ภาคที่ 1 การรุกกลับของศิษย์พี่ บทที่ 48 ข้อดีที่สุดก็คือไม่โอ้อวด

ตำนานศิษย์พี่เจ้าปฐพี

กงจักรเพลิงสุริยะและกระบี่วิญญาณมังกรมรกต ต่างก็เป็นอาวุธที่โดดเด่นที่สุดในบรรดาอาวุธวิญญาณระดับล่าง

หากไม่ได้มีฐานะทางตระกูลเช่นเดียวกับเซียวเซิงหรือเยี่ยนจ้าวเกอ จอมยุทธ์ระดับปรมาจารย์น้อยคนนักที่จะสามารถมีอาวุธวิญญาณระดับล่างเอาไว้ครอบครอง

ส่วนอาวุธวิญญาณระดับกลาง แน่นอนว่าบิดาของเยี่ยนจ้าวเกอและท่านตาของเซียวเซิงล้วนมีเหลือเฟือ

ทว่าด้วยวรยุทธ์ของเยี่ยนจ้าวเกอและเซียวเซิงในขณะนี้ ลำพังแค่ขับเคลื่อนอาวุธวิญญาณระดับล่างก็ถึงขีดจำกัดแล้ว อีกทั้งตอนนี้ก็สามารถใช้พลังของมันได้อย่างจำกัด

ส่วนอาวุธเช่นมงกุฎจันทรา อันเป็นอาวุธศักดิ์สิทธิ์ที่จอมยุทธ์ระดับปรมาจารย์สามารถขับเคลื่อนได้นั้น ปัจจุบันในโลกแปดพิภพมีอยู่เพียงแค่ชิ้นเดียว

อย่าว่าแต่อาวุธศักดิ์สิทธิ์อื่นเลย แค่อาวุธวิญญาณระดับสูงหรืออาวุธวิญญาณระดับกลาง หากจอมยุทธ์ระดับปรมาจารย์เป็นผู้ขับเคลื่อน ก็ไม่มีแม้แต่ปฏิกิริยาตอบรับ

เพราะจิตวิญญาณของอาวุธวิญญาณแข็งแกร่งกว่าอาวุธวิเศษมากนัก

ฉะนั้นเฟิงอวิ๋นเซิงจึงมองดูเยี่ยนจ้าวเกอเก็บกงจักรเพลิงสุริยะด้วยความสนอกสนใจเป็นอย่างมาก

อาวุธมีวิญญาณความคิดที่เป็นอิสระ หากผู้ใช้ไม่ใช่มหาปรมาจารย์ก็จะไม่มีทางเปลี่ยนเจ้าของผู้ใช้งานได้ง่ายๆ

กงจักรเพลิงสุริยะเพียงแค่ถูกกระบี่วิญญาณมังกรมรกตตรึงเอาไว้ชั่วคราวเท่านั้น ไม่ใช่เพราะยอมก้มหัวให้กับเยี่ยนจ้าวเกอ

หากไม่ใช่เพราะกระบี่วิญญาณมังกรมรกตมังกรตรึงเอาไว้ กงจักรเพลิงสุริยะก็คงบินตามเซียวเซิงผู้เป็นเจ้าของไปนานแล้ว

แน่นอนว่าตอนนี้เยี่ยนจ้าวเกอมีโอกาสที่จะสะกดกงจักรเพลิงสุริยะเอาไว้ชั่วคราว แต่นั่นเท่ากับว่ากระบี่วิญญาณมังกรมรกตก็ต้องกลายเป็นแม่กุญแจที่ใช้ตรึงกงจักรเพลิงสุริยะด้วย

อาวุธวิญญาณทั้งสองชิ้นสกัดรั้งซึ่งกันและกัน ก่อนที่จะแก้ปัญหานี้ได้ อย่าว่าแต่กงจักรเพลิงสุริยะเลย กระทั่งกระบี่วิญญาณมังกรมรกต เยี่ยนจ้าวเกอก็ไม่สามารถใช้ได้

เพราะนั่นอาจทำให้พลังทั่วร่างกายของเขาลดทอนลงมากทีเดียว

สำหรับจอมยุทธ์ระดับปรมาจารย์ อาวุธวิญญาณระดับล่างมีความหมายเหมือนกับอาวุธวิเศษสำหรับจอมยุทธ์ระดับหลอมกาย

ยึดได้ก็ต้องยึดเป็นธรรมดา แต่หากครั้งหน้าต้องเผชิญหน้ากับศัตรูอีก ก็คงต้องรู้สึกอึดอัดอยู่บ้างอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

