียงแต่ แม้ว่าหวงฝู่หลินจี้จะทายถูกส่วนเดียว แต่ก็ยังคาดผิดไปอยู่ดี…หลิงหลงไม่ได้ปั้นน้ำเป็นตัว ไม่ได้จงใจใส่ร้ายหลี่ฉยงอวี่ ทว่าคนที่ได้รับความไม่เป็นธรรมไม่ใช่นาง แต่เป็นผู้อื่น หลิงหลงเพียงแค่ได้รับคำชี้แนะมาจากซั่งกวนเจวี๋ย จึงตั้งใจเข้ามาหาเรื่องโดยเฉพาะ เพื่อเข้ามาระบายความโกรธแทนเยี่ยนมี่เอ๋อร์ที่ ‘ทุกข์ระทมเสียใจ’

แม้ว่าเยี่ยนมี่เอ๋อร์จะคิดมาก่อนว่าซั่งกวนเจวี๋ยอาจจะลอบเข้ามาในห้องยามดึก แต่นั่นก็เป็นเพราะนางไร้หนทางที่หยุดน้ำตาได้ ในยามที่พยายามหาความคิดมาปลอบใจตัวเอง กลับไม่คาดคิดว่ามันจะกลายเป็นเรื่องจริงได้…หลังจากซั่งกวนเจวี๋ยได้ยินว่านางเข้านอนแล้ว ก็ไปเข้าพบซั่งกวนฮ่าว เมื่อปรึกษาเรื่องบางเรื่องเสร็จ ก็อดห่วงไม่ได้จึงย้อนกลับมาที่เรือนมีคู่อีกครั้ง

เขาไม่ได้เข้าไปในเรือน แต่ถลาเข้าไปหาเยี่ยนมี่เอ๋อร์ที่ห้องนอน เขาเป็นห่วงว่านางจะเสียใจจนนอนหลับไม่สนิท จึงเคลื่อนไหวอย่างระมัดระวัง ไม่เกิดเสียงดังแม้แต่น้อย แต่เพราะเยี่ยนมี่เอ๋อร์ได้ส่งต่อเรื่องให้ซั่งกวนเจวี๋ยแล้ว ทั้งต่อจากนี้ก็ต้องมอบให้ซั่งกวนเจวี๋ยเป็นคนตัดสินใจเรื่องนี้เอง นางจึงหลับลึกโดยไม่กังวลอันใด แม้ว่าในความมืดสลัวๆ จะรู้สึกคล้ายกับมี สายตาคู่หนึ่งจ้องมองตนอยู่ แต่หนึ่งเพราะว่าวางใจเรื่องความปลอดภัยของตระกูลซั่งกวน และสองเพราะดวงตาทั้งแห้งทั้งแสบเคือง ยากที่จะลืมตาขึ้นอยู่บ้าง ในยามที่ลองพยายามจะขยับเปลือกตา ก็ยังตื่นขึ้นมาไม่ได้ และนางที่คล้ายกับดิ้นรนจนจะสะดุ้งตื่นจากความฝันแต่ก็ยังตื่นไม่ได้นั้น ได้ตกอยู่ในสายตาของซั่งกวนเจวี๋ยเสียแล้ว จึงกลายเป็นว่าแม้แต่ในความฝันนางก็ยังนอนหลับอย่างไม่อาจสงบจิตสงบใจได้

เห็นใบหน้าที่ซีดเผือดของเยี่ยนมี่เอ๋อร์ ไม่ปรากฏสีเลือดให้เห็นสักนิด เปลือกตาก็บวมแดง บางครั้งน้ำตาก็ยังคงร่วงลงจากหางตาอีก(คงพูดได้ว่าเป็นเพราะเยี่ยนมี่เอ๋อร์ประสบการณ์ไม่มากพอ ได้ใช้ยาเยอะเกินไป ยาจึงออกฤทธิ์กินเวลานานกว่าที่คาดคิดไว้) หมอนที่เปียกชื้นไปด้วยน้ำตา และในฝันที่ยังไม่อาจหลับสนิท ล้วนแต่ทำให้ซั่งกวนเจวี๋ยรู้สึกสงสารนางจับใจ ทั้งยังทวีความโกรธมากขึ้น

