หยินหลิ่ววิ่งออกไปไกลพอตัว ยิ่งคิดก็ยิ่งรู้สึกผิดปกติ เสียงเรียกเมื่อครู่นั้นคล้ายกับเสียงของเอ้อร์เส้าหน่ายนายนี่นา หยินหลิ่วตบหน้าอกเบาๆ สงบจิตสงบใจ ไม่ได้ ต้องกลับไปดูเสียหน่อย
หยินหลิ่ววิ่งตึกตักกลับมาอีกครั้ง กลับมายังตำแหน่งที่นายหญิงน้อยของตนหายไป แล้วเอ่ยเรียกด้วยเสียงเบาๆ “เอ้อร์เส้าหน่ายนาย…เอ้อร์เส้าหน่ายนาย…” ด้วยเกรงว่าจะทำให้ภูตผีในภูเขาตื่นตกใจ
หลินหลันเกือบสิ้นหวังเสียแล้ว เมื่อได้ยินเสียงหยินหลิ่วกำลังเรียกนาง นางจึงลุกขึ้นยืนทันใด แล้วตะโกนเสียงดังกลับไป “หยินหลิ่ว ข้าอยู่นี่ ข้าตกลงมาในหลุมกับดักเสียแล้ว”
ครั้งนี้หยินหลิ่วได้ยินชัดเจน ตามเสียงไปแล้วรีบตะกายหญ้าหน้าทึบออก ก่อนจะเห็นหลุมลึกในที่สุด
“เอ้อร์เส้าหน่ายนาย ท่านอยู่ข้างล่างใช่ไหม”
“ข้าอยู่ข้างล่าง ในนี้สูงมาก ข้าปีนขึ้นไปไม่ได้ เจ้ารีบไปเรียกเหวินซานให้หยิบเชือกมาช่วยข้าที” หลินหลันกล่าวด้วยเสียงตะโกน
หยินหลิ่วถึงได้เป็นอันกระจ่างแจ้ง นายหญิงน้อยของตนไม่ได้ถูกภูตผีจับไปแต่อย่างใด ทว่าตกลงไปในหลุมกับดักเสียแล้วต่างหาก
“เอ้อร์เส้าหน่ายนาย ท่านใจเย็นๆ ไว้นะเจ้าคะ ข้าน้อยจะรีบไปเรียกคนมาเดี๋ยวนี้” หยินหลิ่วลุกขึ้นแล้วมุ่งหน้าวิ่งไปยังบ้านพักทันที
หลินหลันเพิ่งนึกบางอย่างขึ้นมาได้ “เอ้! เรียกแค่เหวินซานมาก็พอแล้ว อย่าทำให้เอ้อร์เส้าเหยียตื่นตระหนก…”
น่าเสียดายที่หยินหลิ่ววิ่งไปไกลเสียแล้ว จึงไม่ได้ยิน
หลินหลันกลับสู่ความกลัดกลุ้มอีกระรอก หากให้หลี่หมิงอวินรู้เรื่องนี้เข้า เกรงว่าหลังจากนี้คงไม่ยอมให้นางขึ้นเขาอีกแล้ว
หยินหลิ่ววิ่งจนหายใจหืดหอบ หน้ามืดตาลาย คอแห้งผาก ทว่านายหญิงน้อยกำลังตกอยู่ในอันตราย นางจึงรีบวิ่งกลับไปอย่างไม่คิดชีวิต
ประจวบเหมาะกับแม่โจวให้จิ่นซิ่วออกมาดูเสียหน่อยว่านายหญิงน้อยกลับมาแล้วหรือไม่ จิ่นซิ่วยังไม่ทันพ้นประตูบ้าน ก็เห็นหยินหลิ่ววิ่งหน้าตั้งเข้ามา
“หยินหลิ่ว เจ้าเป็นอะไรไป มีเสือตามหลังเจ้ามาหรือไง แล้วเอ้อร์เส้าหน่ายนายล่ะ”
หยินหลิ่วคอแห้งจนพูดไม่ออก เอาแต่ดึงชุดของจิ่นซิ่ว “รีบ…รีบ…เอ้อร์…”
“รีบอะไรของเจ้า เอ้อร์เส้าหน่ายนายล่ะ เจ้ารีบพูดมาสิ!” จิ่นซิ่วถูกท่าทีของนางทำให้ตระหนกตกใจ จึงเอ่ยถามอย่างร้อนใจ
หยินหลิ่วสูดลมหายใจเข้าออกอยู่หลายครั้ง ถึงได้พูดออกมาจนได้ “รีบไปบอกเอ้อร์เส้าเหยียเร็วเข้า เอ้อร์เส้าหน่ายนายตกลงไปในหลุมกับดัก รีบไปช่วยนางเร็วเข้า…”