“เอ๊ะ?” เฟิงอวิ๋นเซิงมึนงงไปเล็กน้อย ทันทีที่เห็นเยี่ยนจ้าวเกอมาอยู่เบื้องหน้ากงจักรเพลิงสุริยะและกระบี่วิญญาณมังกรมรกต จากนั้นก็ยื่นมือทั้งสองออกไปจับอาวุธวิญญาณทั้งสองชิ้นไว้

กงจักรเพลิงสุริยะสั่นสะเทือนอย่างรุนแรง จนระเบิดลมปราณอันบ้าคลั่งออกมา วินาทีนั้นเหมือนกับมหาปรมาจารย์ที่หลับใหลอยู่ถูกปลุกให้ตื่นขึ้น

กระบี่วิญญาณมังกรมรกตก็เป็นเช่นเดียวกัน อาวุธวิญญาณทั้งสองชิ้นมองดูแล้วเหมือนกับจะต่อสู้กัน ซึ่งเป็นการต่อสู้ที่บรรดาผู้ที่ชมอยู่ไม่สามารถเข้าแทรกแซงได้

เยี่ยนจ้าวเกอใช้มือทั้งสองข้างแตะมันเบาๆ ก่อนจะใช้นิ้วทั้งสิบประคองเอาไว้ แล้วเคาะบนอาวุธวิญญาณทั้งสองชิ้นอย่างต่อเนื่องเป็นจังหวะที่แปลกประหลาด

กระบี่วิญญาณมังกรมรกตและกงจักรเพลิงสุริยะพลันสั่นไหวขึ้นเบาๆ อีกครั้ง

ความประหลาดฉายชัดขึ้นในดวงตาทั้งสองของเยี่ยนจ้าวเกอ ภาพที่อยู่ตรงหน้าเปลี่ยนแปลงไป ราวกับเข้าไปในโลกอีกมิติที่ต่างกันอย่างสิ้นเชิง

โลกมิตินั้นมีพระอาทิตย์ดวงโตลอยอยู่กลางฟ้า และมีมังกรสีเขียวมรกตตัวหนึ่งกำลังบินวนไม่หยุด

อาวุธวิญญาณทั้งสองชิ้นค่อยๆ สงบลงพร้อมกันอย่างคาดไม่ถึง จากการเคาะนิ้วทั้งสิบไม่หยุดของเยี่ยนจ้าวเกอ

ไม่ใช่เพราะการสกัดรั้งระหว่างอาวุธวิญญาณหายไป ทว่าเป็นการสงบและยุติลงชั่วคราวพร้อมกันอย่างแท้จริง

เฟิงอวิ๋นเซิงอ้าปากค้างเล็กน้อย ‘ทำให้กงจักรเพลิงสุริยะสงบลงได้รวดเร็วเช่นนี้ เขาทำได้อย่างไรกัน?’

‘ไม่เคยได้ยินมาก่อนเลย!’

เมื่อหลุดออกจากภวังค์ เฟิงอวิ๋นเซิงก็เอ่ยปากชมไม่หยุด “เมื่อก่อนแม้จะเคยได้ยินชื่อเสียงเรียงนามของท่านมาอยู่บ้าง แต่วันนี้ได้เห็นเอง ถึงได้รู้ว่าคำร่ำลือไม่ได้เยินยอเกินจริงเลย แต่กลับปกปิดความจริงมากเกินไปต่างหาก”

“สิบปากว่าไม่เท่าตาเห็น คำพูดนี้ ข้าได้ยินมาตั้งแต่เด็ก แต่เพิ่งได้รู้ซึ้งก็วันนี้”

เยี่ยนจ้าวเกอเก็บอาวุธวิญญาณทั้งสองชิ้นลง แล้วดีดนิ้วครั้งหนึ่ง “ข้าผู้นี้มีข้อดีมากมาย แต่ข้อดีที่สุดก็คือไม่โอ้อวดนี่แหละ”

“ฉะนั้นต่อไปเจ้าจะค่อยๆ พบว่า ความคิดของเจ้าในวันนี้ก็ยังไม่ใช่ทั้งหมด”

เฟิงอวิ๋นเซิงผงกศีรษะพลางหัวเราะ “ดี ข้าจะรอดู”

นางกล่าวถามว่า “จริงสิ ตอนที่เห็นท่านบรรลุระดับปรมาจารย์ขั้นจิตราชั้นนอกระยะกลาง เหตุใดพวกเขาถึงได้ดูตกใจกันนัก? การบรรลุภายใต้ความกดดันจากการต่อสู้ แม้จะพบได้น้อย แต่ก็ใช่ว่าจะไม่มีนี่นา”

