ภาคที่ 1 การรุกกลับของศิษย์พี่ บทที่ 49 หงส์เพลิงที่รอคอยนิพพาน

ตำนานศิษย์พี่เจ้าปฐพี

เยี่ยนจ้าวเกอมองเฟิงอวิ๋นเซิงแล้วยิ้มเล็กน้อย “เจ้าเคยคิดหรือไม่ ว่าหากไม่มีนางอยู่ แม้ว่าเจ้าในตอนนั้นจะสูญเสียจันทรากายไปแล้ว แต่สำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์ก็อาจจะไม่ละทิ้งเจ้าง่ายๆ และยิ่งต้องพยายามมากยิ่งขึ้น เพื่อรักษาฟื้นฟูเจ้าให้กลับมาเป็นเช่นเดิม”

เฟิงอวิ๋นเซิงยิ้ม “ไม่มีความจำเป็นต้องคิดหรอก นั่นเป็นเรื่องที่รู้ๆ กันอยู่แล้ว แต่มันก็ไม่ได้เกี่ยวข้องกับเสี่ยวหว่าน”

ชายหนุ่มถามอย่างสนอกสนใจ “อายุอานามเจ้ามากกว่าเมิ่งหว่าน น่าจะเข้าสำนักก่อนนาง และมีวรยุทธ์สูงกว่าใช่หรือไม่?”

“เจ้าเป็นตัวเลือกแรกของสำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์ ในการเข้าร่วมทดสอบจันทรากายในตอนนั้นใช่หรือไม่?”

เฟิงอวิ๋นเซิงพยักหน้าอย่างเปิดเผย “ไม่ผิดหรอก ก่อนที่ข้าจะออกจากสำนักก็อยู่ในระดับปรมาจารย์แล้ว เสี่ยวหว่านตอนนั้นยังอยู่แค่ขั้นประจักษ์กายา”

“นางน่าจะเพิ่งบรรลุระดับปรมาจารย์อย่างฉิวเฉียดในคืนก่อนการทดสอบจันทรากายครั้งแรก”

นางมองเยี่ยนจ้าวเกอแวบหนึ่ง ก่อนจะกล่าวอย่างไม่ใยดีนักว่า “ข้ารู้ว่าท่านกำลังคิดอะไรอยู่ แต่ข้าหลงเข้าไปในพื้นที่อันตรายอย่างอเวจี ทำให้จันทรากายสูญสลายไป นั่นก็ไม่เกี่ยวอันใดกับเสี่ยวหว่าน”

เยี่ยนจ้าวเกอพลันหัวเราะร่วน “นางกับเจ้าอาจจะมีความผูกพันลึกซึ้ง แต่ครั้งนี้ที่นางหลอกล่อข้าให้มาช่วยเจ้า ก็อาจจะเป็นไปได้ว่ามาจากความรู้สึกผิดและต้องการชดเชยกระมัง?”

“หรืออาจจะเป็นเพราะในฐานะที่เป็นผู้ได้รับผลประโยชน์ จึงแสดงความเมตตาผ่านการช่วยเหลือเจ้า เพื่อทำให้ตนเองรู้สึกพึงพอใจก็เป็นได้”

เฟิงอวิ๋นเซิงยิ้มอีกครั้ง “ข้าไม่ถนัดคิดร้ายกับผู้อื่น แต่ข้าก็ไม่ปฏิเสธ มันอาจจะมีความเป็นไปได้อย่างที่ท่านกล่าวมา”

“เพียงแต่ข้าเชื่อในตัวเสี่ยวหว่าน” ประโยคสุดท้ายนี้ เฟิงอวิ๋นเซิงมีสีหน้าสงบนิ่ง ทว่าน้ำเสียงเด็ดขาด

เยี่ยนจ้าวเกอผุดยิ้ม ก่อนจะเปลี่ยนเรื่องสนทนา “แต่นางก็มั่นใจว่าเจ้าไม่มีทางที่จะฟื้นคืนจันทรากายด้วยหรือ?”

“นางแน่ใจหรือว่าตนเองไม่ได้มอบสตรีจันทราคนหนึ่งให้กับเขากว่างเฉิง แล้วภายภาคหน้าจะมาแย่งชิงมงกุฎจันทรากับนาง?”

