บทที่ 104 เถาตะวัน

ราชาซากศพ

บทที่ 104
เถาตะวัน

หลินเว่ยพุ่งจิตวิญญาณออกจากร่างกายอย่างรวดเร็ว และเจาะเข้าไปในจิตวิญญาณของราชาหมาป่าลมกรด จิตใจของเขารู้สึกมึนงงและไม่สามารถควบคุมสัตว์อสูรได้ ทำได้เพียงทำให้ร่างของมันหยุดชะงัก

และในเวลานี้สัตว์อสูรโครงกระดูกคว้าหางของราชาหมาป่าลมกรด และทุบมันลงไปกับพื้นอย่างรุนแรง

“ตูม เกิดเสียงดังขึ้นมา พร้อมกับเลือดที่กระซ่านอยู่บนพื้นที่ถูกทุบจนกลายเป็นแอ่งเลือด ภายใต้การโจมตีของสัตว์อสูรโครงกระดูก ทันใดนั้นร่างของราชาหมาป่าลมกรดก็แตกสลาย และมีหมอกเลือดสีแดง กระจายออกมาจากร่างของมัน

ภายใต้การรับรู้ของหลินเว่ย พลังของอีกฝ่ายสลายไปอย่างรวดเร็ว และการต่อสู้ของหมาป่าลมกรดตัวอื่น กำลังจะพ่ายแพ้ หมาป่าลมกรดที่เหลือซึ่งตั้งใจจะหลบหนี กลับถูกโครงกระดูกขับไล่และกวาดต้อนสังหาร

หลังจากการโจมตีหลายระลอก พวกมันทั้งหมดก็สิ้นชีวิต

ในการต่อสู้ครั้งนี้ หลินเว่ยบดขยี้อีกฝ่ายอย่างดุเดือดเลือดพล่าน ใช้เวลาเพียงครึ่งชั่วโมงก็สามารถจบสงครามลงไป เขาแสดงทักษะการคืนชีพโครงกระดูกอย่างชำนาญ สัตว์โครงกระดูกขั้นหก ยืนเรียงแถวตรงหน้าของหลินเว่ย ซากศพที่เหลือรวมทั้งร่างของราชาหมาป่าลมกรดถูกจัดเก็บ ส่วนที่มีระดับต่ำหลินเว่ยไม่สนใจและปล่อยมันทิ้งไป

มีโครงกระดูกขั้นหกทั้งหมดยี่สิบสามโครง และโครงกระดูกขั้นห้าจำนวนยี่สิบเอ็ดโครง นี่คือกองกำลังที่หลินเว่ยมีอยู่ในตอนนี้ เสี่ยวไป๋และเสี่ยวหลงได้พัฒนาความสำเร็จของพวกมัน และวนเวียนอยู่ในสงครามและการเอาชีวิตรอด

เมื่อไม่กี่เดือนที่ผ่านมา หลินเว่ยเขายังคงมีระดับพลังเท่าเดิม อยู่ที่ขุนศึกขั้นห้า

หลังจากจัดเก็บกองทัพโครงกระดูกเข้าพื้นที่มิติแล้ว หลินเว่ยก็เลือกเดินทางแบบสุ่ม และออกเดินทางอีกครั้ง เพื่อค้นหาสัตว์อสูรอย่างไร้จุดหมาย เนื่องจากเขาไม่มีแผนที่ ดังนั้นเขาจึงไม่รู้ว่าตนเองร่อนเร่ในป่าลึกและตอนนี้อยู่ส่วนไหนของ ม่อเทียนหลิง

และห่างไกลจากเมืองเฮยสุ่ยมาก

…………
“ฟุดฟิด ๆ กลิ่นอะไร เหตุใดจึงหอมกรุ่น?

“กลิ่นหอมอะไรกัน ข้าไม่ได้กลิ่นแม้แต่น้อย” เมื่อได้ยินเสียง ร่างหนึ่งยืนอยู่บนกิ่งไม้ ก็เอ่ยถามด้วยความสงสัย

“เจ้าไม่ได้กลิ่นหรอกหรือ?” เสี่ยวไป๋หายใจเข้าลึก ๆ และถามด้วยความเพลิดเพลิน

“กลิ่น…..ไม่…ข้าไม่ได้กลิ่นเลย หลินเว่ยมองไปรอบ ๆ ด้วยความไม่เชื่อ จากนั้นก็ลองดมกลิ่นอย่างระมัดระวัง แต่เขากลับไม่รู้สึกอะไรเลย
“กลิ่นหอมรุนแรงขนาดนี้…เจ้าไม่รู้สึกได้อย่างไร?” เสี่ยวไป๋ขมวดคิ้วและมองไปที่หลินเว่ย เขาถามด้วยความสงสัย

