ตอนที่ 92 งานเลี้ยงเทศกาลปีใหม่ เขาช่วยเธอแก้แค้น

เดิมพันเสน่หา

หนานกงเยี่ยไม่แม้แต่จะปรายตามองลู่หวาหนง เขาก้มหน้าลงแล้วถามเหลิ่งรั่วปิงเสียงเบา “ไปนั่งทางนู้นไหม”

 

 

“ค่ะ” เหลิ่งรั่วปิงควงแขนหนานกงเยี่ยอย่างว่าง่าย แล้วเดินไปนั่งบนโซฟาตรงหัวมุม

 

 

หลังจากนั้นไม่นาน มู่เฉิงซี ถังเฮ่าและอวี้ไป่หันต่างก็มา ที่นั่งของพวกเขาจึงดูครึกครื้นขึ้นมา คุณชายทั้งสี่ของเมืองหลงนั่งพูดคุยกัน ไม่มีใครกล้ามารบกวนพวกเขา

 

 

อวี้ไป่หันยังคงเหมือนเดิม เขานั่งพิงโซฟา ขาทั้งสองข้าวไคว้กัน มองไปที่เหลิ่งรั่วปิงและหนานกงเยี่ย “ชิๆ ดูสองคนนี้สิ ตัวติดกันตลอดเวลา ยิ่งอยู่ก็ยิ่งหวานจนเลี่ยน”

 

 

หนานกงเยี่ยเลิกคิ้วขึ้น พูดด้วยน้ำเสียงสบายๆ “ไนท์คลับเฟิ่งหวงไถของแกเป็นไงบ้าง”

 

 

อวี้ไป่หันดื่มเหล้าอย่างไม่สนใจ “จะเป็นยังไงได้ละ หยุดกิจการไปก่อน ไว้ผ่านปีใหม่ค่อยตกแต่งใหม่”

 

 

หนานกงเยี่ยหันหน้าไปพูดกับมู่เฉิงซีด้วยสีหน้าเคร่งขรึม “มีความคืบหน้าอะไรแล้วบ้าง”

 

 

มู่เฉิงซีที่สวมรองเท้าหนังสีดำยกขาข้างหนึ่งขึ้นทับขาอีกข้างหนึ่ง “ในกลุ่มคนพวกนั้น มีคนหนึ่งที่ฉันเคยจับเข้าคุกและยังมีพวกอันธพาลตกงานที่กำลังดิ้นรนเอาตัวรอดอีกด้วย ส่วนคนที่เป็นหัวหน้าของเรื่องนี้ เขาเป็นศัตรูของตระกูลเยี่ย มันถูกยิงตายตอนที่เราปะทะกัน คนที่ถูกจับทุกคนต่างก็ยอมรับสารภาพว่ามีคนสั่งให้พวกมันฆ่าพวกเราเพื่อแลกกับเงิน แต่เป้าหมายของคนที่อยู่เบื้องหลังเรื่องนี้คืออะไรฉันเองก็ยังไม่รู้ เพราะแผนการทุกอย่างหัวหน้าที่ตายไปคนนั้นเป็นคนวางแผน ดังนั้น เราไม่สามารถสืบอะไรได้อีก”

 

 

หนานกงเยี่ยวางแก้วลง นัยน์ตาของเขาเย็นเฉียบ ไม่ได้พูดอะไร ถ้าเขารู้ว่าใครเป็นคนลอบทำร้ายเขา เขาจะทำให้มันตายทั้งเป็น

 

 

“เวินอี๋ล้ะ?” เหลิ่งรั่วปิงมองไปทางมู่เฉิงซีแล้วถามขึ้น

 

 

มู่เฉิงซีชำเลืองมองเหลิ่งรั่วปิง จากนั้นก้มหน้าลง “เธอไม่เหมาะสมกับงานเลี้ยงกลางคืนแบบนี้ ฉันก็เลยให้เวินอี๋อยู่บ้าน”

 

 

