“องค์จักรพรรดินี งานปาร์ตี้น้ำชาใหญ่โตเช่นนี้เชียว ขอบพระทัยมากจริงๆ เพคะ”

เซรัลแต่งตัวอย่างงดงาม นางกำลังย่อเข่าเล็กน้อยต่อหน้าราวีนี่ผู้เป็นลูกพี่ลูกน้อง ในขณะที่กล่าวทักทาย

“เบเลซักบุตรชายของเจ้าก็กลายมาเป็นเพื่อนเล่นของบุตรชายข้าแล้ว เรื่องแค่นี้ข้าจะไม่ใส่ใจได้ยังไงกัน ไม่ได้พบกันนานเลยนะ เซรัล”

องค์จักรพรรดินีราวีนี่เองก็แย้มรอยยิ้มหามองได้ยากพลางเอ่ยพูด

เดิมทีมันเป็นงานเลี้ยงมื้อเย็นที่เบเลซักจะมาด้วยกันพร้อมกับบิดามารดา เพื่อใช้เวลาร่วมกันกับเจ้าชายอาสทาน่า ก่อนที่จะกินอาหารเย็นด้วยกันแต่หลายวันก่อนจักรพรรดินีได้รับสารจากเซรัล นางจึงจัดการเปลี่ยนแผนทุกอย่าง

วันถัดมานางได้ส่งคนส่งสารออกไป แจกจ่ายจดหมายเชิญให้แก่เด็กๆ วัยเดียวกันกับอาสทาน่าและเบเลซักที่อาศัยอยู่ในคฤหาสน์ย่านชั้นสูงในเมืองหลวง

มันคือบัตรเชิญให้เด็กชนชั้นสูงกับผู้ปกครองของพวกเขามาร่วมงานปาร์ตี้น้ำชายามบ่ายกับงานเลี้ยงมื้อเย็น

ชื่อของงานเลี้ยงก็คือ ‘ได้รับใบชาชั้นยอดมาใหม่ มาร่วมลิ้มรสด้วยกันเถอะ’ แต่จริงๆ แล้วมันแค่แสดงให้ทุกคนได้เห็นเบเลซักได้เข้าวังอย่างเป็นทางการครั้งแรกเท่านั้น

ใบหน้าของพวกเด็กๆ ที่ได้เห็นว่าเบเลซักที่เคยเล่นกับพวกตนทุกครั้งที่มีงานเลี้ยงของชนชั้นสูงมาโดยตลอดกำลังประกบติดอยู่ข้างกายเจ้าชายลำดับที่หนึ่งนั้นเต็มไปด้วยความอิจฉาจนตาร้อน

จุดนี้ทำให้เซรัลพอใจมากทีเดียว

แม้กระทั่งลาลาเน่ผู้แสนขี้อาย วันนี้เองก็ไม่ได้เล่นอยู่ตามลำพัง แต่กำลังใช้เวลาอย่างสนุกสนานโดยเป็นจุดศูนย์กลางของพวกเด็กผู้หญิง

ในตอนนั้นเองเซรัลก็สังเกตเห็นอะไรบางอย่าง จึงเอ่ยขอจักรพรรดินีว่าตนจะปลีกตัวออกไปครู่หนึ่ง และก็ได้รับอนุญาต

“ที่รัก”

สถานที่ที่เซรัลมุ่งหน้าเดินตรงไปคือที่ว่างข้างกายเบเจอร์ซึ่งนั่งดื่มชาอยู่ที่โต๊ะตามลำพัง

“ยังกังวลขนาดนั้นอยู่อีกเหรอคะ”

“กังวลอะไรกัน”

แต่สีหน้าของเบเจอร์ก็ยังคงเหมือนเดิม

“จำคำพูดของข้าได้หรือไม่คะ”

เซรัลยิ้มพลางสอดมือที่สวมถุงมือสีขาวของนางเข้าไปกอบกุมมือของเบเจอร์ที่นั่งอยู่ข้างๆ

“ต่อให้ท่านพ่อจะหัวแข็งแค่ไหน อย่างไรก็ไม่อาจขัดขวางกาลเวลาได้หรอกค่ะ ผ่านไปอีกแค่ไม่กี่ปี เรื่องทุกอย่างก็ไม่มีทางดำเนินไปได้ตามใจของท่านพ่อเหมือนอย่างตอนนี้แล้วละค่ะ”

“ข้ารู้ แต่ยังไงท่านก็เป็นคนที่สามารถแย่งชิงทุกสิ่งไปจากเราก่อนจะถึงเวลานั้นได้เหมือนกัน”

ในขณะที่จิบน้ำชาอย่างฉุนเฉียวเบเจอร์ก็พลันนึกถึงนัยน์ตาส่องประกายเย็นยะเยือกด้วยความโกรธของบิดาขึ้นมา

