บทที่ 43

 

ในตอนที่ฟีเรนเทียลืมตาขึ้นอีกครั้ง รอบด้านก็เริ่มมืดสลัวเล็กน้อย

 

“อืม…”

 

สงสัยคงจะหลับไปนานมากเกินไปหน่อย พอเธอตั้งใจยันตัวให้ลุกขึ้นจากเตียงร่างกายก็พลันรู้สึกหนักอึ้งไปหมด และทันทีที่เสียงครางแผ่วเบาของตนหลุดออกจากปาก ใครบางคนก็รีบวิ่งเข้ามาหาในทันที

 

“เทียเป็นอะไรหรือเปล่า”

 

เจ้าของเสียงที่เอ่ยถามไถ่อย่างระมัดระวังด้วยความเป็นห่วงคือท่านพ่อ

 

“พ่อ”

 

“ใช่แล้วเทีย พ่อเอง”

 

ฝ่ามือคุ้นเคยของท่านพ่อลูบศีรษะของเธอ

 

“ทำไมข้ายังอยู่ที่นี่อีกล่ะคะ”

 

เธอแค่หมดสติไปเพราะโดนลูกบอลปาใส่หน้าเท่านั้นเองนี่นาถึงแม้เลือดกำเดาจะไหลนิดหน่อยก็เถอะ

 

ที่จริงระหว่างนั้นเธอก็มีตื่นขึ้นมาครั้งหนึ่งด้วยแต่เตียงของคลินิกมันสบายมากเกินไป แถมตอนนั้นเจ้าสองแฝดก็ไม่อยู่ บรรยากาศรอบตัวก็เงียบสงบกำลังดี เธอเลยคิดว่าขอใช้จังหวะนี้หลับอีกสักตื่นแล้วค่อยลุกก็แล้วกัน

 

พอตื่นขึ้นอีกครั้ง ฟีเรนเทียก็ไม่คิดเลยว่า ตัวเองจะนอนอยู่ที่นี่จนกระทั่งท้องฟ้าข้างนอกเริ่มมืดแล้ว

 

“เห็นเทียของพ่อกำลังหลับสบาย ก็เลยตั้งใจรอจนกว่าเทียจะตื่นยังไงล่ะ”

 

“ไม่เห็นต้องทำแบบนั้นเลย น่าจะปลุกกันหน่อย…”

 

แค่นี้ช่วงนี้ท่านพ่อก็งานยุ่งจะแย่อยู่แล้ว แต่เธอดันมัวแต่นอนเพลินจนทำให้ท่านพ่อต้องรอ ทำเอาฟีเรนเทียรู้สึกละอายใจนิดหน่อยอยู่เหมือนกัน

 

ทว่าท่านพ่อส่ายหน้ายิ้มๆ ให้กับคำพูดของเธอ

 

“เทียคงจะตกใจมากทีเดียว นอนพักให้เยอะๆ เถอะนะ”

 

ดูท่าทางท่านพ่อได้ยินเรื่องทั้งหมดแล้วนี่เอง

 

จริงๆ มันก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่โตอะไร แต่มันก็หนีความจริงที่ว่าเธอหมดสติไปไม่ได้อยู่ดีฟีเรนเทียคิดว่าตอนที่ท่านพ่อได้ยินข่าว เขาก็คงจะตกใจมากน่าดู

 

เธอหัวเราะแหะๆ ตั้งใจจะช่วยคลายความกังวลของอีกฝ่าย ทว่านัยน์ตาของท่านพ่อกลับยิ่งเศร้ามากกว่าเดิม

 

“ได้ยินเรื่องคร่าวๆ จากท่านพี่ชานาเนสน่ะ เห็นว่าเบเลซักใช้ดาบไม้ตีเจ้า…”

 

เห? ดาบไม้?

 

เธอโดนลูกบอลปาใส่หน้าเลยเลือดกำเดาไหลต่างหากล่ะ แต่จะว่าไปตอนสุดท้ายเธอเห็นเบเลซักหยิบเอาดาบไม้มาจากอาสทัลลีอูอยู่เหมือนกัน

 

“ถึงจะโดนขนาดนั้น แต่เจ้าก็ยังห้ามสองแฝดไม่ให้ตีเบเลซัก…”

 

มืออันแสนอบอุ่นของท่านพ่อลูบหน้าผากกลมมนของเธออีกครั้ง

 

“ทำไมถึงได้ใจดีขนาดนี้เนี่ยนะ ลูกสาวพ่อ…”

 

“คือว่า เรื่องนั้นน่ะค่ะ”

 

“ทั้งๆ ที่เจ้าเอาแต่ใจมากกว่านี้สักหน่อยก็ได้แท้ๆ”

 

มากกว่านี้อีกเหรอคะ?