“มู่เฉิงซี แต่ฉันกลับคิดว่าคุณไม่กล้าพาเธอออกมาเจอสังคมของคุณมากกว่า” เหลิ่งรั่วปิงรู้ ครอบครัวของมู่เฉิงซีไม่มีวันยอมรับผู้หญิงบ้านๆ อย่างเวินอี๋เป็นสะใภ้แน่นอน มู่เฉิงซีไม่กล้าพาเวินอี๋มาที่นี่ เพราะถ้าครอบครัวของเขารู้เข้า ชีวิตของเวินอี๋ต้องแย่แน่ๆ เหลิ่งรั่วปิงอยากรู้ มู่เฉิงซีจะรักษาความสัมพันธ์แบบนี้ไปอีกนานแค่ไหน เขาจะเล่นกับเธอจนเบื่อแล้วค่อยทิ้งใช่ไหม และเวินอี๋ก็เป็นเพียงตุ๊กตาที่ต้องถูกทิ้ง

 

 

มู่เฉินซีเม้มปาก เขาไม่ได้พูดอะไร เขายอมรับว่าเขาไม่กล้า ตั้งแต่คืนวันนั้นที่เจอกับอวี้หลานซี เวินอี๋กลายเป็นคนบอบบางมาก เห็นได้ชัดว่าเธอคาดความเชื่อมั่นในตัวเขาไปมาก ซึ่งสิ่งนี้ทำให้เขาหงุดหงิดมาก ทว่าพ่อและปู่ของเขาต่างก็เป็นทหาร พวกเขาให้ความสำคัญกับเรื่องกฎระเยียบ พวกท่านไม่ยอมให้เขาแต่งงานกับผู้หญิงได้ตามอำเภอใจ เขาต้องการเวลาเพื่อที่จะจัดการเรื่องพวกนี้

 

 

แววตาของเหลิ่งรั่วปิงคมเหมือนมีด เธอพูดเสียงเข้ม “มู่เฉิงซี ถ้าคุณไม่คิดจะเปิดเผยความสัมพันธ์ระหว่างคุณกับเวินอี๋ คุณก็ปล่อยเธอไปเถอะ ถ้าคุณต้องการผู้หญิงสักคน ผู้หญิงมากมายพร้อมถวายตัวให้คุณอยู่แล้ว แต่คุณอย่ามาทำลายชีวิตของเวินอี๋!”

 

 

มู่เฉิงซีที่หงุดหงิดอยู่แล้ว เมื่อได้ยินเหลิ่งรั่วปิงพูดแบบนี้ เขาก็ยิ่งโมโหมากกว่าเดิม “เหลิ่งรั่วปิง ผมจัดการเรื่องของตนเองได้ คุณอย่ามายุ่งกับเวินอี๋อีก!”

 

 

“ฉันไม่เคยยุ่งเรื่องของใคร แต่ถ้าเป็นเรื่องของเวินอี๋ฉันจำเป็นต้องยุ่ง!”เหลิ่งรั่วปิงอารมณ์ร้อนขึ้นมาทันที เธอคว้าแก้วบนโต๊ะเพื่อที่จะฟาดลงไป

 

 

หนานกงเยี่ยรีบจับแขนของเธอเอาไว้ “พอได้แล้วๆ อย่ามีเรื่องกันที่นี่ เวินอี๋กับเฉิงซีต่างก็รักกัน เรื่องของพวกเขาปล่อยให้พวกเขาจัดการเองเถอะ”

 

 

เหลิ่งรั่วปิงดึงแขนตนเองกลับมา เธอมองหนานกงเยี่ยด้วยแววตาเย็นชา แล้วหัวเราะในลำคอ เธอหันหลังเดินตรงไปยังห้องน้ำ แววตาของเธอกำลังบอกกับหนานกงเยี่ยว่ามู่เฉิงซีไม่ใช่ผู้ชายที่ดี ตัวเขาเองก็ไม่ใช่ผู้ชายที่ดีเหมือนกัน

 

 