“นี่เห็นได้ชัดว่าเป็นการสร้างศัตรู แต่นางกลับทำลงไปได้”

เฟิงอวิ๋นเซิงกล่าวอย่างสงบนิ่งว่า “เพราะนางมีความมั่นใจ”

“ไม่ว่าดินแดนศักดิ์สิทธิ์อื่นจะมีสตรีจันทราเพิ่มขึ้นมากน้อยแค่ไหนก็ตาม”

“เสี่ยวหว่านก็มีความมั่นใจที่จะชนะเอามงกุฎจันทรากลับคืนให้สำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์ได้”

“ฉะนั้นแม้ข้าจะฟื้นพลังคืนมาได้ นางก็มีแต่จะดีใจกับข้าเท่านั้น เพราะว่าข้าจะได้รับความสำคัญจากเขากว่างเฉิงมากยิ่งขึ้น”

“แต่มงกุฎจันทราถือว่าเป็นของนาง เป็นของสำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์”

“นี่ก็คือความมั่นใจของนาง”

เยี่ยนจ้าวเกอได้ยินดังนั้น ในสมองพลันมีภาพของหญิงสาวหน้าตาสะสวยคนหนึ่ง นางมีรูปร่างบอบบาง พร้อมด้วยดวงตาสะกิดใจคนให้เกิดความเมตตาเอ็นดูคู่หนึ่ง

ท้ายที่สุดผู้ที่ได้รับชัยชนะในการทดสอบจันทรากายในครั้งแรก และเป็นเจ้าของมงกุฎจันทราคนแรกอย่างเป็นทางการหลังจากที่ปรากฏขึ้นครั้งแรกบนโลก ก็คือเมิ่งหว่านแห่งสำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์!

จากการคาดเดาของเฟิงอวิ๋นเซิง นางในตอนนั้นเพิ่งจะย่างเข้าสู่ระดับปรมาจารย์หมาดๆ

ดวงตาทั้งสองของเฟิงอวิ๋นเซิงกำลังเหม่อลอย คล้ายกับหวนนึกถึงความทรงจำ “อย่ามองว่าเด็กคนนั้นรูปลักษณ์ภายนอกดูบอบบางอ่อนแอ แท้จริงนางทั้งฉลาดและเข้มแข็งมาก”

“ไม่ว่าจะเป็นพลังจันทราในร่างกาย หรือจะเป็นพรสวรรค์ด้านวรยุทธ์ของนาง ล้วนแล้วแต่เป็นยอดเยี่ยมทั้งสิ้น”

“ตอนนั้นเป็นเพราะข้าเข้าสำนักก่อน ฝึกฝนวรยุทธ์มานานกว่านาง จึงได้เป็นตัวเลือกแรก”

“แต่หากเริ่มต้นจากจุดเดียว ออกเดินทางพร้อมกัน ข้าก็ไม่มีความมั่นใจว่าจะเหนือกว่านางได้”

ครู่หนึ่งเยี่ยนจ้าวเกอก็หัวเราะออกมา “คำกล่าวนี้ก็คือ เมิ่งหว่านก็ไม่มีความความมั่นใจที่จะเอาชนะเจ้าได้ไม่ใช่หรือ?”

เฟิงอวิ๋นเซิงเลิกคิ้ว “ข้าไม่หลงระเริงอวดเบ่งตัวเอง แต่ก็ไม่ดูถูกตัวเองหรอกนะ”

เยี่ยนจ้าวเกอพูดเรียบๆ ว่า “น่าเสียดายที่ครั้งที่สองเมิ่งหว่านพลาดท่าไป”

การทดสอบจันทรากายครั้งที่สอง เมิ่งหว่านวางหมากพลาดไปตัวหนึ่ง ทำให้มงกุฎจันทราจึงตกไปอยู่ในมือของศิษย์เมืองทะเลมรกตแห่งวารีพิภพ

สีหน้าเฟิงอวิ๋นเซิงสงบนิ่งไม่เปลี่ยนแปลง “เรื่องนั้นข้าได้ยินมาแล้วเช่นกัน นั่นเป็นเพราะว่าก่อนการทดสอบไม่นาน เสี่ยวหว่านเพิ่งจะฝืนขับเคลื่อนมงกุฎจันทรา เข้าปะทะกับราชาราชาปีศาจอัคคีตนหนึ่งที่ทะเลตะวันออก”

“การทดสอบครั้งที่สองนี้ นางจึงออกสู้ทั้งที่ยังบาดเจ็บ”

“รอจนถึงตอนที่มีการทดสอบแห่งจันทราครั้งที่สาม นางจะทำให้คนทั่วหล้าได้รู้ ว่าขอเพียงร่างกายนางไม่มีปัญหา มงกุฎจันทราก็ไม่มีทางอยู่ในมือผู้อื่นเป็นแน่”