 

ฟีเรนเทียกะพริบตาปริบๆ พยายามประเมินสถานการณ์ที่เกิดขึ้นในระหว่างที่เธอหมดสติไป

 

ดูเหมือนว่าทุกคนจะเข้าใจสถานการณ์ที่เกิดขึ้นรวมถึงเรื่องที่สาเหตุที่ทำให้เธอหมดสติผิดไปที่จริงมันไม่ใช่เพราะเบเลซักฟาดดาบไม้ใส่ แต่เป็นเพราะลูกบอลที่หมอนั่นปาใส่เธอต่างหาก

 

ความจริงแล้วเบเลซักยังไม่ทันได้แกว่งดาบไม้เลยด้วยซ้ำและความหมายของคำที่เธอพูดออกไปว่า ‘อย่าตีเบเลซัก’ ก่อนที่เธอจะสลบไป มันก็ไม่ใช่คำพูดสวยหรูอย่างที่ทุกคนเข้าใจความจริงแล้วมันมีความหมายว่า ‘เจ้านั่นมันกล้าทำให้ข้าเลือดกำเดาไหล ข้าจะไม่ปล่อยมันไว้แน่ พวกเจ้าถอยไปอย่ามายุ่ง’ ต่างหาก

 

แต่ว่าตอนนี้ทุกคนดูเหมือนจะเข้าใจกันผิดไปมากจริงๆ

 

ท่านพ่อกำลังมองเธอด้วยนัยน์ตาราวกับกำลังมองนางฟ้าที่ใจดีที่สุดในโลก

 

คนอื่นๆ ที่ได้ยินเรื่องที่เกิดขึ้นเอง ก็คงจะเข้าใจแบบเดียวกันสินะ

 

ทั้งสองแฝด ทั้งชานาเนส ทั้งท่านปู่

 

ทุกคนคงไม่มีใครยอมฟังคำแก้ตัวของอาสทัลลีอูหรือเบเลซักอย่างแน่นอน

 

ไม่แน่บางทีข่าวนี้อาจจะลือกันไปทั่วคฤหาสน์ลอมบาร์เดียแล้วก็เป็นได้

 

จะทำยังไงดีล่ะเนี่ย

 

เธอก้มหน้านิ่งครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะเงยหน้าขึ้นมองท่านพ่อ

 

“ข้าไม่เป็นอะไรค่ะพ่อ”

 

แต่เธอจะต้องทำอะไรอีกล่ะ ก็ปล่อยให้เข้าใจผิดแบบนี้ต่อไป มันก็เป็นผลดีไม่ใช่เหรอ

 

ฟีเรนเทียยกยิ้มใสซื่อที่ไม่ต่างจากนางฟ้าให้ท่านพ่อพลางเอ่ยขึ้น ส่วนท่านพ่อลูบแก้มเธอด้วยมืออันแสนอ่อนโยน แล้วยิ้มตามไปด้วย

 

“ไม่ต้องกังวลมากนะเทีย ต่อไปเบเลซักจะไม่สามารถกลั่นแกล้งเจ้าได้อีกแล้ว”

 

“นั่นหมายความว่ายังไงคะ”

 

“ท่านปู่ออกคำสั่งห้ามไม่ให้เบเลซักเข้าใกล้เจ้าได้อีก”

 

“นะ…นี่มัน…”

 

ลาภลอยชัดๆ!

 

นี่มันรู้สึกเหมือนโชคลอยมาหาระหว่างที่หมดสติไปเลยจริงๆ

 

ว่ากันตามตรง ฟีเรนเทียไม่ได้คิดกังวลอะไรมากมายเกี่ยวกับเรื่องเบเลซักหรอกเพราะหลังจากที่โดนเธอใช้หนังสือทุบใส่ หมอนั่นก็กลัวเธอจนหัวหด

 

แต่ที่จริงตอนนั้นเธอเองก็ไม่คิดหรอกว่าเขาจะยอมทนสงบเสงี่ยมอยู่แบบนั้นได้นานนักแล้วมันก็เป็นเหมือนอย่างที่เธอคิดจริงๆ

 

