บทนำ

 

 

‘จะเอาที่ดินของตระกูลไปใช้พนันตามอำเภอใจไม่ได้นะคะแถมนี่ก็เป็นครั้งที่สามแล้วด้วย…’

 

เพียะ!

 

เสียงไม่น่าฟังดังขึ้นพร้อมกับศีรษะของฟีเรนเทียที่สะบัดหันไปอีกด้านอย่างรุนแรง

 

‘เจ้าพล่ามอะไร กล้าดียังไงมาเทศนาสั่งสอนข้า! ! ’

 

กลิ่นเหล้าเหม็นคลุ้งมาจากกายของชายผู้ใช้มือแกร่งผลักไหล่เล็กและใช้กำลังขู่เข็ญรังแกอีกฝ่าย

 

‘เอาละๆ ระงับอารมณ์เสียหน่อยเถอะ อาสทัลลีอูไปทางโน้นไป ส่วนเจ้า…’

 

เบเลซักเกลี้ยกล่อมน้องชายลูกพี่ลูกน้องที่เดินเซไปมาด้วยความเมาอย่างอ่อนโยน ก่อนที่จะหมุนตัวกลับมาหาฟีเรนเทีย

 

และ

 

เพียะ-!

 

เสียงที่ดังยิ่งกว่าเมื่อครู่นี้ดังขึ้นพร้อมกับรอยฝ่ามือขนาดใหญ่ที่ถูกประทับลงบนแก้มอีกข้างของหญิงสาว

 

‘เจ้าเป็นคนดูแลเงินทองของตระกูลก็จริง แต่เผลอคิดว่ามันเป็นเงินของเจ้าไปด้วยหรือไง’

 

เบเลซักกล่าวเหน็บแนมฟีเรนเทียที่ยืนตัวสั่นกุมใบหน้าที่ถูกตบ

 

‘อย่าเข้าใจผิดเสียล่ะ ถึงแม้เจ้าจะใช้นามสกุลเดียวกับพวกเรา แต่สายเลือดชั้นต่ำสกปรกอย่างเจ้าน่ะ ไม่มีทางกลายเป็นสมาชิกของตระกูลเราได้เด็ดขาด เพราะฉะนั้นเจ้าถึงต้องใช้ชีวิตเยี่ยงข้ารับใช้คอยปรนนิบัติรับใช้พวกเราเหมือนอย่างตอนนี้ยังไงล่ะ’

 

ช่างเป็นคำพูดอันแสนโหดร้ายที่ไม่ว่าจะได้ยินกี่ครั้งก็ยังรู้สึกเหมือนถูกมีดปักลงเข้ากลางอก

 

‘หากเจ้ากล้าเอาเรื่องวันนี้ไปบอกท่านปู่ มือของข้าจะไม่ยอมปล่อยเจ้าไปเฉยๆ แน่’

 

เบเลซักเตือนเสียงทุ้มต่ำ ถ่มน้ำลายลงพื้น ก่อนจะหมุนตัวหันหลังเดินจากไป

 

สุดท้ายหญิงสาวก็ได้ยินเสียงรถม้าที่นางนั่งมาค่อยๆ เคลื่อนตัวห่างออกไปไกลขึ้นเรื่อยๆ

 

ฟีเรนเทียที่ถูกทิ้งเอาไว้คนเดียวในตรอกแคบมืดสลัวกำหมัดแน่น

 

เลือดหยดหนึ่งไหลรินออกมาจากริมฝีปากที่ถูกตบจนแตก

 

 

กุกกัก

 

“ช้าๆ”

 

รถม้าซึ่งสั่นเล็กน้อยและเสียงของสารถีที่ร้องปลอบม้าให้คลายความตื่นตระหนกทำให้ฟีเรนเทียตื่นจากภวังค์ความคิดเรื่องในอดีตที่เคยเกิดขึ้นเมื่อเนิ่นนานมาแล้ว

 

เธอแง้มผ้าม่านหน้าต่างขึ้นเล็กน้อยลอบมองออกไปด้านนอก เห็นเหล่าพลทหารประจำพระราชวัง

 

“มาถึงแล้วสินะ”

 

ฟีเรนเทียปลดผ้าม่านลงอีกครั้ง มองตรงไปข้างหน้า ยืดแผ่นหลังให้ตั้งตรง

 

หลังจากจัดการเรือนผมที่ยุ่งเหยิงและเสื้อผ้าให้เข้าที่เข้าทางเป็นระเบียบเรียบร้อยเธอก็ดูไม่ต่างจากภาพวาดแสนประณีตรูปหนึ่ง

 

ระหว่างนั้นรถม้าที่หญิงสาวโดยสารมาก็ผ่านประตูหน้าของพระราชวังเข้าไป และเดินทางถึงพระราชวังแลมบลู

 

แสงพระอาทิตย์ของยามบ่ายสาดส่องลงมาอาบไล้ผิวหน้ารูปแกะสลักต้นไม้แห่งโลกขนาดใหญ่ที่ประดับอยู่บนรถม้าเนื้อทองคำส่องประกายแวววาวเสียจนตาพร่า