หัวใจของหนานกงเยี่ยเจ็บปวด เหลิ่งรั่วปิงเอาแต่มองว่าความสัมพันธ์ระหว่างพวกเขาเป็นคนเลี้ยงดูกับนางบำเรอเท่านั้น ถึงแม้ตอนนี้พวกเขาจะสนิทสนมและเข้าใจกันมากขึ้น แต่เธอก็ไม่ได้จริงใจกับเขา ความสัมพันธ์ของพวกเขาเริ่มต้นได้ไม่ดีเท่าไหร่ แต่เขาพยายามทำทุกอย่างให้ดีขึ้น แต่ก็ไม่สามารถเดินเข้าไปในใจของเธอได้

 

 

เหลิ่งรั่วปิงระเบิดอารมณ์แล้วเดินออกไป ทำให้บรรยากาศในตอนนี้มาคุขึ้นมา ถ้าเป็นเมื่อก่อน มู่เฉิงซีคงมีหลักการล้านแปด คอยเกลี้ยกล่อมหนานกงเยี่ยให้ทิ้งเหลิ่งรั่วปิงไปซะ หรือไม่ก็ฆ่าเธอทิ้งไปเลย แต่เวลานี้เขากลับเงียบ เพราะเขารู้ว่าตนเองกับหนานกงเยี่ยตกอยู่ในสถานะการณ์เดียวกัน เวลาที่ผู้ชายคนหนึ่งรักผู้หญิงคนหนึ่ง ความโหดเหี้ยม ความเย็นชา ความเด็ดขาดต่างๆ ล้วนหายไปหมด ผู้ชายที่แข็งแกร่งแค่ไหนสุดท้ายก็เปลี่ยนเป็นอ่อนโยน

 

 

อวี้ไป่หันคลายยิ้มบางๆ “พวกแกสองคน ตอนนี้ถูกความรักครอบงำ คนหนึ่งไม่ได้หัวใจของผู้หญิง ส่วนอีกคนได้หัวใจเธอมาแล้วแต่กลัวต้องสูญเสีย บนโลกนี้ไม่ว่าจะเรื่องอะไรก็จัดการง่ายไปหมด แต่เรื่องหัวใจและความคิดของผู้หญิงเป็นเรื่องที่จัดการยากที่สุด”

 

 

มู่เฉิงซีเลิกคิ้วขึ้น เงยหน้าขึ้นมองหนานกงเยี่ย “หนานกง ฉันได้อะไรเกี่ยวกับเหลิ่งรั่วปิงมาด้วย แกอยากดูไหม มันเป็นข้อมูลเกี่ยวกับชาติกำเนิดของเธอ”

 

 

“ฉันรู้แล้ว” หนานกงเยี่ยพูดเสียงเรียบ

 

 

“แกรู้?” มู่เฉิงซีเงยหน้าขึ้นด้วยความตกใจ คิดไม่ถึงว่าหนานกงเยี่ยจะสืบรู้เรื่องของเหลิ่งรั่วปิงมานานแล้ว แต่เขายังให้เธอเป็นคนรับผิดชอบออกแบบแลนด์มาร์คเมืองหลงอีก หลังจากรู้จักกับลั่วเฮิ่งมาได้สักพัก… มู่เฉิงซีเข้าใจการกระทำของหนานกงเยี่ยแล้ว “แกรักเธอมากขนาดนั้นเลยหรอ”

 

 

ความรักคืออะไร หนานกงเยี่ยนั่งใจลอยมองดูแก้วน้ำในมือ เขาไม่รู้จริงๆ ว่าความรักคืออะไร เขารู้แค่ว่าเขาต้องการเธอ ต้องการร่างกายของเธอ ต้องการหัวใจของเธอ ไม่มีวันยอมให้เธอไปหาผู้ชายคนอื่น แค่คิดก็ไม่ได้ ถ้าหากว่าเธอไปจากเขา เขาคงต้องบ้าแน่ๆ หรือว่านี่คือสิ่งที่เขาเรียกว่าความรัก”

 

 

