บทที่ 82

เมื่อถังหยินพาหยวนอู่และหยวนเปียวมาที่เมืองเฮิง ชายหนุ่มกลับยังไม่พาทั้งสองไปเข้าคุก หากแต่ขังพวกเขาเอาไว้ในจวนของตนแทน หลังจากนั้นก็ให้คนมาป่าวประกาศว่าพวกเขาจัดการกลุ่มโจรภูเขาได้แล้ว

ข่าวนี้ไม่อาจสร้างผลกระทบกับชาวบ้านทั่วไปได้ก็จริง แต่กับพ่อค้านั้นถือเป็นเรื่องที่ดีมาก เมื่อกลุ่มโจรถูกปราบลงไป พวกเขาก็ไม่ต้องกลัวเรื่องค่าผ่านทางอีก ด้วยเหตุนี้จึงทำให้พวกพ่อค้าทั้งหลายพากันมาที่จวนของถังหยินเพื่อแสดงความขอบคุณและมอบของขวัญมากมาย

ชายหนุ่มรับมันมาด้วยรอยยิ้ม เมื่อเห็นพวกพ่อค้าเหล่านี้ ถังหยินก็เริ่มวาดฝันถึงเขตปิงหยวนที่จะพัฒนาและดีขึ้นในอนาคต แน่นอนว่าจะเป็นเช่นนั้นจริงหรือไม่ก็คืออยู่กับความร่วมมือของผู้คนในเขตนี้แล้ว และในขณะที่เขากำลังมองฝูงชน ก็มีข้ารับใช้อายุ 20 วิ่งเข้ามาหาจากด้านนอก ก้มหัวทำความเคารพ ก่อนจะพูดว่า “ท่านถัง ฉางกวงหยวนจี้ต้องการพบท่าน ! ”

ได้ยินแบบนี้ชิวเจิ้นที่ยืนอยู่ข้าง ๆ ก็ยิ้มออกมาพร้อมกระซิบ “สุดท้ายแล้วหยวนจี้ก็เป็นฝ่ายที่ทนไม่ได้จนต้องมาหาเราเอง”

ถังหยินหัวเราะ เขามองพ่อค้าตรงหน้าด้วยรอยยิ้ม ก่อนจะพูดว่า “ข้าน้อมรับน้ำใจทุกท่าน แต่ถ้าใครไม่มีอะไรแล้วก็ขอเชิญพวกท่านกลับไปก่อนเถิด”

พวกพ่อค้าเองก็ฉลาด ดังนั้นแล้วพวกเขาจึงขอตัวและลาถังหยินกลับออกไปอย่างรวดเร็ว

หลังจากพวกเขาไปแล้ว ถังหยินก็บอกข้ารับใช้ให้พาหยวนจี้เข้ามา

ชายหนุ่มคิดว่าหยวนจี้นั้นเป็นตาลุงที่มากด้วยเล่ห์เหลี่ยม ทั้งยังจัดการยากเอาเรื่อง ทว่าเมื่อได้เห็นอีกฝ่าย ถังหยินก็พบว่าตนนั้นคิดผิดไปเยอะมากทีเดียว เพราะหยวนจี้นั้นอ่อนกว่าเขาตั้งหลายปี

หยวนจี้น่าจะมีอายุราว ๆ 30 ต้น ๆ เท่านั้น เขาสูง ลำตัวผอมบางซ่อนอยู่ในชุดสีขาว มีใบหน้าที่ขาวซีด คิ้วดกดำ ดวงตากลมโต ดั้งจมูกสูง และปากเหลี่ยม บอกได้เลยว่าหล่อเหลาเอาการทีเดียว !