ตอนแรกเขากะว่าจะอยู่ร่วมงานพบปะที่จัดขึ้นในคฤหาสน์ลอมบาร์เดีย แต่เซรัลห้ามเขาเอาไว้

ถึงเดินทางมายังพระราชวังตามกำหนดการเดิมแต่เขากลับรู้สึกกระวนกระวายและเสียวสันหลัง เหมือนคนมีชนักติดหลังอย่างไรอย่างนั้น

“เห็นว่าพูดถึงท่านแคลอฮันไม่ใช่เหรอคะ ที่ว่าให้พึ่งพาตัวเองมากขึ้นน่ะ”

“ใช่แล้ว…”

“คำพูดนั่นมันจะไปมีความหมายว่าอะไรได้ล่ะคะ ท่านพ่อก็แค่หวังให้คุณแสดงภาพลักษณ์ให้สมกับเป็นพี่ชายคนโตมากขึ้นเท่านั้นเองค่ะ ที่ผ่านมาคุณเองก็พยายามไปตั้งมากมายเพื่อที่จะไม่ทำให้ท่านพ่อผิดหวังไม่ใช่เหรอคะ”

เบเจอร์พยักหน้าด้วยใบหน้าหดหู่

“บางทีนั่นอาจจะทำให้ท่านพ่อไม่ชอบใจก็ได้ค่ะ ถึงแม้จะน่ากลัวไปบ้าง แต่บางทีท่านพ่ออาจจะอยากเห็นภาพลักษณ์ที่ต่อต้านของคุณบ้างก็ได้นะคะ”

“อย่างนั้นหรือ…”

เพียงครู่เดียวเบเจอร์ก็ถูกเกลี้ยกล่อมด้วยคำพูดของภริยา

ความรู้สึกที่ตั้งใจจะคุกเข่า ถูมือทั้งสองข้างอ้อนวอนบิดา ก็ค่อยๆ จางหายไปด้วยรอยร้าวที่อยู่ในใจก็ถูกคำพูดของเซรัลค่อยๆ แทรกซึมเข้าไปอย่างเชี่ยวชาญ

“เรื่องนั้นมันเห็นได้ชัดเจนอยู่แล้วนี่คะ สักวันท่านจะต้องแอบยอมรับคุณแน่ๆ ค่ะ”

“ก็นะ จะขับไสไล่ส่งข้าที่เป็นบุตรชายคนโตได้ยังไง จริงไหม”

ความหยิ่งยโสเชื่อมั่นในตัวเองเข้าครอบงำเบเจอร์อีกครั้ง

เซรัลหัวเราะพลางจับมือของสามีให้ลุกขึ้นจากที่นั่ง

“องค์จักรพรรดินีทรงรออยู่นะคะ เบเลซักเองก็กำลังปรับตัวเข้าหาเจ้าชายลำดับที่หนึ่งได้ดีทีเดียว คุณแค่ทำอย่างที่เคยทำก็พอแล้วละค่ะ”

“อืม ก็แค่ทำตามที่เคยเป็น”

เบเจอร์กลับมาเป็นเหมือนปกติอีกครั้ง เขายิ้มพลางเดินตรงเข้าไปยังข้างกายองค์จักรพรรดินีซึ่งมีผู้คนรายล้อมอยู่รอบๆ

บนโต๊ะตัวใหญ่แต่ละตัวมีชุดถ้วยน้ำชาที่ผลิตขึ้นโดยช่างฝีมือชั้นยอดสำหรับให้ราชวงศ์ใช้เท่านั้นวางอยู่ ด้านหนึ่งเหล่านักดนตรีกำลังบรรเลงดนตรีท่วงทำนองหวานเสนาะหู

ฝั่งพื้นที่ที่พวกเด็กๆ กำลังเล่นกันอยู่อย่างเนืองแน่น ถูกปูด้วยหญ้าสีเขียวผืนหนาไร้หลุมบ่อที่ถูกตัดแต่งเป็นอย่างดีด้วยความใส่ใจ

ทุกสิ่งที่ใช้ประดับตกแต่งเติมเต็มพื้นที่แห่งนี้แต่ละชิ้น มันช่างหรูหราสมกับเป็นปาร์ตี้น้ำชาสุดหรูจริงๆ

นางกำนัลหญิงเบลล่าเฝ้ามองภาพนั้นอยู่หลังเสาพระราชวังส่วนองค์จักรพรรดินี ก่อนจะรีบขยับเท้าก้าวเดินตรงไปยังห้องครัวอย่างรวดเร็ว