เหลิ่งรั่วปิงเดินเข้าไปในห้องน้ำ เธอมองกระจกดูตนเองในกระจกด้วยความโมโห ที่ตนเองไม่สามารถช่วยอะไรเวินอี๋ได้ เพราะตอนนี้เวินอี๋ตกหลุมรักผู้ชายคนนั้นไปแล้ว เธอไม่สามารถเลิกกับเขาแล้วออกไปจากชีวิตมู่เฉิงซีได้ง่ายๆ โชคดีที่ตนเองยังคอยห้ามใจเอาไว้ เหลิ่งรั่วปิงจึงพร้อมไปจากหนานกงเยี่ยทุกเมื่อ

 

 

เดินออกไปจากห้องน้ำ เธอไม่อยากกลับไปนั่งกับพวกเขาเลยสักนิด ด้วยเหตุนี้เธอจึงเดินไปอีกทาง เธออยากไปนั่งมองดูดาว

 

 

หลังจากเดินเลี้ยวไปสองครั้ง เธอก็มาถึงทางเดินที่มีไฟสลัว หูของเธอได้ยินเสียงบางอย่างชัดเจน เป็นเสียงหัวเราะของผู้หญิงและผู้ชาย รวมถึงเสียงหายใจถี่ๆ จากการจูบ

 

 

เหลิ่งรั่วปิงหัวเราะเยาะตนเอง ดูท่าเธอคงไม่สามารถนั่งมองดูพระจันทร์ได้แล้ว ขณะที่เธอหมุนตัวกำลังจะเดินออกไป บทสนทนาของชายหญิงทั้งสองทำให้เธอหยุดเดิน นี่เป็นครั้งแรกที่เธอแอบฟังคนอื่น

 

 

มุมทางเดิน ชายหนุ่มหน้าตาดีกำลังดันตัวหญิงสาววัยกลางคนติดกำแพง เขาจูบเธอด้วยความเร่าร้อน

 

 

เหลิ่งรั่วปิงเคยเห็นวัวแก่กินหญ้าอ่อนมานักต่อนัก แต่ส่วนมากล้วนเป็นฝ่ายชายที่อายุมากกว่า ทว่าเวลานี้เห็นได้ชัดว่าเป็นแม่วัวแก่กินหญ้าอ่อน อีกทั้งผู้หญิงคนนี้ยังเป็นคนที่ตนรู้จักอีกด้วย เธอคือเจี่ยนชิว ผู้หญิงที่ตนเกลียดมานานกว่าสิบปี ส่วนผู้ชายคนนั้นคือดาราชายที่ไม่ค่อยดังเท่าไหร่

 

 

“พี่เจี่ยนครับ ไม่ได้เจอกันตั้งหลายวัน พี่ยิ่งอยู่ก็ยิ่งมีเสน่ห์นะครับ”

 

 

“เด็กดี เราปากหวานขึ้นทุกวันเลยนะ” เจี่ยนชิวจับหน้าของดาราหนุ่ม จากนั้นหยิบบัตรออกมาหนึ่งใบ “นี่ พี่ให้เป็นรางวัล”

 

 

ดาราหนุ่มยื่นมือไปรับบัตรพร้อมกับจูบบัตรเบาๆ “พี่เจี่ยน พี่ดีกับผมมากเลยครับ”

 

 

“ฮ่าๆๆ…” เจี่ยนชิวหัวเราะ “ขอแค่เราดูแลปรนนิบัติพี่เป็นอย่างดี พี่ก็จะดีกับเรา”

 

 

ดาราหนุ่มเก็บบัตรเข้ากระเป๋ากางเกง พูดด้วยความกังวล “พวกเราต้องคอยเจอกันอย่างหลบๆ ซ่อนๆ ทุกครั้ง ถ้าลั่วเฮิ่งรู้เข้าเอาพวกเราจนตายแน่”

 

 

“ทำใจให้สบายเถอะ ตาแก่นั่นเอาแต่ไปเที่ยวเตร่หาผู้หญิงคนอื่น เขาไม่มายุ่งกับพี่หรอก ไม่แตะต้องตัวพี่ด้วยซ้ำไป แล้วจะห้ามไม่ให้พี่หาความสุขให้ตนเองได้ยังไง หึ!”

