ทันทีที่อวิ๋นเจี่ยวพูดจบ ไม่เพียงแต่ฉีเฉิง แม้แต่หัวหน้าหมู่บ้านและเทียนซือทั้งสี่ล้วนเหงื่อท่วมตัว 

 

 

อาจเป็นเพราะสหายอวิ๋นและมารตัวนั้นสนทนากันอย่างเป็นกันเองมากเกินไป ทำให้พวกเขาลืมตระหนักถึงฐานะของปีศาจแมวตัวนั้น อีกทั้งเป็นเพราะอวิ๋นเจี่ยว จึงทำให้พวกเขาก็เชื่อคำพูดของอีกฝ่ายและปล่อยพวกเขากลับไปยังโลกมาร ทั้งสี่คนยังมีความกังวลในใจว่าปล่อยไปง่ายไปหรือไม่ แต่ตอนนี้มานึกย้อนกลับไป พบว่าพวกเขาช่างไร้เดียงสา 

 

 

เห็นได้ชัดว่าสหายอวิ๋นรู้ตัวตนที่แท้จริงของอีกฝ่าย ดังนั้นจึงตั้งใจไม่ให้เกิดการปะทะกัน หากไม่ใช่เพราะพวกเขามีความสามารถไม่พอ หากพวกเขาฆ่าปีศาจงูตัวนั้น แล้วปราบปีศาจแมวตัวนั้นต่อ… 

 

 

ทั้งสี่คนตัวสั่นขึ้นมา ไม่กล้าที่จะคิดต่อ 

 

 

“ดังนั้น…นี่ไม่ใช่แค่เรื่องของลูกแก้วพลังแล้ว” อวิ๋นเจี่ยวสูดลมหายใจเข้าลึกๆ หนึ่งทีก่อนจะพูดต่อ “แต่เกี่ยวข้องไปถึงโลกมนุษย์และโลกมารจะเกิดการปะทะกันจากเหตุนี้หรือไม่” 

 

 

ถึงแม้นางอาจจะพูดเกินจริง แต่ก็ไม่ได้เป็นการพูดให้ตื่นตระหนก หากไม่ใช่เป็นเพราะอาจารย์ปู่อยู่ด้วย ไม่ใช่เป็นเพราะเจ้าจิ้งจอกน้อยตามนางไปรักษา เรื่องนี้สุดท้ายอาจก่อให้เกิดการต่อสู้ระหว่างสองโลกได้ ไม่แน่ว่าเจ้าสำนักสวีจะบอกกับนางว่า เรื่องปีศาจงูน้ำเมื่อห้าร้อยปีก่อนจะเกิดขึ้นอีกครั้ง เมื่อถึงเวลานั้นไม่รู้ต้องลำบากศิษย์เสวียนเหมินอีกมากมายเท่าใด 

 

 

“ข้าจะถามครั้งสุดท้าย หวังว่านายน้อยฉีจะคิดให้ดี ตกลงท่านรู้หรือไม่ว่าลูกแก้วพลังและเด็กเหล่านั้นอยู่ที่ไหน” 

 

 

สีหน้าของฉีเฉิงยิ่งแย่ลง สายตาของเขาเต็มไปด้วยความลนลานและหวาดกลัว สีหน้าซีดเผือด ก่อนจะกำมือข้างลำตัวแน่น พูดพร้อมกับสีหน้าหวั่นเกรง “ท่านเทียนซือ ข้า…ไม่รู้เรื่องลูกแก้วพลังอะไรนั่นจริงๆ อีกทั้งยังเป็นของนางมารคนนั้น ข้าจะเอามาทำอะไร” 

 

 

“เฮ้ย!” ชายชราอดไม่ได้ที่จะโมโห กำลังจะอ้าปาก “ทำไมเจ้าถึง…” 

 

 

พูดยังไม่ทันจบ นายหญิงฉีที่คอยปกป้องอยู่ด้านข้างก็พูดแทรกขึ้นมาทันที นางมองไปยังคนทั้งหลายอย่างโกรธเคือง จากนั้นพูดว่า “สามีข้าบอกแล้วว่าไม่รู้ พวกท่านยังต้องการอะไรอีก หรือว่าพวกท่านหาลูกแก้วพลังนั้นไม่เจอ จึงคิดจะใส่ร้ายสามีข้า” 

 

 

“คุณหนูเซ่า ระวังคำพูด!” เฉินเทียนซือคิ้วขมวด 

 

 

“ก็มันเป็นเช่นนั้น!” อีกฝ่ายยังคงยืนบังอยู่ด้านหน้าของฉีเฉิง มองพวกเขาด้วยท่าทางราวกับกำลังจ้องมอง “ข้าว่าพวกท่านกับนางมารนั่นคือพวกเดียวกัน พวกท่านออกไปเดี๋ยวนี้!” 