ในมือของนางถือตะกร้าใส่อาหารจากนั้นเดินตรงเข้าไปในป่าลึก ไม่นานนางก็หยุดฝีเท้าลงตรงหน้าวังเก่าๆ อยู่ครู่หนึ่งและหยิบขวดแก้วใบเล็กออกจากอกเสื้อด้านใน หลังจากที่เปิดฝาแล้วก็เทมันใส่จานสตูในตะกร้าจนหมดขวด

“ต่อให้เด็กนั่นเหลือขนมปังแข็งๆ นี่ไว้ ยังไงก็ต้องกินสตูจนหมดอยู่ดี”

ช่างเป็นเจ้าชายที่อิ่มท้องดีจริงๆ

ขนมปังที่พวกเด็กสามัญชนพยายามแค่ไหนก็หากินไม่ได้ แต่เด็กคนนั้นกลับปล่อยมันทิ้งไว้ไม่ยอมกินเพียงแค่เพราะมันถูกวางทิ้งไว้ไม่กี่วันจนแข็งกระด้างเท่านั้น

เบลล่าพร่ำบ่น โดยที่ลืมภาพปาร์ตี้น้ำชาหรูหราที่นางอยู่เมื่อครู่ไปเสียแล้ว

แอ๊ด

เปิดประตูฝืดเคืองส่งเสียงดังระคายหู เบลล่าเดินเข้าไปข้างใน มุ่งหน้าตรงไปยังห้องนอนของเจ้าชายลำดับที่สองด้วยความเคยชิน

แกรก

ไม่มีแม้กระทั่งการเคาะประตูห้องนอนก่อนจะเปิดมันออกด้วยซ้ำ

นางใช้หางตาเหลือบมองภาพด้านหลังของคนที่นอนคู้กายอยู่บนเตียงนอนขนาดใหญ่ที่ตั้งอยู่ไกลๆ ก่อนวางตะกร้าอาหารลงบนโต๊ะเสียงดังไร้ซึ่งความเคารพใดๆ ทั้งสิ้นไม่ต้องรอให้อีกฝ่ายลุกขึ้นมา นางก็เดินออกจากห้องทันที

หลังจากที่เสียงเท้าเริ่มห่างไกลออกไป และได้ยินเสียงประตูวังปิดลงแล้ว เงาคนคนหนึ่งจึงค่อยลุกขึ้นจากเตียงนอนอย่างเชื่องช้า เฟเรสมองตะกร้าบนโต๊ะด้วยใบหน้านิ่งไร้อารมณ์ ก่อนจะหยิบเอาชามสตูที่มีช้อนวางอยู่ออกมา

“…ใส่มาเยอะเชียว”

ไม่รู้ว่านางกำนัลที่นำอาหารมารู้หรือเปล่า ว่ายาพิษที่ใส่มานั้นจะมีปริมาณน้อยมากแค่ไหนก็ตาม แต่มันก็ยังให้กลิ่นกับรสชาติที่ขมเป็นพิเศษอยู่ดี

แน่นอนว่าบางทีคนปกติทั่วไปอาจจะจับสังเกตความผิดปกติไม่ได้ ทว่าเฟเรสนั้นแตกต่าง

สำหรับเฟเรสที่มีประสาทสัมผัสอ่อนไหวเป็นพิเศษ เขาสามารถแยกแยะรสชาติพวกนั้นออกได้

และสาเหตุที่เขาค้นหาหนังสือสมุนไพรด้วยตัวเองเมื่อตอนแรก ก็เป็นเพราะจู่ๆ วันหนึ่งรสชาติอาหารมันเปลี่ยนแปลงไปแบบแปลกๆ นั่นเอง

แต่ถึงจะรู้ว่ามียาพิษใส่อยู่ เฟเรสก็ยังกินสตูต่อไปเรื่อยๆ

“นางบอกว่าอย่าแสดงออก”

ฟีเรนเทียบอกเขาไว้เช่นนั้น

ให้กินอาหาร แล้วกินยาแก้พิษตามลงไป

เขาเมินกระเพาะอาหารที่รู้สึกแสบร้อนขึ้นมาทั้งๆ ที่เพิ่งจะกินลงไปได้แค่ไม่กี่ช้อน หลังจากนั้นเฟเรสก็มุ่งหน้ากลับไปยังเตียงนอนอีกครั้ง ก่อนจะหยิบเอาขวดแก้วทรงกลมออกมาจากใต้หมอน

เฟเรสดื่มยาลงไปตามความเคยชิน นัยน์ตาสีแดงเหม่อมองของเหลวสีทองที่กระฉอกไปมาอยู่ในขวดซึ่งเหลือน้อยจนแทบจะมองเห็นก้นขวดเสียแล้ว

