เล่มที่ 3 บทที่ 88 เรียกร้องความสนใจผิดที่

ข้ามเวลานางพญาแพทย์พิษ

เสียงเจ้าอารมณ์ดังขึ้นขัดบทสนทนาของทั้งสอง หลินเมิ้งหยาเงยหน้า ก่อนจะได้เห็นเด็กสาวสวมใส่ชุดสีเหลืองไข่ยืนอยู่

    เด็กสาวอายุเพียงสิบสี่สิบห้าปี บนผมติดดอกไม้หลายดอก

    ขนคิ้วคล้ายกับเยว่ถิง ทว่ากลับดูเป็นคนเจ้าอารมณ์

    เยว่ถิงรีบเข้าไปดึงตัวของน้องสาว ถลึงตาใส่นางหนึ่งครั้ง แต่ถึงกระนั้นแววตาก็ยังคงหลงเหลือร่องรอยของความรักและเอ็นดู

    “นี่คือน้องสาวของข้าเยว่ฉี เสี่ยวฉี หยาเอ๋อร์คือชายาของท่านอ๋องอวี้ อย่าได้เสียมารยาท”

    หลินเมิ้งหยามองสำรวจหญิงสาวตรงหน้า รูปร่างผอมบาง แต่หาใช่คนหัวอ่อนไม่

    นางมีความร่าเริงสดใสกว่าตนเองหลายเท่า แม้จะเป็นเด็กสาวเจ้าอารมณ์ แต่ถึงกระนั้นก็ไม่ได้ทำให้ผู้อื่นรู้สึกเกลียด

    “ท่านพี่เอ็นดูนางยิ่งกว่าข้ามาก ข้าเป็นน้องสาวของท่านนะ!”

    ที่แท้เด็กสาวโกรธเคืองเพราะหึงหวงพี่สาวตนเอง หลินเมิ้งหยาแอบยิ้ม เหตุเพราะเยว่ถิงเข้ามาพูดคุยกับตนเองอย่างสนิทสนม ดังนั้นเด็กคนนี้จึงไม่พอใจ

    “ไร้สาระ มานี่สิ พี่จะพูดกับเจ้าสักสองสามประโยค”

    เยว่ถิงหัวเราะเป็นเชิงขอโทษหลินเมิ้งหยา ก่อนจะดึงร่างของเยว่ถิงไปทางด้านหลัง

    ได้สดับรับฟังเพียงสองสามประโยค มิรู้ว่าเพราะเหตุใด จู่ๆ ขอบตาของเยว่ฉีพลันแดงก่ำ

    นางสาวเท้าเล็กๆ วิ่งเข้ามา ก่อนจะจับมือของหลินเมิ้งหยาพลางเอ่ยขอโทษ

    “ขอโทษเจ้าค่ะ ข้าไม่รู้เรื่องรู้ราวใดๆ เลย พี่หลินอย่าได้โกรธเคืองข้าเลยนะเจ้าคะ”

    บางทีเยว่ถิงอาจเล่าเรื่องราวของนางในสมัยก่อนให้เยว่ฉีฟัง

    ดังนั้นเด็กสาวผู้ไร้เดียงสาคนนี้จึงรู้สึกสงสารนางแล้วรีบรุดเข้ามายืนขอโทษขอโพย

    คนของสกุลเยว่ช่างแปลกประหลาดนัก หญิงสาวทั้งสองล้วนมีจิตใจโอบอ้อมอารี เมื่อเทียบกับหลินเมิ้งหวู่แล้ว นางร้ายกาจและไม่มีน้ำอดน้ำทน

    “ไม่หรอก อีกไม่นานพวกเราก็จะกลายเป็นครอบครัวเดียวกันแล้ว ดังนั้นควรจะทำความรู้จักกันไว้ ต่อจากนี้ไปพวกเราไปมาหาสู่กันบ่อยๆ ดีหรือไม่?”