 

 

“ครับ ผมยินดีดูแลปรนนิบัติพี่เจี่ยน แต่ผมไม่อยากเอาชีวิตไปเสี่ยง?”

 

 

ขณะที่พูด ดาราหนุ่มสวมกอดเจี่ยนชิวอีกครั้งพร้อมกับจูบเธอ เจี่ยนชิวจูบกลับด้วยความโหยหา

 

 

แววตาของเหลิ่งรั่วปิงฉายความชั่วร้าย เธอซ่อนตัวอยู่ในความมืด หยิบโทรศัพท์ออกมาถ่ายรูปพวกเขาทั้งสองคน จากนั้นเดินออกไปเงียบๆ

 

 

เธอเคยคิดจินตนาการถึงตอนได้เจอกับเจี่ยนชิว แต่เธอคิดไม่ถึง หลังจากไม่ได้เจอกันสิบปี เธอจะได้เจอผู้หญิงคนนั้นในสถานการณ์แบบนี้ เหลิ่งรั่วปิงคิดถึงเมื่อสิบปีก่อน เจี่ยนชิวยึดอำนาจของตระกูลเจียง เธอางยาพิษจนทำให้พ่อของตนต้องตาย หลังจากนั้นก็ทำร้ายตนสารพัด เหลิ่งรั่วปิงกัดฟันกรอด แม้ว่าเธออยากจะเดินไปหักคอผู้หญิงคนนี้แทบตาย แต่เธอก็ต้องห้ามใจตนเองเอาไว้ เธอไม่มีวันปล่อยให้ผู้หญิงคนนี้ตายง่ายๆ หรอก เธอจะทำให้ผู้หญิงคนนี้ต้องตายอย่างทรมาน

 

 

เดินกลับไปตามทางเดิน เลี้ยวไปสองครั้ง เธอเห็นหนานกงเยี่ยเดินวนไปมาตรงหน้าห้องน้ำ เมื่อเขาเห็นเธอก็รีบเดินเข้ามาหาทันที “คุณไปไหนมา ทำไมนานจัง”

 

 

“ฉันแค่ไปเดินเล่นค่ะ”

 

 

หนานกงเยี่ยไม่ได้พูดอะไรอีก เขาพาเธอเดินเข้าไปในงานเลี้ยง ตอนเดินเข้าไปตรงงานเลี้ยง เหลิ่งรั่วปิงเห็นคนที่คุ้นเคย เธอคือลั่วซูเยียง

 

 

ลั่วซูเยียงยังคงแต่งตัวเยอะเหมือนเดิม เธอประโคมเครื่องประดับเต็มตัว ใบหน้าของเธอมีรอยแผลเป็นสองแผล ถึงแม้จะทาทับด้วยรองพื้นจนหนา แต่ก็ยังสามารถมองเห็นได้

 

 

เมื่อลั่วซูเยียงเห็นหนานกงเยี่ย เธอก็รีบวิ่งแจ้นเข้ามาหาเขา “คุณชายเยี่ย ไม่ได้เจอกันนานเลยนะคะ”

 

 

หนานกงเยี่ยขมวดคิ้วด้วยความรังเกียจ ขณะที่กำลังจะเดินไปนั้น ลั่วซูเยียงร้องด้วยความตกใจ “เจียง…เจียงหน่วนซิน?”

 

 

เดิมทีวันนี้เหลิ่งรั่วปิงไม่คิดจะทำอะไรผู้หญิงคนนั้น แต่ลั่วซูเยียงกลับร้องเรียกชื่อของเธอ เจียงหน่วนซิน ชื่อที่เธอเคยชอบที่สุด เป็นชื่อที่พ่อตั้งให้กับเธอ ชื่อนี้อยู่กับเธอจนถึงอายุสิบสามปี หน่วนซิน เป็นชื่อที่เพราะมาก แต่น่าเสียดายที่เธอไม่สามารถใช้ชื่อนี้ได้อีก ตอนนี้เธอคือเหลิ่งรั่วปิง ที่เย็นและแข็งเหมือนน้ำแข็ง

 

 

เหลิ่งรั่วปิงคลายยิ้ม รอยยิ้มของเธองดงามมาก “คุณลั่วคะ คุณคงจำคนผิดแล้วค่ะ ฉันไม่ได้ชื่อเจียงหน่วนซิน ฉันชื่อเหลิ่งรั่วปิงค่ะ”

 

 

เห็นได้ชัดว่าลั่วซูเยียงดูกลัวมาก เธอพูดด้วยเสียงสั่นเทา “คุณ…คุณไม่ใช่เจียงหน่วนซิน?”