“หงส์เพลิงที่แตกดับไปแล้วจะโชติช่วงอีกครั้ง และจะยิ่งเจิดจ้ามากกว่าเดิม”

น้ำเสียงของเฟิงอวิ๋นเซิงราบเรียบ เหมือนกับกำลังเล่าเรื่องที่แสนจะธรรมดาเรื่องหนึ่ง

เยี่ยนจ้าวเกอมองนาง มุมปากค่อยๆ เผยให้เห็นรอยยิ้มจาง “คำพูดนี้เหมาะจะใช้กับเมิ่งหว่าน แล้วจะไม่เหมาะที่ใช้กับเจ้าด้วยได้อย่างไรกัน?”

เฟิงอวิ๋นเซิงตอบอย่างตรงไปตรงมา “แม้ว่าศิษย์พี่เยี่ยนจะมีวิธีที่จะทำให้จันทรากายของข้าฟื้นคืนมาจริงๆ แต่ตอนนี้ข้าล่าช้ากว่าเสี่ยวหวานไม่น้อย”

“ข้าไม่กล้าพูดหรอกว่าจะตามเสี่ยวหว่านได้ทัน แต่โอกาสที่ล้ำค่าเช่นนี้ ข้าจะคว้าเอาไว้อย่างสุดกำลังอย่างแน่นอน”

“เขากว่างเฉิงรับข้าไว้ในตอนที่ข้ากำลังตกระกำลำบากที่สุด ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลอะไร บุญคุณเล็กน้อยดุจน้ำหนึ่งหยด ต้องตอบแทนดั่งสายน้ำ”

“ไม่ขอพูดไร้สาระ จะขอสู้จนตัวตายเท่านั้น”

ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลอะไรก็ตาม ในตอนที่นางเผชิญกับการคุกคามจากสำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์ เยี่ยนจ้าวเกอก็เล่นงานเซียวเซิงและเฉาหยวนหลงจนสิ้นสภาพ ซึ่งแสดงเจตนาออกมาอย่างชัดเจนโดยไม่ต้องสงสัย

ส่วนเจตนาส่วนตัวของเยี่ยนจ้าวเกอจะเป็นตัวแทนเขากว่างเฉิงด้วยได้หรือไม่ เฟิงอวิ๋นเซิงไม่จำเป็นต้องคิดมากในตอนนี้ แค่เชื่อฟังตามที่เขาสั่งก็พอ

เยี่ยนจ้าวเกอนิสัยดีไม่น้อย สำหรับจันทรากายของเฟิงอวิ๋นเซิงนั้น เขาพอจะวางแผนไว้บ้างแล้ว

แม้ว่าจะสร้างความไม่พอใจให้กับสำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์ขึ้นอีกขั้น ทว่าสำหรับเขากว่างเฉิงแล้ว สตรีจันทราหนึ่งคนเป็นผลพลอยได้ที่ยิ่งใหญ่อย่างไม่ต้องสงสัย

ขอเพียงงานชิ้นนี้สำเร็จ ก็จะเป็นประโยชน์กับทั้งเยี่ยนจ้าวเกอ กระทั่งเยี่ยนตี๋ บิดาของเขา นับเป็นความดีความชอบชิ้นโตอีกด้วย

เยี่ยนจ้าวเกอมองดูสีของท้องฟ้า “พวกเราไปกันเถิด”

ทุกคนออกเดินทางไปพร้อมกัน เยี่ยนจ้าวเกอออกคำสั่งอย่างต่อเนื่อง ปรมาจารย์ชุดดำหลายคนผงกศีรษะรับคำสั่ง แล้วจึงแยกย้ายกันไปส่งข่าว

แม้ว่าตนเองจะปิดเรื่องทั้งหมดไว้แล้ว ทว่ามีบางคนที่เยี่ยนจ้าวเกอยังคงต้องรายงานตั้งแต่ช่วงแรกที่เกิดเรื่อง อย่างเช่นบิดาของตนเอง หรืออย่างเช่นผู้อาวุโสเกาะตะวันออก ผู้ดูแลโดยตรงของตนเองในเกาะนภาตะวันออกตอนนี้ อีกทั้งยังเป็นผู้ที่มีอำนาจสั่งการสูงสุดของเขากว่างเฉิงที่อยู่ ณ เกาะนภาตะวันออก