    คำพูดของหลินเมิ้งหยาทำให้เยว่ฉีพยักหน้าลงอย่างเอาเป็นเอาตาย

    ทว่าหลังจากที่ได้เห็นใบหน้าเย็นชาของหลงเทียนอวี้ เยว่ฉีพลันส่ายหน้า ขยับเข้าไปใกล้หูของหลินเมิ้งหยาพลางกระซิบ

    “ท่านอ๋องของท่านแม้จะหล่อเหลา แต่เย็นชาเกินไป ข้าเกรงว่าหากไปแล้วจะต้องเอาชีวิตไปทิ้งที่นั่น”

    เด็กคนนี้น่ารักยิ่งนัก ร่าเริงแจ่มใส ถูกใจหลินเมิ้งหยาเหลือเกิน

    “ไม่หรอก ที่ตำหนักของข้ายังมีเด็กสาวอีกหลายคน หากพวกเจ้าได้เจอกันสักครั้งจะต้องชอบแน่ๆ”

    อุปนิสัยของเยว่ฉีคล้ายคลึงกับป๋ายจื่อไม่มีผิด

    แม้จะต้องสู้รบตบมือไม่เว้นวัน แต่ความไร้เดียงสาของป๋ายจื่อยังคงเหมือนเดิม

    หากจวนของนางมีเด็กสาวร่าเริงเช่นนี้อยู่ ชีวิตของนางคงมีสีสันมากขึ้น

    เยว่ถิงและเยว่ฉีอยู่คุยกับหลินเมิ้งหยาอีกสองสามประโยค สุดท้ายต้องจำใจเดินกลับไปยังที่นั่งของตนเอง

    เพิ่งสังเกตเห็นว่างานเลี้ยงเช่นนี้ไม่เหมาะแก่การทักทายผู้อาวุโส วันหน้านางจะต้องหาโอกาสไปเยี่ยมเยียนว่าที่พ่อตาแม่ยายของท่านพี่ให้ได้

    หลังจากดื่มเหล้าไปสามจอก บรรยากาศภายในงานครึกครื้นมากขึ้น

    เชิญนักร้องนักเต้นรำลงจากเวที งานเลี้ยงยังคงมีเรื่องสนุกรออยู่

    “ถวายคำนับไท่จื่อและฮองเฮาแห่งต้าจิ้น เสี่ยวหวังยังมีอีกหนึ่งเรื่องที่ต้องการขอร้อง หวังว่าทั้งสองท่านจะเมตตา”

    ฮ่องเต้หมิงถวายคำนับ อีกทั้งยังเอ่ยวาจาแสดงความเคารพอย่างหาที่สุดไม่ได้

    ไท่จื่อและฮองเฮาสบตากันเพื่อส่งสัญญาณผ่านทางสายตา ทว่าใบหน้ายังคงเสแสร้งแกล้งทำเป็นมิรู้เรื่อง

    “เชิญฮ่องเต้หมิงเอ่ยออกมาเถิด หากเปิ่นกงสามารถทำได้ เปิ่นกงจะทำอย่างสุดความสามารถ”

    “นี่คือองค์ชายเทียนเป่ย ปีนี้ถึงเวลาอันสมควรแก่การเลือกชายาแล้ว ดังนั้นเสี่ยวหวังอยากขอลูกสะใภ้จากต้าจิ้นเพื่อแต่งงานกับองค์ชายรัชทายาทของกระหม่อม”

    ทันทีที่สิ้นเสียงลง ฮูหยินที่มาร่วมงานล้วนมีสีหน้าท่าทางแตกต่างกันออกไป

    ส่วนใหญ่ล้วนรู้สึกเสียใจที่พาลูกสาวสุดที่รักของตนเองมาร่วมงานในวันนี้

    หากถูกเลือกแล้วละก็ จะต้องส่งตัวลูกของตนเองไปไกลถึงซีฟาน ชั่วชีวิตนี้จะได้เจอกันอีกหรือไม่ก็มิรู้ได้

    แต่มีบางครอบครัวที่รู้สึกกระตือรือร้นและอยากจะลองดู

    ถึงอย่างไรหูเทียนเป่ยก็มีใบหน้าหล่อเหลา อีกทั้งยังเป็นถึงองค์ชายรัชทายาท เขาจะได้ขึ้นครองซีฟานในอนาคตอย่างแน่นอน

    หากได้เป็นฮองเฮาก็นับว่าไม่เลว

    หลินเมิ้งหยากวาดสายตามอง ทว่านางกลับไม่เห็นแม้แต่เงาของหลินเมิ้งหวู่

    บางทีนางอาจจะไม่กล้าออกมา เหตุเพราะถูกตบจนหน้าบวมเป่งประหนึ่งหัวหมูก็มิปาน หากโผล่หน้าออกมาคงมิวายถูกหัวเราะเยาะ