“อาจารย์! ท่านรู้หรือไม่ว่าเกิดอะไรขึ้น?” หลินเว่ยไม่ได้พูดอะไร แต่ติดต่อกับอาจารย์ผ่านจิตใต้สำนึก โดยคิดว่าตนเองน่าจะได้คำตอบ

“เจ้าเปิดพื้นมิติเล็กน้อย และปล่อยให้สัตว์เลี้ยงตัวอื่นของเจ้าดมกลิ่น เพื่อดูว่ามันมีปฏิกิริยาอย่างไร?” หลังจากนั้นไม่นาน เสียงของชายชราก็ดังขึ้นในจิตใต้สำนึกของหลินเว่ย

“ได้….” ตามคำพูดของอาจารย์ หลินเว่ยเปิดพื้นที่มิติเล็ก ๆ ขนาดเท่ากำปั้น

เดิมทีพื้นที่มิตินั้นจะไม่เชื่อมต่อกับโลกภายนอก ยกเว้นอากาศที่จะสามารถเข้าไปข้างในได้ ตอนนี้หลินเว่ยจงใจเปิดพื้นที่มิติเล็ก ๆ ทั้งพลังงานและกลิ่นหอมหวนพุ่งเข้าใส่ในพื้นที่มิติ
อย่างไรก็ตาม หลินเว่ยเพิ่งจะเปิดพื้นที่มิติไปได้ชั่วขณะหนึ่ง จากนั้นหลินเว่ยก็ปิดลงทันที เพราะในช่วงเวลานี้พลังจิตของหลินเว่ยถูกใช้ไปหนึ่งในสิบ
หลังจากปิดพื้นที่มิติลงไป หลินเว่ยเริ่มสังเกตปฏิกิริยาของเสี่ยวหลง ตอนแรกเสี่ยวหลงกำลังนอนหลับอุตุ เขาไร้ซึ่งปฏิกิริยาใด ๆ เลย แต่หลังจากนั้นไม่นาน หลินเว่ยก็เห็นว่าจู่ ๆ จมูกของเสี่ยวหลงก็ขยับ

จากนั้นมันก็ยกศีรษะขึ้นและดมมันไปรอบ ๆ ในไม่ช้ามันก็ดูเหมือนหลงใหล

“ดูเหมือนพวกมันจะได้กลิ่นบางอย่าง คล้ายกับว่ามันมีกลิ่นที่มอมเมาสัตว์อสูรมากเลยทีเดียว” หลังจากเรียนรู้เกี่ยวกับท่าทางของเสี่ยวหลงแล้ว หลินเว่ยก็พูดกับชายชราหมิง

“อืม! เท่าที่ข้ารู้มา มีหลายสิ่งที่สร้างผลกระทบเช่นนี้ แต่ในโลกนี้ น่าจะมีเพียงสิ่งเดียวที่สอดคล้องกับสถานการณ์ปัจจุบัน นั่นคือกุยเต็ง(เถาตะวัน) เจ้าควรไปถามหนูตนนั้น” ชายชรากล่าวด้วยน้ำเสียงเย็นชา

“เอาล่ะ!” หลินเว่ยตอบรับ จากนั้นก็ตัดการติดต่อกับชายชราหมิง เขาหันศีรษะและมองไปที่เสี่ยวไป๋ เขาถามขึ้นว่า “เจ้ารู้จักอสูรเถาตะวันหรือไม่”
“อสูรเถาตะวัน นั่นไม่ใช่สัตว์ในตำนานหรือ….เจ้ารู้ได้…อย่างไรกัน?” หลังจากที่เสี่ยวไป๋กลืนน้ำลายที่
เต็มปากของตนเอง แล้วเอ่ยถามอย่างสงสัย

“ตอนนี้เจ้าไม่คิดว่ามันคืออสูรเถาตะวันหรือ?” หลินเว่ยขมวดคิ้วและถามขึ้น จากนั้นใบหน้าของเขาก็เปลี่ยนแปลงทันที ในการรับรู้ของเขาที่นี่มีพลังลมปราณมากมาย สิ่งที่ปรากฏที่นี่น่าจะเป็นสัตว์อสูร

“เกิดอะไรขึ้น?” เมื่อเห็นว่าหลินเว่ยหยุดพูดอย่างกะทันหัน เสี่ยวไป๋จึงถามด้วยสีหน้าจริงจัง อย่างไรก็ตามในไม่ช้า เขาก็รู้คำตอบสำหรับคำถามนี้ ด้วยการรับรู้ของเสี่ยวไป๋ แม้ว่าเขาจะไม่มีความสามารถพิเศษทางจิตวิญญาณเหมือนกับหลินเว่ย แต่เสี่ยวไป๋นั้นอยู่ใกล้กับหลินเว่ย และมีการรับรู้ที่ไวต่อความรู้สึก ในการรับรู้ของเขา ลมปราณอันทรงพลังนับไม่ถ้วน กำลังวิ่งมาในทิศทางของพวกเขาและใกล้เข้ามา