จิ่นซิ่วเผยสีหน้าตื่นตระหนกอย่างมาก “เจ้ารอเดี๋ยว ข้าจะไปเอ้อร์เส้าเหยียเดี๋ยวนี้”
จิ่นซิ่ววิ่งหน้าตั้งเข้าไปด้านใน หยินหลิ่วเอนพึงอยู่กับหินภูเขาขนาดใหญ่หนึ่งก้อน ปาดหยาดเหงื่อที่ผุดขึ้นมาท่วมใบหน้า หวังว่านายหญิงน้อยของตนจะไม่เป็นไร
หลี่หมิงอวินเห็นสีท้องฟ้าใกล้มืดค่ำเข้าไปทุกที นึกตำหนิอยู่ภายในใจ เหตุใดหลินหลันถึงยังไม่กลับมาอีกนะ หลายวันมานี้ทำอย่างกับนกออกจากกรงไปได้ แต่ละวันไม่ถึงมืดค่ำก็ไม่รู้จักกลับบ้านกลับช่อง
ป๋ายฮุ่ยเปลี่ยนเป็นน้ำชาร้อนๆ ให้นายน้อย “เอ้อร์เส้าเหยียเจ้าคะ พักผ่อนสักประเดี๋ยวเถิดเจ้าค่ะ! อ่านตำรามาทั้งวันแล้ว” นางกล่าวด้วยเสียงนุ่มนวล
หลี่หมิงอวินเผยรอยยิ้มมุมปาก พรุ่งนี้คงต้องจับหลินหลันมัดไว้ให้อยู่แต่ในบ้าน ไม่ให้นางออกไปเที่ยววิ่งเล่นไปทั่วภูเขาอีกแล้ว นางออกไปทุกวัน ส่งผลให้เขาไม่เป็นอันอ่านตำราอย่างสงบ ด้วยเกรงว่าจะเกิดเหตุไม่คาดคิดกับนาง
“เอ้อร์เส้าเหยีย เอ้อร์เส้าเหยียเจ้าคะ…” จิ่นซิ่วส่งเสียงเรียกอย่างร้อนใจ
ป๋ายฮุ่ยรีบออกไปรับหน้า “จิ่นซิ่วเจ้าโวกเวกโวยวายทำไมกันหรือ เอ้อร์เส้าเหยียกำลังอ่านตำราอยู่นะ!”
จิ่นซิ่วกล่าว “ไม่ได้การแล้ว เอ้อร์เส้าหน่ายนายตกลงไปในหลุมกับดัก หยินหลิ่วกลับมาส่งสาร ให้เอ้อร์เส้าเหยียรีบไปช่วย”
หลี่หมิงอวินเพิ่งถือถ้วยน้ำชาขึ้นมา เมื่อได้ยินประโยคนี้ หัวใจดวงโตของเขาก็จมดิ่งลง มือที่กำลังถือด้วยน้ำชาสั่นคลอน จนน้ำชาร้อนๆ กระชอกเลอะบนร่างกาย เวลานี้เขาไม่แม้แต่จะสนใจความปวดแสบปวดร้อนในมือ รีบลุกขึ้นยืนแล้วย่างฝีก้าวยาวเดินออกไป “รีบไปเรียกเหวินซานให้เตรียมเชือกมา แล้วให้เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยหน้าประตูลงเขาไปรายงานผู้ดูแลของที่นี่ ให้เขารับนำคนขึ้นมาตามหาเอ้อร์เส้าหน่ายนาย…”
ชั่วครู่ถัดมา เหวินซานและตงจึติดตามหลี่หมิงอวินออกมา โดยมีหยินหลิ่วเป็นผู้นำทางไปยังสถานที่เกิดเหตุ
หยินหลิ่วเดิมทีเรี่ยวแรงก็น้อยอยู่แล้ว เมื่อครู่เพิ่งจะวิ่งหน้าตั้งไม่คิดชีวิตมา ถือว่าถึงขีดจำกัดเรี่ยวแรงของนางแล้ว เวลานี้ยังจะให้ไปเอาแรงที่ไหนมาวิ่งไหวอีก
หลี่หมิงอวินร้อนใจดังไฟที่กำลังแผดเผา เห็นหยินหลิ่วภายใต้สภาพไร้เรี่ยวแรง อยากจะแบกเดินไปด้วยตนเองเสียเลยด้วยซ้ำ ดังนั้นเขาจึงเอ่ยสั่งการออกไป “ตงจึ เจ้าถือเชือกไว้ เหวินซาน เจ้าแบกหยินหลิ่วที พวกเราต้องเร่งมือหน่อย ท้องฟ้ากำลังจะมืดแล้ว”
เหวินซานลังเลใจอยู่ชั่วขณะ ให้เขาแบกหยินหลิ่วเนี่ยนะ?
