ในเวลาเดียวกัน ภายในห้องทำงานเจ้าตระกูล
หลังจากเบเลซักออกไป ข้างในห้องก็ตกอยู่ในความเงียบสงัด
รูลลักเริ่มเปิดเอกสารอ่าน ทำราวกับเบเจอร์ไม่มีตัวตนอยู่ในห้องนี้ และพฤติกรรมนั่นก็ทำให้เบเจอร์ยิ่งรู้สึกอับอายมากเข้าไปใหญ่
มือที่กำไว้ข้างหลังสั่นระริก เบเจอร์สะบัดศีรษะไปมา ก่อนจะพูด
“ไม่เพียงแค่ลงโทษข้า แต่ยังลงโทษบุตรชายของข้าด้วยหรือครับ”
คิ้วเข้มของรูลลักที่กำลังจะเซ็นชื่อลงในเอกสารกระตุกหนึ่งครั้ง
“หมายความว่ายังไง”
“ข้าทราบเรื่องทั้งหมดแล้วครับ ว่าวันงานพบปะนักเรียนทุนลอมบาร์เดียถูกเปลี่ยนไปเป็นวันเดียวกันกับวันที่ข้าต้องพาเบเลซักเข้าวัง”
ข่าวนั่นคือสาเหตุที่เบเจอร์เดินทางกลับมายังคฤหาสน์
รูลลักไม่ได้ตอบปฏิเสธ
การกระทำของเขาทำให้เบเจอร์เริ่มกระแทกกระทั้นขึ้นเสียงใส่
“จะเมินเฉยข้าเช่นนี้ไม่ได้นะครับอย่างไรตำแหน่งของข้าในฐานะบุตรชายคนโตก็ไม่มีวันตกต่ำลง เรื่องของแคลอฮันก็เหมือนกันครับ”
“แคลอฮันหรือ”
ชื่อบุตรชายคนที่สามที่ดังออกมาอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย ทำให้รูลลักเลิกคิ้วข้างหนึ่งขึ้น
“ท่านพ่อช่วยส่งเสริมไอ้ร้านขายเสื้อผ้าบ้าบอนั่นไม่ใช่หรือไงครับ ถึงขนาดสั่งซื้อเสื้อผ้าให้พวกลูกจ้างเปล่าประโยชน์พวกนั้นอีก”
“ร้านขายเสื้อผ้าบ้าบออย่างนั้นหรือ ในสายตาของเจ้ามองเห็นเป็นเช่นนั้นหรือไง”
“ก็แค่กิจการขายเสื้อผ้าให้พวกสามัญชนเท่านั้นเองไม่ใช่หรือครับ เรื่องแค่นั้นไม่ว่าใครก็สามารถทำได้อยู่แล้วครับ แต่ถึงอย่างนั้นท่านพ่อก็ยังเอาแต่เข้าข้างแคลอฮัน ข้าทราบดีครับว่าท่านพ่อตั้งใจจะลงโทษข้า”
น้ำเสียงของเบเจอร์ตั้งใจสื่อว่า ‘เพราะฉะนั้นตอนนี้ก็ควรจะพอได้แล้ว’ อย่างเห็นได้ชัด
รูลลักหัวเราะเสียงดัง ‘เหอะ’ ก่อนจะเอ่ยพูด
“หากเป็นเรื่องง่ายดายแบบนั้น งั้นเจ้าเองก็ลองทำให้มันสำเร็จสักครั้งดูได้มั้ยล่ะเบเจอร์ เจ้าเองก็ลองออกไปจากรั้วตระกูล สร้างตัวให้ประสบความสำเร็จเหมือนอย่างแคลอฮันดูบ้างสิ”
คำพูดเปรียบเทียบตนกับแคลอฮันอย่างเปิดเผย ทำให้เบเจอร์ตัวสั่นระริกด้วยความโกรธ
“ทำเกินไปแล้วจริงๆ นะครับ ท่านพ่อข้าทำให้ท่านพ่ออารมณ์เสียหรือยังไง ไม่ชอบใจที่ข้าใกล้ชิดสนิทสนมกับราชวงศ์ขนาดนั้นเลยหรือครับ”
“เบเจอร์”
“เป็นเพราะท่านพ่อไม่เคยให้การสนับสนุนข้าที่เป็นบุตรชายคนโต ข้าถึงได้ต้องไปขอยืมกำลังจากราชวงศ์แบบนี้ไม่ใช่หรือไงครับ!”