เขาพิงหลับที่ด้านหน้าเตียงของเยี่ยนมี่เอ๋อร์สักพัก ยามที่ฟ้าส่องสว่างเล็กน้อย จึงค่อยออกทางหน้าต่างไปอย่างระมัดระวัง ก่อนสายลมที่ซุกซนจะหอบโชยกลิ่นน้ำค้างยามเช้าเข้ามาในตอนที่ซั่งกวนเจวี๋ยเปิดปิดหน้าต่างออกไปในชั่วพริบตา ลมเย็นนั้นทำให้เยี่ยนมี่เอ๋อร์สะดุ้งตื่นขึ้น เมื่อเห็นห้องโล่งที่ไร้ผู้คนก็หัวเราะขบขันออกมา คิดไปเองจริงๆ ด้วย มีคนที่ไหนกันเล่า? จากนั้นนางก็นอนหลับต่อไป…

ซั่งกวนเจวี๋ยให้ม่านชิงปลุกหลิงหลงที่ยังนอนอยู่ให้ตื่นขึ้น ก่อนจะบอกเล่าต้นสายปลายเหตุของเรื่องและข้อสงสัยของเขา ทำเอาความง่วงของหลิงหลงหายเป็นปลิดทิ้ง เวลานั้นก็เดือดดาลขึ้นมาทันที ความโกรธสุมอยู่ในอก อยากที่จะไปคิดบัญชีกับหลี่ฉยงอวี่และหวังเหมยเสียน ผู้ที่คิดริเริ่มสองคนนั้น…แม้ว่าฮูหยินชุยจะมีส่วนเกี่ยวข้องด้วย แต่อย่างไรนั่นก็เป็นบุคคลสำคัญคนหนึ่ง เพียงแต่ซั่งกวนเจวี๋ยก็ตั้งใจชี้นำเล็กน้อย ให้หลิงหลงคิดว่าฮูหยินชุยก็เป็นเหมือนดั่งเช่นหวงฝู่เยวี่ย เอ้อล้วนแต่เป็นคนที่ถูกหลอกลวงและตบตา จึงได้หลงกลหญิงสาวที่น่ารังเกียจสองคนนั้นเข้า

ซั่งกวนเจวี๋ยกันหลิงหลงเอาไว้ กระซิบกระซาบแผนการของตัวเองให้นางฟังไปหนึ่งครั้ง ดังนั้น จึงได้เกิดเป็นฉากเช่นนี้ออกมา

นอกจากตระกูลหวงฝู่และตระกูลชุย ตระกูลอื่นๆ ก็ล้วนค่อยๆ ทยอยกันออกไปหมดแล้ว ทั่วทั้งเรือนใต้นอกจากแขกของตระกูลหวงฝู่ก็มีเพียงลูกอนุภรรยาของตระกูลไม่กี่คนที่ไม่รู้ว่าเมื่อวานเกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่ และพวกนางก็หลบอยู่ในห้องอย่างรู้งานทันที ไม่ให้ตัวเองเป็นฝ่ายออกหน้า แต่พวกสาวใช้แม่นมข้างกายล้วนแต่ประจำอยู่ในตำแหน่งที่ได้เปรียบเรียบร้อยแล้ว อยากจะเห็นว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้น เหตุใดว่าที่สะใภ้สามจึงได้เข้ามาหาสะใภ้ใหญ่ตระกูลหวงฝู่แต่เช้าตรู่ด้วยอาการโกรธเกรี้ยว และหัวสมองก็แล่นคิดอย่างว่องไว พบว่าคุณชายและสะใภ้ของตระกูลตนล้วนแต่ไม่อยู่ที่นี่ ในใจล้วนเต้นตึกตักอย่างไม่อาจสงบใจได้อยู่บ้าง…นายท่านชุยและฮูหยินชุยนั้นไม่ได้เข้ามาพักที่ตระกูลซั่งกวน แต่อาศัยอยู่ที่เรือนพำนักของตระกูลชุยเอง เหตุผลก็เพื่อให้คนหนุ่มสาวได้พำนักอยู่ในห้องว่างของตระกูลซั่งกวนทั้งหมด จะได้สะดวกต่อการคบค้าสมาคมและสร้างความสัมพันธ์ระหว่างพวกเขา ไม่แน่ว่าการเกี่ยวดองกันก็อาจจะเกิดขึ้นที่นี่ก็เป็นได้ ดังนั้นการที่ฮูหยินชุยและนายท่านไม่ได้อยู่ที่นี่ย่อมไม่แปลกอันใด แต่คุณชายใหญ่และสะใภ้ใหญ่ก็ล้วนไม่อยู่ ทั้งคุณชายสามก็ไม่ปรากฏตัว นั่นเป็นเรื่องที่แปลกจริงๆ…ที่แท้คนที่ก่อเรื่องเป็นว่าที่ภรรยาของเขาสินะ!