“เร็วหน่อยสิ! เจ้ายังมัวชักช้าอะไรอยู่อีก” ภายใต้สถานการณ์ขับขัน ทำให้เขามีสีหน้าเคร่งเครียด และน้ำเสียงขึงขังเย็นยา
เหวินซานเลิกสนใจว่าจะดูไม่ดีไม่งาม รีบแบกหยินหลิ่วขึ้นหลังทันที
ฤดูใบไม้ร่วงท้องฟ้ามืดค่ำแต่หัววัน เมื่อสิบห้านาทีก่อนพระอาทิตย์ยังลอยอยู่เหนือยอดภูเขาแท้ๆ ทว่าเพียงชั่วครู่ถัดมาก็หายลับตาไป แล้วความมืดก็เคลื่อนตัวเข้ามาปกคลุมภูเขาทั้งลูกแทน สายลมบนภูเขาพัดกรรโชกโบกไสว เสียงกิ่งไม้ ใบไม้กระทบกันจนเกิดเป็นเสียงดังก้องกังวานราวกับเสียงร้องห่มร้องไห้เหมือนผีสาง หมาป่า
หลี่หมิงอวินพร่ำอธิษฐาน หวังให้หลินหลันปลอดภัย
ด้วยตอนมาหยินหลิ่วคอยเดินตามนายหญิงน้อยของนางอยู่ด้านหลัง และนายหญิงนายก็คอยพูดอธิบายนุ่นนี่นั่นให้นางฟังตลอดทาง ดังนั้นนางเลยไม่ทันได้สนใจเส้นทางว่าเดินไปอย่างไร รู้เพียงทิศทางอย่างคร่าวๆ เท่านั้น แล้วขณะนี้ท้องฟ้ามืดสนิทลง นางยิ่งสับสนไปกันใหญ่ มองไปทิศทางใดก็คล้ายคลึงกันไปหมด วกไปวนมาครั้งแล้วครั้งเล่าก็ยังหาไม่เจอที่หมาย
หลี่หมิงอวินกล่าวด้วยน้ำเสียงกระแทกอย่างไม่รู้ตัว “สรุปทิศทางใดกันแน่ เจ้าตั้งใจนึกหน่อย”
ยิ่งร้อนรนหยินหลิ่วก็ยิ่งสับสน จนจะร้องให้ออกมา
เรือนร่างของหลี่หมิงอวินเต็มไปด้วยหยาดเหงื่อแห่งความกังวล อยากจะเผ่าป่านี้ให้มันรู้แล้วรู้รอด
เหวินซานกล่าวอย่างใจเย็น “เจ้าอย่าเพิ่งร้องไห้สิ รีบนึกเร็วเข้า”
หยินหลิ่วร้องไห้จนดวงตาพร่าเลือน มองซ้าย มองขวา ตัดสินใจแน่ชัดไม่ได้จริงๆ “ฟ้ามืดแล้ว ข้าจำไม่ได้แล้ว…” นางกล่าวด้วยความขลาดกลัว
หลี่หมิงอวินกวาดสายตามองทั่วทั้งสี่ทิศ เต็มไปด้วยความมืดมิดผืนใหญ่ เขายกสองมือขึ้นป้องปาก ส่งเสียงตะโกนท่านกลางหุบเขา “หลินหลัน…หลินหลัน…”
ทว่ามีเพียงเสียงสายลมภูเขาสะท้อนกลับมาหาเขาเท่านั้น หลี่หมิงอวินรู้สึกถึงความตื่นตระหนกหวาดกลัวและท้อแท้สิ้นหวังอย่างที่ไม่เคยรู้สึกมาก่อน ไม่รู้ว่าสถานการณ์ในหลุมกับดักเป็นไปอย่างไรบ้าง ไม่รู้ว่าหลินหลันได้รับบาดเจ็บหรือไม่ ไม่รู้ว่านางจะสามารถอดทนจนกระทั่งเขาไปถึงได้หรือไม่…
ตงจึไม่เคยเห็นนายน้อยของตนสติหลุดและดูสิ้นหวังขนาดที่เกินจะควบคุมตนเองไว้ได้เช่นนี้มาก่อน “หยินหลิ่ว เจ้าก็ช่างเลอะเลือนเกินไปแล้ว เรื่องใหญ่ขนาดนี้ เหตุใดเจ้าไม่ทำสัญลักษณ์ทิ้งไว้หน่อยเล่า!”