“เท่าที่ข้ารู้ ก็มีบางคนอาศัยความกดดันของวินาทีแห่งความเป็นความตายเพื่อทลายด่านขวางกั้นเหมือนกัน”

จอมยุทธ์ชุดดำคนหนึ่งที่อยู่ข้างเยี่ยนจ้าวเกอเปิดปากพูดขึ้นว่า “คุณชายเพิ่งจะบรรลุจากระดับปรมาจารย์ขั้นจิตราชั้นใน สู่ขั้นจิตราชั้นนอกระยะแรกก่อนหน้านี้ยังไม่ถึงเดือนเลย”

พวกเขาคอยตามติดเยี่ยนจ้าวเกออยู่ตลอดเวลา เมื่อครู่นี้เห็นชายหนุ่มบรรลุระดับขั้นอีกก็ยังตะลึงตาค้างเช่นกัน เพราะเขาแข็งแกร่งกว่าคนของสำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์มากจนไม่อยากเชื่อ

ครั้งนี้ทำเอาเฟิงอวิ๋นเซิงฝืนเฉยเมยต่อไปไม่ได้แล้ว นางมองเยี่ยนจ้าวเกอด้วยใบหน้าที่เหมือนกับเห็นผี

หลังจากนั้นครู่ใหญ่ นางจึงหลุดปากออกมาว่า

“ท่านยังเป็นคนใช่หรือไม่?!”

เยี่ยนจ้าวเกอยิ้มแต่ไม่ได้กล่าวอะไรออกไป

เฟิงอวิ๋นเซิงขนลุกไปทั่วทั้งตัว ครู่ใหญ่ถึงได้สติกลับมา “ผู้คนต่างบอกว่าแม้ท่านจะเป็นอัจฉริยะ แต่ก็ยังด้อยกว่าบิดาของท่านในสมัยนั้นมาก ทว่าเมื่อดูจากตอนนี้แล้ว อย่างน้อยความเร็วในการเพิ่มขึ้นของระดับวรยุทธ์ ท่านแกร่งกว่าบิดาของท่านอีกนะ!”

ก่อนวิกฤติการณ์ครั้งใหญ่ ข้อมูลถูกทำลายจนสิ้น ไม่มีหลักฐานใดให้ตรวจสอบ

ทว่าหลังวิกฤติการณ์ครั้งใหญ่ มีข้อมูลมากมายสามารถตรวจสอบได้ เยี่ยนตี๋ บิดาของเยี่ยนจ้าวเกอ ศิษย์ปิดสำนัก[1]ของเจ้าสำนักเขากว่างเฉิงรุ่นปัจจุบัน เป็นปรมาจารย์ที่อายุน้อยที่สุดในประวัติศาสตร์ รวมทั้งเป็นมหาปรมาจารย์ที่อายุน้อยที่สุดด้วย

ขณะเดียวกันก็ยังมีความเป็นไปได้สูงที่จะกลายเป็นจอมยุทธ์ศักดิ์สิทธิ์ที่อายุน้อยที่สุดอีกต่างหาก!

เยี่ยนจ้าวเกอยิ้ม เมื่อเทียบกันกับการบรรลุจากขั้นจิตราชั้นในระยะท้าย สู่ขั้นจิตราชั้นนอกระยะต้น เขารู้สึกว่าการบรรลุจากขั้นจิตราชั้นนอกระยะต้น สู่ขั้นจิตราชั้นนอกระยะกลางนั้นง่ายกว่ามาก

เพราะในกระบวนการนี้มีบางส่วนที่เป็นเรื่องของความบังเอิญและโอกาสที่เหมาะเจาะ ในขณะที่บรรลุขั้นจิตราชั้นนอก เขาชำระล้างไขกระดูกครั้งที่สองสำเร็จในเวลาอันรวดเร็ว อีกทั้งยังได้ลูกกลอนวิญญาณทมิฬช่วยหลอมรวมปราณจิตรา และยังได้จิตมังกรน้ำแข็งช่วยส่งเสริมพลังให้มากพอที่จะใช้ฝ่าด่านกั้น รวมถึงการผสานกันของวิชาพิเศษต่างๆ ที่ตนได้ฝึกฝน

“ว่ากันว่าพวกข้าสองพ่อลูกเป็นเหมือนพ่อพยัคฆ์ไม่มีลูกสุนัข อย่างไรข้าก็ต้องพยายามมากเข้าหน่อย ไม่ขอบอกว่าจะเหนือกว่าพ่อข้าได้ แต่อย่างน้อยก็ไม่ควรตามหลังเขาจนมากเกินไป ถูกหรือไม่”