 

 

เหลิ่งรั่วปิงยิ้มอีกครั้ง “ใครคือเจียงหน่วนซินคะ”

 

 

“เธอคือ…” ลั่วซูเยียงลังเลอยู่ครู่หนึ่ง เหมือจะคิดอะไรบางอย่างขึ้นมาได้ เธอจึงคลายยิ้ม “เปล่าค่ะ…ไม่มีอะไร ฉันจำคนผิด”

 

 

นัยน์ตาของเหลิ่งรั่วปิงยังคงมีรอยยิ้ม “ไม่เป็นไรค่ะ บนโลกใบนี้มีคนหน้าตาคล้ายกันมากมาย คุณลั่วจำคนผิดก็ไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร แต่อย่าจำผีผิดนะคะ”

 

 

ผี? ใบหน้าที่ทารองพื้นหนาเตอะของลั่วซูเยียงซีดขาว เมื่อสิบปีก่อน เธอเป็นแค่เด็กอายุสิบสี เธอเห็นเจียงหน่วนซินร้องทุรนทุรายในกองเพลิง ทำให้เธอรู้สึกหวาดกลัว ตลอดหลายปีที่ผ่านมานี้ เธอเคยฝันร้าย ฝันเห็นเจียงหน่วนซินที่เสียโฉมเพราะโดนไฟไหม้ เหลิ่งรั่วปิงมาทวงคืนชีวิต สิ่งที่เธอกลัวที่จะได้ยินที่สุดก็คือคำว่า “ผี”

 

 

เหลิ่งรั่วปิงพอใจกับปฏิกิริยาของลั่วซูเยียง มุมปากของเธอกระตุกขึ้นเล็กน้อย คลายยิ้มบางๆ “คุณลั่วคะ มาด้วยกันสิคะ?”

 

 

สีหน้าที่เต็มไปด้วยความหวาดกลัวของลั่วซูเยียง ดูดีขึ้นทันที การที่เหลิ่งรั่วปิงเชิญเธอแบบนี้ เธอสามารถอยู่ใกล้หนานกงเยี่ยได้ แล้วเธอจะไม่ดีใจได้ยังไง ถึงแม้หน้าของเธอจะมีรอยแผลเป็นสองแผล แต่เธอคิดไปเองว่าแต่งหน้าแล้วตนก็ยังสวยเหมือนเดิม เธอยังคงคาดหวังว่าหนานกงเยี่ยจะมองมาที่เธอ

 

 

“คุณชายเยี่ย ฉันไปกับพวกคุณได้จริงๆ หรอคะ” ลู่ซูเยียงมองดูหนานกงเยี่ยตาปริบๆ

 

 

เดิมทีหนานกงเยี่ยเกลียดและรังเกียจลั่วซูเยียงมาก แต่เขารู้ดีว่าการที่เหลิ่งรั่วปิงเชิญลั่วซูเยียงเข้างานด้วยกัน แสดงว่าเธออยากจะจัดการลั่วซูเยียง เขาจึงให้ความร่วมมือเป็นอย่างดี เขาหันไปมองเหลิ่งรั่วปิง แล้วเดินไปก่อนก้าวหนึ่ง

 

 

ความหมายของเขาคืออนุญาตในคำเชิญของเหลิ่งรั่วปิง ทำให้คนอื่นรู้สึกว่าเขาตามใจเหลิ่งรั่วปิงมาก ถึงแม้การที่ลั่วซูเยียงอยู่ด้วยแบบนี้ตนจะไม่ชอบ แต่เพราะเหลิ่งรั่วปิงชอบ เขาจึงฝืนใจทำ