 

“ถึงแล้วขอรับ”

 

รถม้าหยุดลงพร้อมกับที่สารถีเอ่ยแจ้งด้วยความสุภาพ

 

“ฟีเรนเทีย”

 

ในที่สุดประตูรถม้าก็ถูกเปิดออก ชายหนุ่มรูปงามยืนรอต้อนรับหญิงสาว

 

“เฟเรส”

 

ชายหนุ่มจุมพิตลงบนหลังมือของฟีเรนเทียที่รับความช่วยเหลือจากเขาเพื่อก้าวลงจากรถม้า มันเป็นจุมพิตอันแสนร้อนแรงที่ไม่ได้คิดเก็บซ่อนความปรารถนาในใจเลยแม้แต่น้อย

 

“เฟเรส!”

 

ฟีเรนเทียเอ่ยเรียกชื่อชายหนุ่มคล้ายกับตำหนิ แต่เฟเรสกลับทำเพียงแค่ยิ้มตาหยีจนขนตายาวปกคลุมนัยน์ตาคู่งาม

 

“รีบไปกันเถอะ ทุกคนรอกันแย่แล้ว”

 

หญิงสาวพูดพลางดึงมือออกจากการกอบกุมของอีกฝ่าย ก้าวเท้าเดินมุ่งหน้าไปทางโถงจัดงานเลี้ยงขนาดใหญ่

 

เฟเรสเหลือบมองใบหูของฟีเรนเทียที่ขึ้นสีแดงเรื่อเล็กน้อย เขายิ้มกว้างออกมาอีกครั้ง ก่อนที่จะเอามือไขว้หลังเดินตามหญิงสาวไป

 

“ในอาณาจักรแลมบลูแห่งนี้น่ะ ต่อให้เจ้าสั่งให้รอก็ไม่มีใครคิดจะโวยวายอะไรหรอก เทียของข้า ค่อยๆ เดินก็ได้”

 

ทั้งสองเดินทางมาไกลก็เพื่อวันนี้โดยเฉพาะ

 

“ต้องดื่มด่ำกับช่วงเวลานี้ ให้เท่ากับที่ลำบากเดินทางมาถึงที่นี่สิ”

 

ปลายทางของความพยายามและความอดทนในการทำงานหนัก วันนี้ถึงคราวที่จะได้ดื่มด่ำกับผลตอบแทนอันแสนหอมหวานกันเสียที

 

“นั่นสินะ ลำบากมามากเหลือเกิน” ฟีเรนเทียยอมรับอย่างว่าง่าย

 

เธอเดินทางมาจากที่ไกลแสนไกลบางทีอาจจะไกลมากจนเจ้าจินตนาการไม่ออกเลยก็ได้

 

หญิงสาวรำพึงด้วยเสียงแผ่วเบาจนอีกฝ่ายไม่ได้ยิน

 

“แต่ถึงอย่างนั้นก็ไม่จำเป็นต้องทำเรื่องเสียมารยาทแบบนั้นหรอก” คำตอบยืนยันหนักแน่น

 

หญิงสาวผู้ทำให้เขาตกหลุมรักตั้งแต่วินาทีแรกที่ได้พบหน้า นางช่างเป็นผู้หญิงที่เท่เสียจริง

 

เฟเรสยิ้มออกมาด้วยความพอใจอีกครั้ง

 

ผ่านไปไม่นาน ทั้งสองคนก็มาหยุดยืนหน้าประตูโถงงานเลี้ยงที่ถูกปิดสนิท

 

“พร้อมหรือยัง”

 

ฟีเรนเทียพยักหน้าเล็กน้อยเป็นคำตอบ

 

“ถ้าอย่างนั้นเข้าไปกันเลยดีมั้ยครับ ท่านเจ้าตระกูลลอมบาร์เดีย”

 

ชายหนุ่มยื่นมือออกไปตรงหน้าหญิงสาว

 

“ไปกันเถอะเพคะ องค์รัชทายาท”

 

มือขาวเนียนสวยยื่นออกไปจับมือของชายหนุ่ม

 

“เปิดประตูได้”

 

เฟเรสออกคำสั่งสั้นๆ ไปทางผู้ดูแลที่ยืนอยู่ด้านข้าง

 

“ท่านเจ้าตระกูลลอมบาร์เดียฟีเรนเทีย และองค์รัชทายาทเสด็จ!”

 

ได้ยินเสียงแจ้งการมาถึงของทั้งคู่ดังข้ามผ่านประตู

 

เสียงที่ได้ยินดังเข้าสู่โสตประสาทหูช่างฟังแล้วเหมือนดั่งเสียงดนตรีอันแสนหวานเสียจริงฟีเรนเทียหัวเราะ

 

ประตูค่อยๆ เปิดออกอย่างช้าๆ เผยให้เห็นรอยแยกระหว่างบานประตูทั้งสองข้าง แสงสว่างระยิบระยับของโถงงานเลี้ยงสาดส่องออกมาจากรอยแยกนั้น