“ แซ่กๆๆ … !” ไม่นานนัก ต้นไม้รอบ ๆ หลินเว่ย ก็เริ่มสั่นไหวและมีเสียงสัมผัสของกิ่งไม้และใบหญ้า เมื่อเวลาผ่านไประยะหนึ่ง การเคลื่อนไหวก็รุนแรงขึ้นเรื่อย ๆ ในไม่ช้าหลินเว่ยก็เห็นว่าสัตว์อสูรที่มีหน้าตาบูดบึ้ง กระโจนออกมา

ใบหน้าของมันเต็มไปด้วยความตื่นเต้น มันไม่หยุดสนใจหลินเว่ยที่อยู่บนต้นไม้

นี่เป็นเพียงจุดเริ่มต้นของสิ่งนี้ หลังจากนั้นสัตว์อสูรอีกตนหนึ่งก็วิ่งผ่านเท้าของหลินเว่ย แต่มันกลับเมินใส่หลินเว่ยที่ยืนอยู่บนต้นไม้

“หลินเว่ย….ข้าคิดว่าบางทีอาจจะเป็นอสูรเถาตะวัน… ตามที่เจ้าพูด…พวกเราตามไปดูด้วยตาของเราดีหรือไม่?!” เสี่ยวไป๋คว้าคอของหลินเว่ยและพูดอย่างไม่อดทน

“ ได้” เมื่อเห็นท่าทางของเสี่ยวไป๋ หลินเว่ยก็พยักหน้าเหมือนเดิม จากนั้นก็ก้าวไปข้างหน้าด้วยพลังทั้งหมดของเขา ไปยังทิศทางของสัตว์อสูรเหล่านั้น แม้ว่าเขาจะเป็นมนุษย์ แต่เขาก็กลมกลืนอยู่ในกลุ่มของสัตว์อสูร ดูไม่แปลกแยก
สิบนาทีต่อมา หลินเว่ยหยุดอยู่หน้าหุบเขา เพราะมีสัตว์อสูรเบื้องหน้าเขานั้นหยุดเดินลงไป เขารู้ตัวว่าตนเองนั้นมาถึงจุดหมายแล้ว

เขาเดินผ่านสัตว์อสูรมากมายอย่างระมัดระวัง แต่มีสัตว์อสูรจำนวนมากที่มารวมตัวกันแน่นขนัด ดังนั้นหลินเว่ยทำได้เพียงปีนขึ้นไปบนกำแพงหิน และพบตำแหน่งที่ซ่อนตัว เพื่อสังเกตสถานการณ์ในหุบเขา

แม้ว่า หลินเว่ยคาดว่าที่นี่จะดึงดูดสัตว์อสูรจำนวนมากที่ตามกลิ่นหอมมา แต่เขาไม่นึกคิดว่ามันจะมีจำนวนมากมายมโหฬารขนาดนี้ หลินเว่ยสะดุ้งตกใจเมื่อได้เห็น

ณ หุบเขาเบื้องหน้ามีขนาดพื้นที่ไม่ใหญ่มากมายนัก ในขณะนี้มีสัตว์อสูรจำนวนนับไม่ถ้วน เป็นหมื่น ๆ ตัว

เพ่นพ่านอยู่เต็มหุบเขา สัตว์อสูรบางตนที่มาทีหลัง เว้นแต่พวกมันจะมีพลังพิเศษสามารถจึงจะสามารถขยับเข้าใกล้หุบเขาได้เท่านั้น ไม่เช่นนั้นจะต้องหยุดรออยู่ที่ด้านนอกเท่านั้น มีนกและสัตว์อสูรหลายตัวยืนอยู่ไม่ไกลจากตำแหน่งของหลินเว่ย
มองเห็นลึกเข้าไปในหุบเขา ปรากฏสระน้ำใส สามารถมองเห็นได้ด้วยตาเปล่า ว่าภายในสระน้ำนั้น

ภายนอกแม้จะดูมืดมน แต่กลางสระนั้นมีต้นไม้เล็ก ๆ มีใบไม้เพียงยี่สิบหรือสามสิบที่อยู่บนต้นไม้ พบว่ามีผลเพียงเก้าผลเท่านั้นที่อยู่บนต้น และผลของมันเป็นสีขาวนวลทั้งหมด ไม่มีสีปนอื่นแม้แต่น้อย