พอครั้งนี้ได้เข้าวังไปเป็นเพื่อนเล่นของเจ้าชายอาสทาน่า หมอนั่นก็คงจะคิดว่าฐานะของตัวเองสูงส่งยิ่งกว่าใครละมั้ง เมื่อตอนงานเลี้ยงครอบครัวเบเลซักถึงได้เชิดหน้าเสียขนาดนั้น

 

เพราะแบบนี้เลยวิ่งแจ้นตามมาหาเรื่องเธอเพื่อระบายความโกรธแค้นที่สั่งสมมาโดยตลอด

 

ไม่ต้องมองก็เห็นได้ชัดเจน ความคิดในหัวสมองโง่ๆ แบบนั้นน่ะแต่ต่อให้เธอดูแคลนเบเลซักแค่ไหน ความแตกต่างทางสรีระร่างกายมันก็เป็นเรื่องช่วยไม่ได้อยู่ดี

 

ฟีเรนเทียในตอนนี้ยังเด็กมาก แถมยังตัวเล็กกว่าเด็กรุ่นเดียวกันอีกด้วย

 

เบเลซักอายุมากกว่าเธอ ร่างกายย่อมกำลังเติบโตขึ้นเหนือชั้นมากกว่า และเธอเองก็ไม่อาจไม่สนใจเรื่องที่ในอนาคตเธอจะเป็นเหมือนตัวน่ารำคาญในสายตาสำหรับเจ้านั่นได้

 

ยังเคยคิดอยู่เลยว่า เบเลซักจะทุ่มเทเฟ้นหาวิธีแบบไหนมาเล่นงานเธออีกหรือเปล่าแต่ท่านปู่ออกหน้าให้แบบนี้ ก็เท่ากับว่าท่านช่วยแก้ปัญหาความกังวลทั้งหลายแหล่แทนเธอแล้ว!

 

อันที่จริงแค่ละเมิดคำสั่งห้ามเข้าใกล้ก็ได้แล้วเหมือนกันคราวนี้เบเลซักไม่มีทางกล้าเสนอหน้ามาใกล้เธอหรอกและต่อไปก็คงไม่กล้าเสี่ยงลงมือตบตีเธอโดยไม่คิดไตร่ตรองให้ดีแน่เพราะถึงยังไงเจ้านั่นก็ยังเป็นเพียงแค่เด็กตัวกะเปี๊ยกที่ยังคงหวาดกลัวท่านปู่ผู้น่าเกรงขามยังไงล่ะ

 

“พ่อ ตอนนี้ข้าก็ไม่เป็นอะไรแล้ว เรากลับบ้านกันไม่ได้เหรอคะ”

 

คำพูดของเธอทำให้ท่านพ่อลุกขึ้นจากที่นั่ง แล้วอุ้มตัวเธอที่แสนจะเบาโหยงไว้ในอ้อมแขน

 

“ถึงจะไม่มีบาดแผลอะไรใหญ่โต แต่เห็นว่าต้องรักษาตัวอยู่แต่ในห้องหลายวันหน่อยเผื่อไว้ก่อนน่ะ”

 

ช่วยไม่ได้ ในเมื่อทุกคนคิดว่าเธอโดนเบเลซักทำร้ายด้วยดาบไม้จริงๆ นี่นะ

 

ฟีเรนเทียพยักหน้าตกลงอย่างว่าง่าย

 

เธอถูกท่านพ่ออุ้มไว้ในอ้อมกอด พาเดินผ่านทางเดินมืดสลัว คนงานกลุ่มหนึ่งเพิ่งจะเลิกงานและกำลังจะกลับบ้านกัน เมื่อสังเกตเห็นพวกเธอพ่อลูกพวกนางจึงเอ่ยทักทายอย่างนอบน้อม

 

พอเห็นเหล่าคนงานในคฤหาสน์ใส่ชุดยูนิฟอร์มแล้ว ทำให้ดูแล้วให้ความรู้สึกเป็นหนึ่งเดียวกันอย่างเห็นได้ชัด ดูดีขึ้นมากทีเดียว

 

ในตอนนั้นเอง ข้ารับใช้หญิงนางหนึ่งผู้มีนัยน์ตากลมโตน่ามองก็เดินเข้ามาหาพวกเราอย่างระมัดระวัง ก่อนจะเอ่ยถามเธอ

 

“คือว่า คุณหนูฟีเรนเทียเป็นอะไรมากมั้ยคะ”

 

เธอได้แต่กะพริบตาปริบๆ ตอบอะไรไม่ออก เพราะไม่นึกเลยว่าพวกนางจะเดินเข้ามาพูดกับเธอเองโดยตรงแบบนี้