ถังหยินมองสบตากับอีกฝ่ายโดยพร้อมเพรียงกัน

ด้วยความที่ถังหยินนั้นเป็นผู้ว่าเขตคนใหม่ หยวนจี้จึงไม่สนใจอะไรเขามากนัก พูดตรง ๆ ในบรรดาผู้ว่าทั้งหมดในอดีต ไม่มีใครเตะตาเขาเลยสักคน และสำหรับถังหยินที่หนุ่มกว่าผู้ว่าคนก่อน ๆ หยวนจี้ก็ยิ่งไม่ได้สนใจเข้าไปอีก

อย่างไรก็ตาม เขาก็ไม่คิดว่าผู้ว่าคนใหม่จะทำการทลายรังโจรได้สายฟ้าแลบขนาดนี้ ดังนั้นการมาในครั้งนี้ จึงไม่เพียงแค่กังวลเกี่ยวกับชีวิตของน้องชาย หากแต่ยังมาเพื่อสำรวจคนตรงหน้าอีกด้วย !

เขาถอนหายใจเมื่อเห็นถังหยิน

แม้จะทำหน้านิ่งแบบนี้ แต่ถ้าถังหยินยิ้มออกมา ต่อให้ไม่ได้ดูดีมีเสน่ห์ หรือหล่อเหลาอะไร ทว่าแค่เพียงร่องรอยความชั่วร้ายราวกับปีศาจตั้งแต่กำเนิดบนใบหน้าอีกฝ่าย มันก็ทำให้เขาไม่อาจถูกลืมเลือนได้แล้ว ! โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับดวงตาที่ดำทมิฬคู่นั้น ที่แค่เพียงจ้องมองก็สร้างความรู้สึกที่เยือกเย็นแล้ว !

ชายคนนี้ไม่ง่ายเลย ! ไม่ต้องบอกก็รู้ได้เลยว่าหยวนจี้ขนแขนลุกซู่ตั้งแต่แรกเห็นชายหนุ่ม

“เจ้าคือพี่ใหญ่ของพวกฉางกวงสินะ ข้าได้ยินเกี่ยวกับเจ้ามาเยอะทีเดียว” ถังหยินมองแล้วพูดด้วยรอยยิ้ม

คำพูดดูเป็นทางการ แต่แท้จริงแล้วไม่ได้เป็นแบบนั้น เพราะตลอดเวลาที่พูด ชายหนุ่มกลับเอาแต่นั่งอยู่บนเก้าอี้ เขาไม่ได้แม้แต่จะขยับไปไหนและให้อีกฝ่ายยืนอยู่อย่างงั้น ในมือถังหยินถือถ้วยชาเอาไว้และจิบมันโดยไม่ได้มองมาแม้แต่น้อย

“ฉางกวงหยวนจี้ ขอถวายความเคารพต่อท่านถัง” หยวนจี้ไม่ใส่ใจเรื่องท่าทีของอีกฝ่าย เขาประกบมือเข้าหากันและโค้งตัวลง

ปกติแล้วถังหยินมักจะชวนแขกให้นั่งเก้าอี้ แต่ครั้งนี้เขาไม่ได้ทำแบบนั้น ชายหนุ่มวางแก้วชาลง ก่อนจะจ้องมองอีกฝ่ายและหัวเราะออกมา “พวกฉางกวงดูท่าจะยุ่ง ๆ กันทุกคนเลย ข้าละสงสัยเสียจริงว่าทำไมวันนี้เจ้าถึงได้มาที่นี่ได้ทั้ง ๆ ที่ไม่น่าจะว่างแท้ ๆ ? ”

เมื่อเห็นว่าถังหยินแอบจิกกัดเบา ๆ หยวนจี้ก็หัวเราะอย่างขมขื่น เขาไม่คิดว่าอีกฝ่ายจะหยิบเรื่องนั้นมาพูด