ภายในวังเงียบสนิท เฟเรสรู้สึกราวกับได้ยินเสียงอะไรบางอย่างทิ่มแทงลงมาบนแผ่นหลังของตน

‘เด็กคนนั้นคงจะลืมคนอย่างข้าไปแล้วละมั้ง’

แต่แล้วเฟเรสก็ต้องส่ายศีรษะใบเล็กไปมา ทำให้ผมสีดำสนิทจึงสะบัดพลิ้วไหวไปมากลางอากาศด้วยเช่นกัน

“ไม่หรอก ไม่มีทาง”

เฟเรสโอบกอดขวดแก้วกลมมนใบเล็กไว้ในอ้อมกอดด้วยความหวงแหน ราวกับมันเป็นชีวิตของตัวเขาเอง

“ไม่มีทางลืมข้าแน่นอน”

เฟเรสหลับตาแน่น ขณะเดียวกันนึกถึงฟีเรนเทียขึ้นมา

ทั้งเรือนผมสีน้ำตาลที่พลิ้วไหวตามจังหวะสายลมอย่างอ่อนโยน

ทั้งนัยน์ตาสีเขียวดั่งใบไม้ในฤดูใบไม้ผลิ

ทั้งน้ำตาที่ไหลรินเพื่อเขา

ทันใดนั้นเฟเรสโอบกอดขวดแก้วใบกลมไว้แน่นด้วยความหวงแหนมากยิ่งกว่าเดิม

“ว้าว คนเยอะแยะเลย”

ก็คิดอยู่ว่าคฤหาสน์คงได้เสียงดังอึกทึกน่าดู แล้วมันก็เป็นแบบนั้นจริงๆ

“ปีนี้ดูคนจะเยอะมากเป็นพิเศษนะ”

หรืออาจจะเป็นเพราะเธอตัวเล็กลง เลยมองเห็นคนดูเยอะขึ้นก็เป็นได้

“เทีย! เอาเค้กมาด้วยแหละ!”

“ข้าเอาเครื่องดื่มมา!”

ท่านปู่อนุญาตให้พวกเธอเข้าร่วมงานเลี้ยงครั้งนี้เป็นกรณีพิเศษ ซึ่งบางทีอาจจะเกี่ยวกับการที่เบเลซักเข้าวังวันนี้ก็ได้ แต่ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลใดก็ตาม สำหรับเธอแล้วมันเป็นเรื่องที่ดีทีเดียว

งานที่ไม่มีเบเลซักอยู่ด้วย อาสทัลลีอูย่อมไม่โผล่หน้ามา ส่วนลาลาเน่เองก็เข้าวังไปพร้อมกันกับเบเลซัก

พวกลูกพี่ลูกน้องคนอื่นๆ เองก็อายุน้อยเกินกว่าจะมาร่วมงานเพียงลำพัง

สุดท้ายคนที่มาร่วมงานเลี้ยงพบปะนักเรียนทุนลอมบาร์เดียจึงมีแค่เธอกับสองแฝดเท่านั้น

“ขอบใจนะ”

หลังจากเรื่องเมื่อคราวก่อน สองแฝดก็เอาแต่เกาะติดเธอหนึบไม่ยอมแยกห่าง ถึงจะน่ารำคาญอยู่บ้าง แต่อย่างตอนนี้ก็ถือว่าพวกเขาช่วยให้เธอรู้สึกสบายขึ้นมากอยู่เหมือนกัน

แต่แล้วในจังหวะที่เธอใช้ช้อนส้อมตั้งใจจะตักเค้กเข้าปากผู้หญิงคนหนึ่งก็เดินผ่านหน้าโต๊ะที่พวกเธอกำลังนั่งอยู่ไป

อีกฝ่ายอายุประมาณสามสิบต้นๆ แต่ท่าก้าวเดินหลังตรงเปี่ยมไปด้วยความสง่านั่นจับสายตาเธอเอาไว้เสียอยู่หมัด

“เจอแล้ว”

ฟีเรนเทียยิ้มออกมา ลืมแม้กระทั่งเค้กที่กำลังจะเข้าปาก

นางกำนัลมากประสบการณ์ ผู้ซึ่งมีส่วนช่วยเหลือเจ้าชายเฟเรสจนกระทั่งขึ้นเป็นรัชทายาทในหลายๆ ด้าน

อีกทั้งเป็นคนที่สามารถคอยดูแลอยู่เคียงข้างกายเฟเรสที่ตอนนี้เหลือตัวคนเดียว และคอยช่วยให้การสนับสนุนอันแข็งแกร่งแก่เขาได้

ฟีเรนเทียเห็นนางกำนัลประจำวังจักรพรรดิ แคทเธอรีน บราวน์ จากไกลๆ