    “โอ้? หากฮ่องเต้หมิงมีพระประสงค์เช่นนั้น เปิ่นกงก็เห็นดีเห็นงามด้วยเช่นกัน หญิงสาวแห่งต้าจิ้นล้วนเป็นคนดีมีคุณธรรม หากฮ่องเต้หมิงถูกพระทัยหญิงสาวคนใด ขอเพียงเอ่ยออกมาก็พอ”

    ทางด้านนั้นกำลังพูดตอบโต้อย่างออกรสออกชาติ ทว่าหลินเมิ้งหยากลับส่งสายตาเย็นชาไปทางสองแม่ลูกคู่นั้น

    ทั้งที่วางแผนเอาไว้ล่วงหน้าเรียบร้อยแล้ว แต่ตอนนี้กลับพูดจาประหนึ่งมิรู้สิ่งใดมาก่อน

    ทว่า ตอนนี้ซ่างกวนฉิงไม่อยู่ที่นี่ หลินเมิ้งหวู่เองก็เช่นเดียวกัน หากจู่ๆ ฮ่องเต้หมิงก็เอ่ยชื่อนางออกมา เกรงว่าจะกลายเป็นที่สังเกตเอาได้

    มิรู้ว่าละครฉากนี้จะเป็นเช่นไรต่อไป

    “เสี่ยวหวังเองก็คิดว่าหญิงสาวแห่งต้าจิ้นล้วนเป็นคนดี ดังนั้นจึงไม่รู้ว่าจะเลือกใคร ไม่ทราบว่าฮองเฮาจะช่วยกระหม่อมเลือกได้หรือไม่”

    จู่ๆ ฮองเฮาก็กระตุกยิ้ม ก่อนจะเอ่ย

    “ในเมื่อเป็นเช่นนั้นก็ให้หญิงสาวทุกคนแสดงความสามารถออกมา เหตุผลหลักเพื่อให้ฮ่องเต้หมิงเลือกชายาให้กับองค์ชาย เหตุผลรองเพื่อสร้างความบันเทิงแก่แขกผู้มาร่วมงาน ไม่ทราบว่าความเห็นนี้เป็นเช่นไร?”

    ข้อเสนอแนะของฮองเฮา หาได้มีใครกล้าขัดไม่

    ดังนั้น เหล่าหญิงสาวที่แต่งหน้าแต่งตัวงดงามจึงเดินตามขันทีออกไปด้านนอกตำหนักหยวนซาน

    หลินเมิ้งหยาหลุบตาต่ำ ครุ่นคิดถึงความสามารถพิเศษของหลินเมิ้งหวู่

    ซ่างกวนฉิงแต่งงานกับท่านพ่อนานกว่าสิบห้าปี ทว่ามีลูกสาวเพียงคนเดียว

    ดังนั้นนางจึงถูกดูแลเป็นอย่างดี แม่หลินเมิ้งหวู่จะมีอุปนิสัยร้ายกาจ ทว่าความสามารถในการดีดพิณของนางนับว่าเป็นเลิศ

    ดูเหมือนฮองเฮาจะไตร่ตรองเรื่องนี้เอาไว้แล้ว

    ผลปรากฏว่าขณะที่เหล่าคุณหนูออกไปเตรียมตัวด้านนอก ร่างของซ่างกวนฉิงพลันปรากฏอยู่ใจกลางตำหนัก

    ซ่างกวนฉิงเดินผ่านประตูเข้ามา มิได้ทำตัวเป็นจุดเด่นแต่อย่างใด

    ใบหน้าเย็นชา ทว่าสายตาหาได้มองทางหลินเมิ้งหยาไม่

    แต่นางกลับมองไปยังฮองเฮาและชายารองสกุลหยางด้วยความโกรธ

    หลินเมิ้งหยาหลุบตาต่ำแอบหัวเราะ ดูท่า หลินเมิ้งหวู่น่าจะได้รับบาดเจ็บไม่น้อยเลย สังเกตจากอารมณ์ของซ่างกวนฉิงแล้ว นางคงมิพึงพอใจกับการดูตัวของหลินเมิ้งหวู่ในคราวนี้