“ข้า…” หลี่ฉยงอวี่มองหลิงหลงที่กล่าวโทษนาง มองหวงฝู่หลินจี้ที่รักและเอ็นดูหลิงหลงดั่งเป็นน้องสาว ทั้งมองไปยังประตูเรือนที่มีหัวคนสอดส่องเข้ามาดู ในใจรู้สึกขื่นขม นางคาดไม่ถึงว่าหลิงหลงจะกล้าทำเรื่องนี้เพื่อพี่สะใภ้ที่เพิ่งแต่งเข้ามาถึงขนาดนี้ และกระจ่างใจดีว่าหากหวงฝู่หลินจี้รู้ว่าตนเป็นคนทำเรื่อง ความอบอุ่นที่ตัวเองเพิ่งจะได้รับกลับมาอย่างยากเย็น ไม่เพียงแต่จะสลายหายไป แต่เดิมตำแหน่งที่มีอยู่อย่างหมิ่นเหม่ในใจเขาก็อาจจะสูญสิ้นไปด้วย ในยามนี้หากนางจะเสียใจในสิ่งที่ทำลงไปจะทันหรือไม่?

หวงฝู่หลินจี้พอได้เห็นปฏิกิริยาของหลี่ฉยงอวี่ก็โกรธจนควันออกหู นางกล้าขนาดก่อเรื่องพวกนี้ในขณะที่พำนักเป็นแขกของตระกูลซั่งกวน ทั้งยังทำให้หลิงหลงเจ็บปวดคล้ายดั่งแมวที่พองขนหลังจากถูกเหยียบหาง ไม่ว่าอย่างไรก็หยุดยั้งนางไม่ได้เช่นนี้?

“หลิงหลง เกิดเรื่องอันใดขึ้น เจ้าหายใจเข้าลึกๆ ก่อน นั่งลงแล้วค่อยพูด” หวงฝู่หลินจี้กล่อมหลิงหลงให้ใจเย็น บอกสาวใช้เป็นนัยให้ไปจัดการสถานการณ์ให้เรียบร้อย ก่อนจะพูดอย่างนุ่มนวล