หยวนจี้แอบรู้สึกผิดหวังเล็กน้อย แต่ก่อนที่จะพูด ถังหยินกลับชิงตัดบทขึ้นมาเสียก่อน “นั่งลงก่อนสิ ข้าเข้าใจดี คนเราก็เป็นเช่นนี้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับพวกข้ารับใช้ พวกเขาชอบก้าวไปข้างหน้าเพียงอย่างเดียว ไม่คิดที่จะก้าวถอยหลัง นั่นแหละคือวิถี ข้าเห็นสิ่งเหล่านี้มานานแล้ว”

เมื่อได้ยินแบบนั้น สีหน้าของหยวนจี้ก็เริ่มบิดเบี้ยวทันที

ถังหยินเป็นคนที่ยโสโอหัง แต่เขาเองก็เป็นแบบเดียวกัน ถ้าต่างคนต่างอยู่คงไม่มีปัญหาอะไร ทว่าถังหยินกลับจับตัวน้องชายทั้งสองเอาไว้ ดังนั้นหยวนจี้จึงไม่มีทางเลือกอื่นใดมากนัก

เมื่อเห็นว่าบรรยากาศเริ่มกดดัน ชิวเจิ้นก็เข้ามาพูดให้มันผ่อนคลายขึ้น “พวกฉางกวงนั้นมีแต่คนที่คนที่เก่งกาจ ทำให้พวกเขามัวแต่ยุ่งอยู่กับการงานทั้งวัน แต่วันนี้ที่มาได้เพราะมีเหตุผลบางอย่างสินะ ? ”

หยวนจี้เพิ่งจะรู้ตัวว่าชิวเจิ้นอยู่ด้วย ชุดของเด็กหนุ่มไม่ได้มีอะไรที่เป็นพิเศษ จึงไม่ได้ทำให้เป็นจุดสนใจมากนัก

“ท่านคือ…”

“ข้าคือชิวเจิ้น” เด็กหนุ่มตอบ

“อ้อ สหายชิวนี่เอง” หยวนจี้ก้มหัวให้อย่างสุภาพแล้วพูดกับถังหยิน “ท่านถัง ข้ามาเพื่อปรึกษาบางอย่าง”

“พูดมา”

“ข้ามาเพื่อน้องของข้าทั้งสอง ! ” หยวนจี้เป็นคนที่เย่อหยิ่ง แต่เมื่อน้องชายของเขาตกอยู่ในอันตราย เขาก็ยอมที่จะลดตัวเองลงมา “หยวนอู่กับหยวนเปียวนั้นไม่ใช่คนเลวทรามอะไร พวกเขาแค่โหดเหี้ยมไปบ้างเท่านั้น ข้าหวังว่าท่านถังจะไม่เอาความ”

“โฮ่ เจ้าจะบอกว่าทำเพื่อข้างั้นหรือ ? ข้าไม่เข้าใจจริง ๆ เลย เจ้าช่วยอธิบายให้ข้าฟังหน่อยจะได้หรือไม่ ? ”

“ได้โปรดถามมาเลยท่านถัง”

“ข้าเองก็ไม่ติดใจอะไรหรอก แต่น้องของเจ้าทำเกินไปหน่อย พวกเขาเข้าขวางทางสัญจรไปมาแบบนี้ มันทำให้ข้าไม่เข้าใจจริง ๆ ว่าเจ้านั้นไม่เคยคิดสั่งสอนน้องเจ้าบ้างหรือยังไง ? ”

“ท่านถังอาจจะไม่รู้ แต่ไม่ใช่ว่าข้าไม่สนใจพวกเขา พวกเขาแค่ไม่สนใจคำตักเตือนของข้าก็เท่านั้น…”

ถังหยินพูดตัดบทเขา “ในเมื่อเจ้าไม่สามารถหยุดน้องของพวกเจ้าได้ แล้วจะให้ข้าปล่อยพวกเขากลับไปก่อกวนชาวบ้านต่องั้นหรือ ? ”