 

 

“เจ้า…” 

 

 

ดูท่าทางพวกเขากำลังจะเริ่มถกเถียงกัน แต่อวิ๋นเจี่ยวกลับยังคงมองไปฉีเฉิงที่หลบอยู่ด้านหลังแล้วพูดว่า “ท่านแน่ใจว่าจะไม่พูด?” 

 

 

สีหน้าของเขายิ่งลนลานมากขึ้น “ข้าไม่รู้ลูกแก้วพลังอะไรนั่น!” 

 

 

สีหน้าของอวิ๋นเจี่ยวดำลง ถอนหายใจทีหนึ่ง “ช่างเถอะ! ข้าขี้เกียจพูดกับท่านแล้ว!” พูดด้วยเหตุผลกับคนหน้าหนาไม่ได้จริงๆ พูดจบก็หยิบเข็มเงินที่พกติดตัวออกมา เอื้อมมือไปลากนายหญิงฉีที่ราวกับไก่ชน ยืนปกป้องฉีเฉิงอยู่ด้านหน้า 

 

 

“ท่านจะทำ…” นายหญิงฉีตกใจ ไม่คิดว่านางจะลงมือกะทันหัน กำลังจะร้องออกมา 

 

 

อวิ๋นเจี่ยวกลับลงมือฝังเข็มไปบริเวณใจกลางของหน้าผากของอีกฝ่าย นายหญิงฉีขยับไม่ได้ในทันที อีกทั้งยังฝังอีกหลายเข็มตามจุดบริเวณรอบตัวของนาง จากนั้นยกมืออีกฝ่ายขึ้นคลำไปมาอย่างจริงจัง 

 

 

การกระทำของนางในครั้งนี้ทั้งรวดเร็วและเป็นธรรมชาติ ทำให้คนที่อยู่ในเหตุการณ์ยังไม่ทันได้ตอบสนอง 

 

 

สหายอวิ๋นกำลังทำอะไร พูดไม่ลงตัวก็ฝังเข็มเหรอ 

 

 

เพียงแต่ว่าฝังเข็มก็ฝังเข็ม จับมือคนอื่นทำไมกัน อีกทั้งยังจับแบบถกแขนเสื้อขึ้นจับอีก 

 

 

แตะอั๋งเหรอ ต่อหน้าสามีคนอื่นเช่นนี้ ไม่ดีมั้ง? 

 

 

(⊙_⊙) 

 

 

อวิ๋นเจี่ยวลูบคลำมือข้างหนึ่งเสร็จ ก็หันไปหาอีกข้าง 

 

 

“ท่านกำลังทำอะไร” ฉีเฉิงตั้งสติได้พูดขึ้นมา “ปล่อยนางเดี๋ยวนี้!” 

 

 

อวิ๋นเจี่ยวกลับไม่ได้สนใจเขา นางยังคงคลำไปมาอยู่บนมือเช่นนั้น สีหน้าของนางปรากฏความสงสัย จนกระทั่งเยี่ยยวนที่ยืนอยู่ด้านหลังสุดพูดขึ้น “ด้านล่างสามนิ้ว” 

 

 

อวิ๋นเจี่ยวเลื่อนมือกลับไปยังบริเวณข้อมือของอีกฝ่าย ทันใดนั้นตาเป็นประกายลุกวาว หาเจอแล้ว! นางยื่นมือไปตรงหน้าไป๋อวี้แล้วพูดว่า “ชายแก่ มีด!” 

 

 

“อ่อ ให้!” ชายแก่หยิบมีดผ่าตัดของอวิ๋นเจี่ยวออกมาจากกระเป๋าแล้วยื่นออกไป 

 

 

ฉีเฉิงราวกับนึกอะไรขึ้นได้ เขาเบิกตาโพลง สีหน้าซีดลง ลุกขึ้นพุ่งเข้ามาหาพวกเขาโดยไม่สนใจว่าตัวเองแกล้งป่วยอยู่ “ไม่…หยุด!” 