              “พี่หลินจี้…” หลิงหลงไม่จำเป็นต้องเสแสร้ง เพียงแค่นึกถึงภาพเยี่ยนมี่เอ๋อร์ที่ต้องพยายามข่มกลั้นความเจ็บปวดในใจเมื่อวาน ทั้งยังต้องปกป้องตัวนางอย่างเอาใจใส่ ไม่ให้นางต้องเจ็บปวดก็น้ำตาพรั่งพรูออกมาทันที กล่าวอย่างเศร้าใจ ร่ำไห้ “พี่สะใภ้ฉยงอวี่เสนอความคิดให้กับหวังเหมยเสียน ใช้การแต่งงานของข้าและชุยฮ่าวหรันเป็นเงื่อนไข ให้ท่านแม่รับปากให้พี่ชายใหญ่รับชุยอวี่เฟยเป็นอนุภรรยา…ข้าไม่รู้ว่าข้าไปล่วงเกินอันใดนาง นางจึงได้เสนอความคิดแย่ๆ เช่นนี้ พี่หลินจี้ นางใจร้ายถึงขนาดนี้ได้อย่างไร! หากท่านแม่รับปาก ไม่ใช่แสดงให้เห็นหรือว่าในใจของท่านแม่ ข้าก็เหมือนเป็นลูกอนุภรรยาคนหนึ่งที่ถูกเลี้ยงข้างกายของนาง หากเป็นเช่นนั้น เมื่อข้าแต่งกับชุยฮ่าวหรันออกไปจะมีจุดยืนในตระกูลชุยอย่างไรกัน? หากท่านแม่ปฏิเสธ ตระกูลชุยก็อาจจะเกิดบาดหมางในเรื่องนี้ไม่ใช่หรือ ข้าและชุยฮ่าวหรันก็…พี่หลินจี้ แม้ว่าข้าจะทำผิดต่อนาง นางแค่มา

พูดกับข้า ข้าก็กล่าวขอโทษยอมรับผิดต่อนางแล้ว นางไม่มีความจำเป็นต้องทำร้ายข้าถึงขนาดนี้?”

ใบหน้าของหวงฝู่หลินจี้ดำคล้ำเหมือนก้นหม้อ มองไปที่หลี่ฉยงอวี่อย่างเย็นเยียบ “เจ้าลองพูดมา มีเรื่องนี้จริงๆ ใช่หรือไม่?”

“ข้าไม่ได้ทำ!” หลี่ฉยงอวี่ทำได้เพียงปฏิเสธ “ข้าจะทำเรื่องทำร้ายคนเช่นนั้นได้อย่างไร? หลินจี้ ท่านก็รู้ดี ข้าเคารพนับถือท่านป้ามาโดยตลอด รักและเอ็นดูญาติผู้น้องทั้งสองดั่งเป็นน้องสาวของตนจริงๆ ข้าจะทำเรื่องที่ทำร้ายพวกนางได้อย่างไร? ท่านต้องเชื่อข้านะ!”

“ไม่ได้ทำ?” หลิงหลงตะโกนขึ้นมา เสียงแหลมบาดหูจนทำให้หวงฝู่หลินจี้ต้องอุดหูไว้อย่างทนไม่ไหว หลิงหลงแทบจะกล่าวเสียงดังอย่างไม่รู้ตัว “เมื่อวานตอนเย็นนั้นผู้ที่กล่าวอย่างมั่นใจเรื่องเกี่ยวดองอะไรนั่นที่เรือนมีคู่เป็นใครกัน? ยังพูดอะไรนะ ว่าน้องสามีเปลี่ยนเป็นพี่สะใภ้นั้นพบเห็นได้อย่างกลาดเกลื่อน? พี่สะใภ้ของข้าเอาแต่ปฏิเสธมาโดยตลอด แล้วเป็นใครเล่าที่บีบบังคับให้พี่สะใภ้ยอมรับฐานะของชุยอวี่เฟย?”

“มีเรื่องเช่นนี้ด้วยหรือ?” หวงฝู่หลินจี้เผยใบหน้าเยือกเย็นมองหลี่ฉยงอวี่ เขาไม่คิดว่าหลิงหลงจะสามารถแต่งเรื่องเช่นนี้มาใส่ร้ายหลี่ฉยงอวี่ได้ ระหว่างทั้งสองคนนั้นไม่มีความแค้นกันมาก่อน หลิงหลงไม่มีความจำเป็นต้องทำเช่นนั้น

“หลินจี้ ข้าไม่ได้ทำจริงๆ!” หลี่ฉยงอวี่ร้อนใจ เห็นแววตาเย็นเยียบของสามีขึ้นมา นางก็กล่าวอย่างลนลาน “ข้าไม่ได้ทำจริงๆ ท่านต้องเชื่อข้า!”