หยินหลิ่วเองก็ไม่ทันได้คิดเช่นกัน ตอนนั้นในใจคิดแต่ว่าต้องรีบกลับไปเรียกคนมาช่วย ใยจะมีกะจิตกะใจมานึกถึงเรื่องทำสัญลักษณ์อะไรนี่อีกหรือ
เป็นเหวินซานที่ยังคงควบคุมสติอารมณ์ให้สงบนิ่งได้อยู่ เขาครุ่นคิดอยู่ชั่วครู่ก่อนจะเอ่ยเสนอแนะ “เอ้อร์เส้าเหยีย หยินหลิ่วจำได้เพียงคราวๆ ว่าเป็นบริเวณนี้ หรือไม่เราแยกย้ายกันไปตามหา ข้ากับหยินหลิ่วไปด้านนี้ ส่วนท่านกับตงจึไปด้านนั้น หากพบเจอแล้ว ก็จุดไฟเพื่อเป็นสัญญาณบ่งบอก”
หลี่หมิงอวินใคร่ครวญดู คงไม่มีวิธีใดดีไปกว่านี้แล้ว เขาจ้องเขม็งด้วยสายตาดุดันใส่หยินหลิ่ว ก่อนจะนำตงจึออกเดินไปยังทิศทางด้านซ้ายเพื่อตามหาพลางร้องตะโกนเรียกตลอดทาง
หลินหลันเฝ้ารออย่างใจจดจ่อในหลุมกับดัก แน่นอนว่า นางมองไม่เห็นอะไรในเวลานี้แล้วเช่นกัน เพราะปากหลุมกับดักถูกปกคลุมไว้ด้วยกลุ่มหญ้าหนาทึบ หากเป็นแสงพระอาทิตย์ก็ยังคงพอสาดส่องทะลุเข้ามาได้เล็กหน่อย สำหรับแสงอ่อนๆ ของพระจันทร์คงไม่ต้องพูดถึง นางจึงตกอยู่ในความมืนมนไปโดยปริยาย และไม่กล้าขยับเขยื้อน ด้วยด้านข้างของนางยังมีกับดักขนาดใหญ่! เกิดไปถูกมันเข้า นางคงได้หมดหวังจริงๆ แน่
เรื่องนี้เป็นอะไรที่เกิดคาดจริงๆ คงต้องผู้ที่ออกแบบหลุมกับดักนี้ซึ่งไร้ความปราณีเกินไปแล้ว จะเขียนป้ายเตือนไว้เสียหน่อยก็ไม่ได้ ถึงอย่างไรสัตว์ร้ายก็อ่านหนังสือไม่ออกอยู่แล้ว เขียนป้ายเตือนไว้หน่อยจะเป็นไรไปหรือ ยังดีที่นางพาหยินหลิ่วติดสอยห้อยตามมาด้วย และยังดีที่หยินหลิ่วไม่ได้ตกลงมากับนางด้วย มิเช่นนั้นคงมีเพียงสัตว์ดุร้ายพวกนั้นมาพบเจอนางเข้า และไม่แน่ว่าถึงตอนนี้นางอาจจะเกือบเน่าเฟะไปแล้วก็เป็นได้
ผ่านไปนานมากเพียงใดแล้วนะ เหตุใดหยินหลิ่วกับเหวินซานยังไม่มาอีก! หลินหลันเริ่มร้อนรนใจ เดิมทีคิดไว้ว่าเมื่อออกจากหลุมนี่ไปได้แล้วจะแอบกลับไปเงียบๆ แล้วทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น ทีนี้จะเอาไงต่อ ฟ้ามืดสนิทแล้ว หลี่หมิงอวินต้องตามหานางแล้วแน่ๆ อยากจะปิดบังก็คงทำไม่ได้เสียแล้ว