 

 

แต่กลับสายไปแล้ว มีดในมือของอวิ๋นเจี่ยวกรีดลงไปที่ข้อมือของนายหญิงฉีเป็นที่เรียบร้อย นาทีถัดมา เห็นเพียงแต่ของเหลวเหนียวหนืดไหลออกมาจากข้อมือของนาง เพียงแต่ของเหลวนั้นกลับไม่ใช่สีแดง หากแต่ว่าเป็นสีดำเข้มราวกับหมึก อีกทั้งยังเหมือนกับน้ำตาลที่แข็งตัว ค่อยๆ ผุดออกมาจากข้อมือ ในนั้นยังสามารถมองเห็นบางอย่างกำลังเคลื่อนตัว 

 

 

“หยุด! หยุดเดี๋ยวนี้!” ฉีเฉิงพุ่งเข้ามาราวกับคนบ้า เขาคิดจะดึงอวิ๋นเจี่ยวออกไป เทียนซือทั้งสี่ที่อยู่ด้านหน้าก็เห็นถึงความประหลาด รีบรั้งตัวคนเอาไว้ 

 

 

มองของเหลวสีดำเป็นก้อนที่ถูกอวิ๋นเจี่ยวบีบออกมาจากภายในตัวของนายหญิงฉีด้วยความตกตะลึง อีกทั้งยังเห็นบนตัวของนางนูนขึ้นเป็นตุ่มเล็กๆ มากมาย ราวกับมีอะไรบางอย่างกำลังปั่นป่วนอยู่ภายในตัวของนาง นายหญิงฉีร้องออกมาอย่างทรมาน สีหน้าเจ็บปวดอย่างมาก นางนั่งทรุดลงที่เก้าอี้ด้านข้างโดยตรง 

 

 

“หรือนี่จะเป็น…พิษกู่!” เฉินเทียนซืออุทานออกมาด้วยความตกตะลึง “นางถูกพิษกู่!” 

 

 

อวิ๋นเจี่ยวไม่ได้ตอบกลับ นางกดข้อมือของอีกฝ่ายอย่างตั้งใจ จนกระทั่งหนอนสีแดงเลือดตัวหนึ่งถูกขับออกมาทางรอยแผลที่ถูกกรีด ก่อนจะร่วงลงพื้น เมื่อเห็นของเหลวสีดำบริเวณบาดแผลก็เริ่มกลายเป็นสีแดงตามปกติ นางจึงทำการฝังเข็มห้ามเลือดเอาไว้และทำแผลให้อีกฝ่าย 

 

 

ส่วนหนอนที่ปีนออกมาจากมือของนายหญิงฉีนั้นหันหน้าแล้วเลื้อยไปทางฉีเฉิง 

 

 

ฉีเฉิงที่เมื่อกี้คิดจะพุ่งเข้ามานั้นสีหน้าเปลี่ยนไปทันที เขาถอยกลับไปด้วยสีหน้าหวาดกลัว แม้จะล้มลงกับพื้น แต่ก็ยังถอยหลังไปอย่างสุดชีวิต “ไม่! ออกไป…ออกไป อย่าเข้ามา…ช่วยด้วย!” 

 

 

อวิ๋นเจี่ยวขมวดคิ้วเล็กน้อย ก่อนจะหันไปพูด “ชายแก่ ยันต์ขับมาร!” 

 

 

“อ่อ…อ่อ!” ไป๋อวี้หยิบยันต์ออกมาแล้วโยนไปยังหนอนตัวนั้น เห็นเพียงแต่เปลวไฟลุกโชนขึ้น หนอนตัวนั้นก็กลายเป็นเถ้าถ่านไป 

 

 

“ไข่หนอนพวกนั้นด้วย!” อวิ๋นเจี่ยวชี้ไปยังของเหลวสีดำที่คล้ายกับน้ำตาลก้อน 

 

 

นั่นคือไข่หนอน! 

 

 

ชายแก่ตะลึง เมื่อมองดูอย่างใกล้ชิด จะสามารถมองเห็นจุดสีขาวขนาดเล็กจำนวนมากในของเหลวสีดำนั้น ส่วนด้านในของจุดสีขาวเล็กๆ นั้นมีหนอนตัวเล็กกำลังขยับตัวไปมา หนอนเหล่านั้นมีจำนวนมาก เขาเพียงแค่รู้สึกขนลุกซู่ไปทั่วร่างกาย ก่อนจะรีบโยนยันต์ขับมารอีกสองใบลงไป เผาไข่หนอนเหล่านี้จนหมดเกลี้ยง 

 

 

คนทั้งหลายที่เพิ่งได้สติกลับมาจากเหตุการณ์เมื่อสักครู่ เหลือบมองอวิ๋นเจี่ยวที่เพิ่งทำแผลเสร็จ จากนั้นก็มองไปที่นายหญิงฉีที่สลบไป 

 

 

“สหาย…อวิ๋น นี่คือ…” 

 

 

อวิ๋นเจี่ยวพลางดึงเข็มบนตัวของนายหญิงฉีออก พลางอธิบายว่า “พิษกู่รัก” 

 

 

“…”