“เช่นนั้นแล้วความหมายของเจ้าคือข้าเป็นคนปรักปรำเจ้าอย่างนั้นหรือ?” หลิงหลงปาดน้ำตา ถลึงตามองนางอย่างดุดัน “พี่หลินจี้ พี่สะใภ้ของข้าและจิงอิ๋งก็อยู่ในเหตุการณ์ด้วยเช่นกัน หากไม่ใช่เพราะเวลานั้นพี่สะใภ้คอยกล่าวปลอบข้า ข้าก็คงบันดาลโทสะใส่พวกนางไปแล้ว หากท่านไม่เชื่อละก็ สามารถถามจิงอิ๋งได้ ทั้งยังถามพี่สะใภ้ข้าได้ด้วย!”

“พวกนางย่อมช่วยเจ้าอยู่แล้ว!” หลี่ฉยงอวี่แทบจะพูดผิดพูดถูก นางรู้ว่าความจริงของเรื่องนี้ไม่ช้าก็เร็วย่อมถูกเปิดเผย แต่แค่ยืดเวลาออกไปสักประเดี๋ยวก็ได้ ภายใต้สายตาที่เย็นชาของหวงฝู่หลินจี้ที่มองมาเช่นนั้น นางก็ล้วนทำอะไรไม่ถูกไปหมดแล้ว

“อวี๋หลิงและอวี๋จวินก็ได้ยินเช่นกัน! หรือจะบอกว่าพวกนางจะใส่ร้ายเจ้าเพื่อข้าเหมือนกันอย่างนั้นหรือ?” หลิงหลงดึงหวงฝู่อวี๋หลิงที่เป็นผู้ชมอยู่ด้านข้างลงน้ำมาด้วย

“พี่ใหญ่ ข้า…” หวงฝู่อวี๋หลิงฝืนฉีกยิ้มที่ดูน่าเกลียดเสียกว่าการร้องไห้ออกมา ไม่รู้ว่าควรจะพูดอะไรดี

“เหตุใดจึงเสียงดังขนาดนี้ เกิดเรื่องอันใดขึ้น?” หวงฝู่อวี๋จวินปรากฏตัวขึ้นทั้งสภาพที่ขยี้ตาอย่างงัวเงีย นางไม่ทันได้นอนเต็มอิ่มก็มาถูกเสียงดังจ้าละหวั่นทำให้สะดุ้งตื่นขึ้นเสียก่อน ใบหน้าเรียวเล็กนั้นยังมีความไม่พอใจปรากฏอยู่ด้วย

“ถูกทำให้ตื่นแล้วหรือ?” หวงฝู่หลินจี้ตบใบหน้านั้นเบาๆ “พวกเรากำลังคุยเรื่องเมื่อวานที่พวกเจ้าทำให้หลิงหลงโกรธจนร้องไห้ที่เรือนมีคู่ อวี๋จวินมีอะไรจะอธิบายหรือไม่?”

“ไม่เกี่ยวกับข้านะ!” หวงฝู่อวี๋จวินตกใจเป็นอย่างมาก ตื่นเต็มตาขึ้นมาทันที รีบกล่าวแก้ต่างให้ตัวเองเสียงดัง “นั่นเป็นเรื่องที่พวกพี่สะใภ้ใหญ่ทำกัน ไม่เกี่ยวข้องกับข้า! ข้าและท่านพี่ตั้งแต่ต้นจนจบก็ไม่ได้สอดปากสักนิด พี่ใหญ่อย่าได้ใส่ร้ายคนอื่น!”

หลี่ฉยงอวี่ปะทะกับสายตาที่เต็มไปด้วยความผิดหวังของหวงฝู่หลินจี้ ทั่วทั้งร่างล้วนเย็นเยียบไปหมด นางรู้สึกเสียใจกับเรื่องที่ทำลงไปแล้วจริงๆ…

———————————–