ความมืดสนิทภายใต้ในหลุมดินซึ่งก่อให้เกิดอารมณ์หวาดกลัว การที่ต้องอยู่โดยมีเพียงความมืดรายล้อม สามารถทำให้ผู้คนตื่นตระหนก กระวนกระวาย และทำอะไรไม่ถูก ทว่านอกเสียจากรอคอย หลินหลันก็ทำอะไรอื่นไม่ได้
“หลินหลัน…หลินหลัน…”
“เอ้อร์เส้าหน่ายนาย…เอ้อร์เส้าหน่ายนาย…”
หลี่หมิงอวินและตงจึสลับกันตะโกนเรียก หลังตะโกนออกไปก็จะเอี้ยวหูจดจ่อฟังอยู่สักพัก ด้วยเกรงว่าจะไม่ทันได้ยินเสียงขานรับของหลินหลัน
ตงจึอยากพูดออกไปอย่างมากว่า เกิดนายหญิงน้อยเป็นลมหมดสติไปแล้ว ไม่ได้ยินเสียงร้องเรียก เช่นนั้นไม่เป็นการเสียแรงตะโกนไปเปล่าๆ หรือ และเขาก็อยากพูดออกไปอย่างมากว่า หามาเนิ่นนานขนาดนี้แล้ว ยังหาไม่พบ ท่ามกลางเงียบมืดสนิทเช่นนี้ คงไม่มีทางหาพบหรอก! ไว้รอพรุ่งนี้ฟ้าสร่างส่งคนออกมาตามหาจะไม่ดีกว่าหรือ
ทว่าเมื่อมองเห็นสีหน้าบึ้งตึงของนายน้อยที่เย็นชาราวกับน้ำแข็งพันปี ตงจึจึงไม่กล้าเอื้อยเอ่ยใดๆ ออกไป แล้วคอยเดินตามอยู่ด้านหลังพลางส่งเสียงตะโกนเรียกนายหญิงน้อยต่อไป
อันที่จริงความนึกคิดของตงจึ หลี่หมิงอวินเองก็คำนึงถึงเช่นกัน ทว่าเขาจำเป็นต้องตามหา ต่อให้ร้องเรียงจนเส้นเสียงแตก ตามหาจนฟ้าสว่างก็ต้องตามหา เขาไม่มีทางปล่อยให้หลินหลันอยู่ภายใต้ความมืดในหลุมกับดักนั่นตามลำพังข้ามคืนเป็นแน่ ค่ำคืนที่แสนยาวนาน อาจเกิดเรื่องไม่คาดคิดได้มากมาย เขาไม่อาจยอมแพ้ไปได้ ต่อให้หมดเรี่ยวแรง เขาก็ต้องตามหาต่อไป
“ตงจึ ไป เราไปลองหาทางด้านนั้นกัน” หลี่หมิงอวินกล่าวอย่างมุ่งมั่น แล้วเดินนำไปยังอีกทิศทางหนึ่ง
ตงจึกล่าวอย่างเป็นกังวล “ประเดี๋ยวเหวินซานหาพวกเราไม่พบจะทำอย่างไรหรือขอรับ” หากไปด้านนั้น เกรงว่าจะมองไม่เห็นเมื่อเหวินซานจุดคบเพลิง
“หากเหวินซานพบเอ้อร์เส้าหน่ายนายยังไงก็ต้องคิดหาวิธีช่วยนางขึ้นมาจนได้อย่างแน่นอน” หลี่หมิงอวินเอ่ยทิ้งท้ายด้วยน้ำเสียงเย็นชา แล้วสาวเท้าฝีก้าวยาวเดินมุ่งไปข้างหน้า
ตงจึไม่รีรอ รีบตามไปติดๆ “เอ้อร์เส้าเหยีย ท่านต้องระมัดระวังฝีก้าวไว้ด้วยนะขอรับ ไม่แน่ว่าแถวนี้ยังมีหลุมกับดักอยู่อีก”