    ทว่าแขนเล็กๆ จะรั้งท่อนขาขนาดใหญ่เอาไว้ได้อย่างไร

    หญิงสาวแห่งต้าจิ้นล้วนถูกอาจารย์ของตนเองฝึกฝนมาเป็นอย่างดี

    แม้จะไม่ค่อยสนใจตำรับตำราเรียน ทว่าพวกนางล้วนมีพรสวรรค์ในการร้องรำทำเพลง

    หญิงสาวที่ออกมาแสดงสองสามคนแรก แม้การแสดงจะไร้ที่ติ ทว่าความสามารถก็ยังอยู่เพียงระดับปานกลางเท่านั้น

    ในที่สุดขันทีก็ประกาศชื่อของหลินเมิ้งหวู่ แขกในงานต่างพากันให้ความสนใจ

    เสียงบรรเลงเพลงชิงหยางดังขึ้น ร่างนวลอนงค์พลางกรีดกรายออกมาช้าๆ

    หลินเมิ้งหวู่สวมผ้าคลุมปิดบังใบหน้าเอาไว้ ดังนั้นใบหน้าของนางจึงเผยแต่เพียงดวงตาคู่สวยให้เห็นเท่านั้น

    รูปร่างอรชรอ้อนแอ้น ผมตรงยาวพลิ้วไหวตามการเคลื่อนไหว มือและนิ้วสอดประสานขยับขับขานเพลงอันไพเราะออกมาให้ทุกคนได้ยิน

    หลินเมิ้งหยาแอบพยักหน้า หญิงสาวในเมืองหลวงแห่งนี้มิมีใครดีดพิณได้ไพเราะอย่างหลินเมิ้งหวู่

    ยิ่งเสียงกลองดังระรัวมากขึ้น เท้าของหลินเมิ้งหวู่ก็ยิ่งขยับเร็วขึ้น

    ท่วงท่าพลิ้วไหวดั่งผีเสื้อกำลังโบยบิน แต่หลินเมิ้งหยาคาดไม่ถึงเลยว่าผีเสื้อตัวนี้กำลังจะบินไปทางเวที

    กรีดกรายเยื้องย่างบนเวทีทรงกลม ร่างบางดึงดูดสายตาผู้คนไปไม่น้อย

    ทว่า ณ จุดหนึ่งบนเวที มิรู้ว่าเกิดความผิดพลาดอันใด อยู่ๆ หลินเมิ้งหวู่พลันสะดุดล้มลง

    เสียงร้องเพราะความตื่นตระหนกของทุกคนดังขึ้น ร่างบางพลันตกลงจากเวที

    หลินเมิ้งหยาแอบแค่นหัวเราะเสียงเย็นในใจ หลินเมิ้งหวู่ตัวดี กล้าใช้วิธีนี้เรียกร้องความสนใจกระนั้นหรือ

    ตำแหน่งที่นางกำลังจะตกลงไปบังเอิญเป็นตำแหน่งที่นั่งของหลงเทียนอวี้พอดิบพอดี

    หากเป็นละครปกติทั่วไป หลงเทียนอวี้จะต้องพุ่งตัวเข้าไปช่วยสาวสวยนางนั้นอย่างแน่นอน

    ต่อให้เป็นคนแปลกหน้าตกลงมา ปฏิกิริยาแรกของคนทั่วไป ควรจะเป็นเข้าไปรับร่างของคนที่ร่วงลงจากเวที

    น่าเสียดาย ทัศนคติของคนทั่วไปมิอาจใช้ได้กับหลงเทียนอวี้

    มือของเขายังคงถือจอกเหล้า สีหน้าเย็นชาดุจน้ำแข็ง สายตามองดูหลินเมิ้งหวู่ร่วงหล่นลงมาตรงหน้าของตนเอง

    “ตุบ” เสียงดังขึ้น ร่างของหลินเมิ้งหวู่ร่วงหล่นกระทบพื้น

    ขณะเดียวกัน สีหน้าของทุกคนกลับกลายเป็นสนอกสนใจขึ้นมา

    เสียงพิณอันยอดเยี่ยมกลับกลายเป็นเรื่องน่าขำขันไปในพริบตา

    เสียงหัวเราะดังขึ้นสนั่น อีกเพียงนิดเดียวสีหน้าของฮองเฮาก็จะดำมิต่างจากก้นหม้อ

    “คุณหนูรองสกุลหลิน ท่านไม่เป็นไรใช่หรือไม่?”