 

“ได้ยินว่าสลบไป…”

 

ข้ารับใช้อีกคนเดินเข้ามาหา แล้วถามด้วยความเป็นห่วง

 

คนที่ลอบตรวจสอบอาการของเธอ ไม่ได้มีแค่พวกนางสองคนเท่านั้นเพราะคนอื่นๆ ที่กำลังจะกลับพร้อมกันเองก็หยุดเดิน และกำลังฟังบทสนทนาของพวกเราอยู่

 

เดิมทีฟีเรนเทียสนทนากับพวกลูกจ้างได้อย่างอิสรเสรีอยู่แล้ว แต่เธอก็ไม่ใช่คนที่เป็นที่นิยมขนาดได้รับความเป็นห่วงจากทุกคนแบบนี้

 

“คุณชายน้อยเบเลซักเองก็แย่จริงๆ ทำกับคุณหนูฟีเรนเทียที่ทั้งยังเด็ก ทั้งตัวเล็กแบบนั้น…”

 

“ได้ยินว่าขนาดลงไม้ลงมือทำร้ายกันจนหมดสติคุณหนูก็ยังห้ามคุณชายน้อยฝาแฝดไม่ให้ตีคุณชายน้อยเบเลซักด้วยนะ”

 

“คุณชายน้อยเบเลซักน่ะช่างเถอะ แต่คงจะเป็นห่วงกลัวว่าคุณชายน้อยฝาแฝดจะพานโดนตำหนิไปด้วยน่ะสิ”

 

“เฮ้อ คุณหนูที่แสนใจดีขนาดนั้น…”

 

ฟีเรนเทียได้ยินเสียงลูกจ้างหลายคนกระซิบกระซาบกันดังมาจากข้างหลังดูเหมือนว่าข่าวลือเกี่ยวกับเธอจะแพร่กระจายไปอย่างสวยหรูเกินจริงมากทีเดียว

 

เธอฉีกยิ้มนางฟ้าเหมือนที่ยิ้มให้ท่านพ่อเมื่อครู่ เพื่อตอบรับความคาดหวังของทุกๆ คน ก่อนจะเอ่ยตอบ

 

“ข้าไม่เป็นไร! ขอบคุณทุกคนที่เป็นห่วงนะคะ!”

 

รอยยิ้มใสซื่อบริสุทธิ์ของเด็กตัวน้อยๆ มักใช้ได้ผลอย่างชัดเจน

 

สีหน้าของทุกคนผ่อนคลายลงอย่างอ่อนโยน มองแค่ปราดเดียวก็เห็นแล้วว่าความชื่นชอบในตัวเธอเพิ่มขึ้นมาก

 

ท่านพ่อเองก็ส่งสายตาขอบคุณพวกนาง หลังจากนั้นพวกเราจึงเริ่มขยับขาก้าวเดินต่ออีกครั้ง

 

ผ่านไปไม่นานก็เดินกลับมาถึงบ้าน แต่แล้วจู่ๆ เธอก็นึกอะไรบางอย่างขึ้นมาได้ จึงเอ่ยถามท่านพ่อ

 

“พ่อ เห็นว่าอีกไม่นานจะมีแขกมาที่คฤหาสน์ มันเมื่อไหร่เหรอคะ”

 

“อา พูดถึงงานพบปะนักเรียนทุนลอมบาร์เดียสินะ ได้ยินว่าอีกสามวันให้หลังนี่แหละ คฤหาสน์คงจะเสียงดังมีชีวิตชีวาน่าดูเชียว”

 

อีกสามวันให้หลัง

 

ถ้าอย่างนั้นเธอก็ยังพอมีเวลาให้พักหลายวันหน่อย

 

หากทุกอย่างเป็นไปได้สวย บางทีแค่แอบเดินเล่นอยู่ใกล้ๆ ทางเข้าออกให้ตรงกับเวลางานเลี้ยงก็น่าจะพอไหวอยู่

 

เพียงแต่เธอเป็นห่วงว่าเรื่องนั้นจะทำให้ท่านปู่ยุ่งมากจนไม่มีเวลาไปอีกพักใหญ่น่ะสิ

 

‘ตอนนี้เธอเองก็ต้องเริ่มเคลื่อนไหวแล้วสินะ’

 

รู้สึกประหม่าเล็กน้อย แต่ยังไงงานพบปะนักเรียนทุนลอมบาร์เดียก็ต้องมาก่อนเรื่องอื่น

 

ฟีเรนเทียปลอบใจตัวเอง