หลินหลันทั้งหนาวทั้งหิว บวกกับระยะเวลาอันยาวนานที่ส่งผลให้รู้สึกตึงเครียดขึ้นเรื่อยๆ นางเริ่มจะควบคุมสติสัมปชัญญะไม่อยู่ และเริ่มอ่อนแรงลงไปทุกที ไม่ได้ จะหลับไม่เดียว เกินหลับไปแล้ว พวกเหวินซานร้องเรียกนางนางจะไม่ทันได้ยินเข้า ใช่ ร้องเพลงหน่อยแล้วกัน การร้องเพลงสามารถทำให้รู้สึกกะปรี่กระเปร่า มีชีวิตชีวายิ่งขึ้น
หลินหลันปลุกเร้าอารมณ์ แล้วเริ่มฮัมเพลง “เส้นทางภูเขาของที่นี่มีสิบแปดโค้ง…”
“เส้าเหยีย ท่านลองฟังสิขอรับ เหมือนกับ…มีคนกำลังร้องเพลงใช่ไหมขอรับ” ตงจึหดลำคอลง มือหนึ่งข้างเอื้อมไปดึงแขนเสื้อของนายน้อย ดวงตาคู่นั้นกวาดมองไปรอบๆ อย่างหวาดกลัว เสียงที่กำลังล่องไปอยู่ในสายลมนั่น ฟังดูไร้ซึ่งเรี้ยวแรง ราวกับเสียงวิญญาณกำลังขับขานเสียงเพลง
หลี่หมิงอวินได้ยินแล้วเช่นกัน เสียงเพลงนั่นขาดๆ หายๆ ได้ยินไม่ชัดเจน ทว่าเป็นทำนองเขาคุ้นเคย หลินหลันมักร้องติดปากอยู่ประจำ เมื่อมีความสุขนางก็จะขับร้องร้องขึ้นมา ทันใดนั้นนัยน์ตาของหลี่หมิงอวินก็ค่อยๆ เปล่งประกายด้วยแสงแห่งความหวัง เดินมุ่งไปด้วยฝีก้าวฉับไวตามทิศทางเสียงนั่ง ก่อนจะออกตัววิ่งไป
“หลินหลัน…หลินหลัน…เจ้าอยู่ไหน”
หลินหลันคล้ายได้ยินเสียงคนร้องเรียกนาง เด้งตัวลุกขึ้นยืนตรงดิ่ง แล้วตั้งใจเอี้ยหูฟัง
“หลินหลัน…หลินหลัน…”
เป็นหลี่หมิงอวิน หลินหลันจึงตะโกนกลับไปสุดเสียงด้วยความดีใจ “ข้าอยู่นี่…หมิงอวิน…ข้าอยู่ตรงนี้…”
หลี่หมิงอวินตะกุยพุ่มหญ้าหนาทึบ “หลินหลัน ไม่ต้องกลัว ข้ามาช่วยเจ้าแล้ว”
ได้ยินเสียงแห่งความเป็นห่วงและร้อนรนใจของเขา หลินหลันถึงกับสกัดกลั้นน้ำตาไว้ไม่ไหว ลำบากอยู่ในนี้ตั้งเนิ่นนานไม่ยักจะร้องไห้ ทว่าเวลานี้ทันทีที่ได้ยินเสียงของเขา นางกลับอยากร้องไห้ขึ้นมาเสียดื้อๆ
“ไม่ต้องกลัว ข้าจะปล่อยเชือกลงไป เจ้าผูกมันเข้าที่เอว แล้วข้าจะดึงเจ้าขึ้นมา”
หลินหลันพยักหน้าทั้งน้ำตา ลืมไปว่าในหลุมกับดักนี้มืดมืดสนิท หลี่หมิงอวินจึงมองไม่เห็นนานแต่อย่างใด
“หลินหลัน เจ้าตอบหน่อย หลินหลัน…” เมื่อไม่ได้ยินเสียงขานรับของนาง หัวใจของหลี่หมิงอวินจึงดำดิ่งลงอีกครั้ง
“ข้าอยู่นี่ เจ้ารีบดึงข้าขึ้นไปเร็วเข้า” หลินหลันกล่าวทั้งเสียงสั่นเครือจากการร้องไห้