เยี่ยนจ้าวเกอยิ้มพลางกล่าวว่า “ยิ่งไปกว่านั้น การฝึกวรยุทธ์ของเหล่าจอมยุทธ์ ในด่านขวางกั้นเดียวกัน บางคนก้าวข้ามไปอย่างง่ายดายราวกับอยู่บนพื้นราบ แต่บางคนใช้เวลานานนับแรมปีก็ไม่สามารถข้ามผ่านไปได้เสียที อีกทั้งยังไม่มีความคืบหน้าเลยแม้แต่นิดเดียว”

“ถึงกระนั้นเมื่อทุกคนข้ามผ่านด้านขวางกั้นนี้ไป ด่านยากบางด่านในภายหลัง ก็อาจจะกลับตาลปัตร ด้วยเหตุนี้คนที่เดิมทีเคยตามหลัง ก็อาจแซงหน้าคนที่เคยนำอยู่ก่อนหน้านี้ก็เป็นได้”

“นี่ก็เป็นเรื่องที่พบเห็นได้บ่อยครั้ง”

เฟิงอวิ๋นเซิงชายตามองเยี่ยนจ้าวเกออย่างไม่สบอารมณ์นัก “แต่ก็ไม่เคยพบเห็นใครที่เก่งเกินจริงเช่นท่าน บรรลุจากขั้นจิตราชั้นนอกระยะต้น สู่ขั้นจิตราชั้นนอกระยะกลางภายในหนึ่งเดือน ยังไม่มีใครในประวัติศาสตร์ทำได้ ท่านเข้าใจใช่หรือไม่?”

เยี่ยนจ้าวเกอยักคิ้วครั้งหนึ่ง แล้วยิ้มพลางกล่าวว่า “เพราะเช่นนั้นข้าถึงได้กล่าวมาตลอดอย่างไรเล่า ว่าข้าคนนี้มีข้อดีมากมาย แต่ข้อดีที่สุดก็คือการไม่ทำตัวโอ้อวดผู้อื่น”

พูดๆ อยู่เยี่ยนจ้าวเกอก็เปลี่ยนเรื่อง “จะว่าไป ที่ข้ากับเจ้าได้พบกัน เกรงว่าจะไม่ใช่เรื่องบังเอิญนะ”

เฟิงอวิ๋นเซิงสะดุ้ง

ชายหนุ่มมองนาง แล้วพูดอย่างช้าๆ ว่า “เดิมที่ข้ากำลังตามหาเมิ่งหว่านอยู่”

“อย่ามองข้าด้วยสายตาเช่นนั้น นางเป็นสตรีจันทราของสำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์ ข้าเป็นศิษย์เขากว่างเฉิง การคิดหาวิธีทำให้นางไม่สามารถชนะการทดสอบจันทรากายก็เป็นเรื่องปกติ”

เขาลูบคางของตนเอง “ตอนนี้มาคิดๆ ดูแล้ว คนของข้าสะกดรอยตามนาง นางเองก็รู้ตัว คอยหลอกล่อตลอดทางให้ข้ามาถึงที่นี่”

“ข้าก็ว่า เมิ่งหว่านที่ไม่ยอมก้าวออกจากประตูสำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์ง่ายๆ เหตุใดครั้งนี้ถึงได้มีท่าทีผิดแผกไป ไม่มีเหตุผลจริงๆ ด้วยสินะ”

แววตาของเฟิงอวิ๋นเซิงโอนอ่อนลงมาก “เสี่ยวหว่านทำเพื่อช่วยข้า ท่านอาจารย์จากไปแล้ว นางรู้ว่าเซียวเซิงออกจากสำนักมาด้วยตนเองเพื่อมาตามแก้แค้นข้า ดังนั้นจึงออกมาหวังว่าจะพอเปลี่ยนแปลงอะไรได้บ้าง”

“ที่นางหลอกล่อให้ท่านมา คิดว่าคงหวังให้เขากว่างเฉิงรับข้าไว้ และช่วยคุ้มครองข้าได้ วิธีนี้นางเองก็ไม่ต้องออกหน้า และไม่ต้องตกอยู่ในสภาวะกลืนไม่เข้าคายไม่ออก”

เยี่ยนจ้าวเกอจึงถามว่า “พวกเจ้ามีอาจารย์คนเดียวกันหรือ?”

เฟิงอวิ๋นเซิงส่ายหน้า “ไม่ใช่ แต่ตอนนั้นเราเป็นสตรีจันทราเหมือนกัน จำเป็นต้องรับการสั่งสอนและการฝึกฝนมากมายเช่นเดียวกัน จึงได้อยู่ด้วยกันบ่อยๆ”

………………..

[1] ศิษย์ปิดสำนัก คือ ศิษย์คนสุดท้ายของอาจารย์คนหนึ่ง