เรื่องครั้งนี้ไม่ใช่เรื่องเล็กๆ อีกทั้งไม่ได้ง่ายเหมือนอย่างตอนที่เล่นงานพวกเฉาหยวนหลงที่หุบเหวปราการมังกรครั้งก่อน ปฏิกิริยาของสำนักศักดิ์สิทธิ์ต้องดุเดือดมากขึ้นอีกแน่

เซียวเซิงและคนอื่นๆ เผ่นหนี ต่อไปพวกเขาต้องมีความเคลื่อนไหวบางอย่างแน่ ฉะนั้นยิ่งเขากว่างเฉิงของตนได้รับข่าวเร็วมากเท่าใด ก็ยิ่งมีประโยชน์ต่อการวางแผนรับมือมากขึ้นเท่านั้น

นอกจากนี้แล้ว เยี่ยนจ้าวเกอยังจงใจปล่อยข่าวต้นตอสาเหตุที่จันทรากายของเฟิงอวิ๋นเซิงได้รับความเสียหายออกไปโดยเฉพาะ เพื่อให้มีคนวางแผนแจ้งข่าวให้กับเมืองทะเลมรกต ดินแดนศักดิ์สิทธิ์อีกแห่งหนึ่งได้รับทราบ

เพราะในบรรดาดินแดนศักดิ์สิทธิ์แต่ละแห่ง เมืองทะเลมรกตกับสำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์มีความสัมพันธ์ที่ย่ำแย่ที่สุด

ใช้หลักการที่ว่าศัตรูของศัตรูก็คือมิตร ความสัมพันธ์ของเขากว่างเฉิงกับเมืองทะเลมรกตก็ยังถือว่าไม่เลว ใกล้เคียงกับการเป็นพันธมิตร

สตรีจันทราของเมืองทะเลมรกต เป็นผู้ชนะในการทดสอบจันทรากายในครั้งที่สอง ซึ่งการทดสอบครั้งที่สามในครั้งนี้ ก็จะเป็นคู่ต่อสู้ที่น่าเกรงขามที่สุดของเมิ่งหว่าน

หลายปีมานี้ ดินแดนศักดิ์สิทธิ์แต่ละแห่งคิดหากลอุบายมาทำร้ายสตรีจันทราต่างสำนักอย่างไม่หยุดหย่อน

เยี่ยนจ้าวเกอไม่เคยไว้ใจการกระทำของสำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์ จึงต้องเตือนเมืองทะเลมรกตเสียหน่อย เพื่อไม่ให้พวกเขาถูกทำร้าย

ในขณะที่เดินทางลอดผ่านป่าเขา จู่ๆ เยี่ยนจ้าวเกอก็เกิดเอะใจ เหม่อมองไกลออกไป

เสียงน้ำไหลที่ดังมากจากน้ำตกในป่า กลับไม่สามารถกลบเสียงพูดคุยของคนจำนวนหนึ่งไว้ได้

ชายหนุ่มมองเห็นคนกลุ่มหนึ่งอยู่ที่ริมขอบน้ำตกลิบๆ พวกเขายืนกระจัดกระจายกันเป็นกลุ่ม ราวกับกำลังคุมเชิงกัน

“พวกจ้าวหยวนเองหรอกหรือ?”

จ้าวหยวน เป็นโอรสองค์โตของราชาอาณาจักรถังตะวันออก เขาสนิทกับเยี่ยนจ้าวเกอมากเช่นกัน

ผู้ที่อยู่ด้วยกันกับเขา ยังมีจ้าวเฉิง องค์ชายสามอยู่ด้วย ทว่าผู้นี้กลับใกล้ชิดกับเหยียนซวี่ ผู้อาวุโสคุมการณ์แห่งถังตะวันออกมากกว่า

อย่างไรก็ตาม ไม่ว่าจะเป็นจ้าวหยวนหรือจ้าวเฉิง บัดนี้ล้วนจดจ้องไปยังเด็กหนุ่มคนหนึ่งด้วยสีหน้าที่ไม่เป็นมิตร

ชายหนุ่มคนนั้นดูอายุราวสิบหกสิบเจ็ดปี หน้าตามีส่วนคล้ายคลึงกับจ้าวหยวนและจ้าวเฉิงอยู่ประมาณห้าส่วน อีกทั้งยังสวมอาภรณ์ของเชื้อพระวงศ์ด้วยเช่นกัน ทว่าเมื่อเทียบกับพวกจ้าวหยวนแล้ว กลับดูเรียบง่ายกว่ามากอย่างเห็นได้ชัด

…………….