    ขันทีคือผู้ที่ตั้งสติได้เป็นคนแรก เขารีบวิ่งเข้าไปพยุงร่างของหลินเมิ้งหวู่ขึ้นมา

    นางสะบัดมือของขันทีออกด้วยความเขินอายระคนโกรธเกรี้ยว หลินเมิ้งหวู่หันไปมองหลงเทียนอวี้ที่มิได้มีท่าทีใส่ใจแต่อย่างใด

    ทำไมกันนะ เพียงเพราะมีชายหนุ่มเข้าไปสนทนากับหลินเมิ้งหยา เขารีบร้อนจนแทบจะวิ่งเข้าไปไล่คนเหล่านั้น

    แต่นางตกลงต่อหน้าเขาอย่างน่าสงสาร ทว่าเขากลับไม่รู้สึกเห็นอกเห็นใจเลยแม้แต่น้อย

    ที่แท้ก็ต้องการเรียกร้องความสนใจเช่นนี้สินะ

    หลินเมิ้งหยาคลายความสงสัยในใจ ดูเหมือนหลินเมิ้งหวู่จะไม่รู้จักหลงเทียนอวี้เลยแม้แต่น้อย

    หากเป็นคนที่เขาไม่สนใจ หลงเทียนอวี้มักจะปฏิบัติด้วยอย่างเย็นชา

    ยิ่งไปกว่านั้น หลงเทียนอวี้ไม่มีทางวิ่งเข้าไปหาความวุ่นวายเพิ่มทั้งที่อยู่ในสถานการณ์เช่นนี้หรอก

    สมน้ำหน้า!

    หลินเมิ้งหยารู้สึกดีใจอย่างบอกไม่ถูก ทว่าใบหน้ากลับเสแสร้งแสดงความกังวล ส่ายหน้าก่อนจะเลื่อนสายตาไปชื่นชมฟู่จวินของตนเอง

    สายตาของหลงเทียนอวี้บังเอิญสบเข้ากับสายตาของนางพอดี

    “ทำได้ดีมาก!”

    หลงเทียนอวี้ผู้ฉลาดเฉลียวสามารถแกะข้อความผ่านสายตาได้อย่างง่ายดาย ก่อนจะส่งสัญญาณผ่านทางสายตาตอบกลับเพียงสี่คำ

    “นางหาเรื่องเอง”

    เมื่อได้รับข้อความผ่านทางสายตาของหลงเทียนอวี้ หัวใจของหลินเมิ้งหยายิ่งรู้สึกดีมากขึ้นหลายเท่าตัว

    แม้หลินเมิ้งหวู่จะแสดงละครฉากพลีกายถวายชีวิตได้อย่างแนบเนียน

    ทว่าเมื่อยู่ต่อหน้าหลงเทียนอวี้ ความเป็นไปได้กลับกลายเป็นศูนย์

    บรรยากาศแปรเปลี่ยนเป็นเย็นยะเยือก ไท่จื่อรีบลุกขึ้นยืนก่อนจะเสนอแนะ

    “หมู่โฮ้ว เอ๋อร์เฉินคิดว่าเราควรจะปล่อยให้องค์ชายรัชทายาทเป็นผู้เลือกชายาด้วยตนเองจะดีกว่า หากพระองค์เจอกับรักแรกพบ หมู่โฮ้วค่อยดำเนินการต่อดีหรือไม่?”

    เมื่อแผนการไม่สำเร็จ สุดท้ายจึงเปลี่ยนแผนกะทันหัน

    หลินเมิ้งหยาชำเลืองมองหลินเมิ้งหวู่ที่ถูกซ่างกวนฉิงพยุงกลับไปนั่ง ก่อนจะหันไปมององค์ชายรัชทายาทแห่งซีฟาน

    ไท่จื่อร้อนใจมากจนเกินไป มิเช่นนั้นคงไม่เกิดเหตุการณ์เช่นนี้ขึ้น

    ยับยั้งเสียงหัวเราะในหัวใจ ดูท่า แผนการในครั้งนี้คงจะไม่สำเร็จแล้ว