คราวนี้แม้แต่เหตุผลที่ไปสนิทสนมใกล้ชิดกับจักรพรรดินี ก็โยนให้เป็นความผิดของรูลลักทั้งหมดเสียแล้ว
รูลลักนั่งฟังเรื่องราวน่าสมเพชของบุตรชายอยู่นิ่งๆ โดยไม่พูดอะไร ก่อนจะตัดสินใจวางปากกาขนนกลง
“พูดให้ถูกนะ โยบาเนสเคยเรียกตัวเจ้าไปร่วมดื่มสักแก้วหรือไง เจ้าไม่ได้ใกล้ชิดสนิทสนมกับราชวงศ์ เจ้ากำลังใกล้ชิดกับพวกอังเกนัสต่างหากล่ะ”
“ระ…เรื่องนั้น”
“และนั่นก็คือความผิดที่ร้ายแรงที่สุดของเจ้า”
นิ้วชี้ของรูลลักชี้ตรงไปยังเบเจอร์ พลางเสียงกดต่ำ ทำให้บรรยากาศรอบตัวพลันหนักหน่วงกว่าเดิมเป็นเท่าตัว
“เรื่องที่เจ้ากล้าดึงไอ้พวกอังเกนัสเข้ามายุ่งกับงานของลอมบาร์เดียของพวกเรา นั่นเป็นความผิดของเจ้า”
เหงื่อเย็นเฉียบไหลอาบทั่วแผ่นหลังของเบเจอร์ที่เมื่อครู่ยังพูดจาอวดดีอยู่เลย
เพราะเขาเพิ่งตระหนักได้ว่า ตอนนี้บิดากำลังโกรธมากแค่ไหน
“ไอ้พวกอังเกนัส กล้าดียังไง”
รูลลักถลึงตาจ้องเบเจอร์เขม็ง
วินาทีนี้ เบเจอร์ไม่ใช่บุตรชายของเขาเป็นเพียงแค่สมาชิกของลอมบาร์เดียที่ทำลายเกียรติของตระกูลอย่างโง่เขลาเท่านั้น
เบเจอร์เผลอก้าวถอยไปข้างหลังโดยไม่รู้ตัว
“ฉวยเอาที่ดินตระกูลบราวน์ไปเหมือนสุนัขจิ้งจอกเป็นแค่ขอทานที่ดีแต่ยึดติดเรื่องสายเลือด เที่ยวร่อนเร่ไปทั่วตะวันตก”
“ทะ…ท่านพ่อ”
เบเจอร์ตั้งใจจะกล่าวขอให้บิดายกโทษให้
ต่อให้ต้องคุกเข่าถูมือทั้งสองข้างเพื่อคลายความโกรธเคืองของบิดาเขาก็ยอมทำ ทว่าร่างกายของเขามันกลับแข็งทื่อ ไม่ยอมขยับตามที่ใจสั่ง
คราวนี้รูลลักโมโหมากจนระเบิดอารมณ์รุนแรงออกมา เจ้าตระกูลลอมบาร์เดียเอ่ยเรียกเบเจอร์
“เบเจอร์”
“ครับ ทะ…ท่านพ่อ”
“อย่าทำให้ข้าต้องดึงเอาทุกสิ่งที่เจ้าถือไว้ในมือกลับคืนมา”
ประโยคนี้ทำให้หัวใจของเบเจอร์ร่วงหล่นส่งเสียงดังตึงอย่างรุนแรงยิ่งกว่าครั้งไหนๆ
ถึงแม้เขาจะเป็นบุตรชายคนโตของเจ้าตระกูล แต่สิ่งที่ตอนนี้เบเจอร์ได้รับมาทั้งหมดนั่น ก็เป็นสิ่งที่บิดาเป็นคนมอบให้เขาทั้งนั้น
พูดง่ายๆ ก็คือ บิดาเป็นบุคคลที่สามารถแย่งเอาทุกสิ่งทุกอย่างจากตนไปได้ทุกเมื่อที่ต้องการ
บุคคลที่สามารถขับไล่ตนออกไปจากตระกูลลอมบาร์เดียได้เพียงแค่กระดิกนิ้วครั้งเดียว ก็คือเจ้าตระกูล รูลลัก ลอมบาร์เดียคนนี้
“และงานพบปะนักเรียนทุนลอมบาร์เดียครั้งนี้ก็แล้วแต่เจ้าจะเลือก จะส่งเฉพาะภริยากับเบเลซักเข้าวังไปกันเอง หรือเจ้าจะเข้าวังไปด้วย หรือเจ้าจะมาร่วมงานพบปะ ก็แล้วแต่เจ้า”
นัยน์ตาของเบเจอร์สั่นไหว
องค์จักรพรรดินีทราบเรื่องแล้วว่า เขาจะเป็นคนพาเบเลซักเข้าวังด้วยตัวเอง
หากเขาทรยศความคาดหวังของนาง เลือกที่จะเข้าร่วมงานเลี้ยงของลอมบาร์เดีย ทุกสิ่งทุกอย่างที่เขาใช้เวลาสั่งสมมาโดยตลอดอาจจะพังทลายลงไปด้วยก็ได้
แต่ในขณะเดียวกัน คำพูดของบิดาเองก็ดูจะมีนัยแอบแฝงเช่นกัน
เบเจอร์ได้แต่ยืนนิ่งอยู่กับที่ด้วยความลังเล สุดท้ายจึงค่อยโค้งศีรษะกล่าวลา แล้วเดินออกมาจากห้องทำงาน
รูลลักที่เอาแต่นั่งอ่านเอกสารดูเหมือนจะไม่ได้สนใจอะไรมากนัก เมื่อได้ยินเสียงประตูปิดลง เขาก็ถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ ก่อนจะวางเอกสารในมือลง
ท่าทางโกรธเคืองที่ไล่ต้อนเบเจอร์เมื่อไม่นานก่อนหน้านี้จางหายไปแล้ว วินาทีนี้เหลือเพียงสายตาซับซ้อนที่เหม่อมองประตูบานที่บุตรชายเพิ่งเดินออกไปอยู่เท่านั้น