เมื่อได้ยินคำดังกล่าว หยวนจี้เองก็พูดไม่ออกเช่นกัน

ถังหยินแอบขำในใจแล้วพูดออกมา “น้องชายเจ้ามันป่าเถื่อนและไร้เหตุผล เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดเหตุร้ายในอนาคต พรุ่งนี้ตอนเที่ยงข้าจะแขวนคอพวกมันเพื่อไม่ให้คนเอาเป็นเยี่ยงอย่าง เป็นเพราะข้าจดจำสิ่งที่เจ้าทำให้กับกองทัพและบ้านเมืองไว้จึงไม่คิดเอาความเจ้าด้วย แต่อย่าได้ขอร้องให้อภัยแก่น้องเจ้าเลย ! ”

ไม่ว่าหยวนอู่และหยวนเปียวจะทำตัวแบบไหนก็ตาม แต่เขาก็ยังเป็นน้องชายแท้ ๆ ร่วมสายเลือด แล้วจะให้หยวนจี้ทิ้งพวกเขาไปงั้นหรือ ?

เมื่อได้ยินถังหยินพูดมาแบบนั้น หยวนจี้ก็เริ่มตื่นตระหนก เขารีบพูดขึ้นอย่างร้อนรนว่า “ข้ายินดีมอบอาหารให้กองทัพโดยไม่หวังสิ่งตอบแทน และตอนนี้ข้าก็หวังให้ท่านถังปล่อยน้องชายของข้าเถิด ถ้าพวกเขาคิดจะไปเป็นโจรอีกครั้ง ข้าจะเป็นคนไปลากคอพวกเขามาส่งท่านถังเอง ! ”

ชายหนุ่มขมวดคิ้วและมีสีหน้าที่กำลังครุ่นคิด

ราวกับกลัวว่าคำพูดดังกล่าวจะยังไม่สามารถซื้อใจชายตรงหน้าได้ หยวนจี้จึงรีบพูดสำทับไปอีกว่า “ถ้าท่านถังไม่เชื่อใจข้า ข้าสามารถเขียนใบสัญญาตอนนี้เลยก็ได้ และเมื่อวันนั้นมาถึง ต่อให้ท่านถังจะทำยังไงกับข้า ข้าก็จะไม่บ่นปริปากบ่นเลยแม้แต่คำเดียว ! ”

“ฮ่าๆ” ถังหยินหัวเราะและลุกขึ้นเดิน

มันเป็นเรื่องที่แปลกมากที่เขาคิดจะพิจารณาคำขอของหยวนจี้

อีกฝ่ายไม่ได้พูดอะไรต่อ แต่สายตาของเขาจ้องมองไปที่ถังหยินด้วยหัวใจที่จุกแน่นขึ้นอก ชีวิตของน้องชายทั้งสองนั้นขึ้นอยู่กับประโยคต่อไปของถังหยินแล้ว

ผ่านไปสักพัก ชายหนุ่มก็หยุดและเดินกลับมายิ้มให้ “เจ้าก็จริงจังเกินไปแล้ว ข้าเชื่อในตัวเจ้า ทว่าการที่ข้าจะปล่อยตัวน้องของเจ้าได้นั้น …มันต้องมีข้อแลกเปลี่ยน”

ข้อแลกเปลี่ยน ? หยวนจี้ตะลึง และเริ่มเข้าใจแล้วว่าถังหยินน่าจะหวังแค่เรื่องเงินไม่ต่างจากคนอื่น

“วางใจเถิดแม่ทัพถัง ข้าจะทดแทนคุณของท่านแน่นอน ตราบเท่าที่ท่านปล่อยพวกเขา ข้ายอมทุกอย่าง ไม่ว่าท่านจะร้องขออะไรก็ตาม”

“แน่นอนอยู่แล้ว” ถังหยินยิ้มและเดินมาหาหยวนจี้ “ข้ามีแผนที่จะพัฒนาปิงหยวนด้วยการเพิ่มตัวข้าราชการท้องถิ่นสัก 2 คน คนแรกให้จัดการเรื่องกิจการทหาร และอีกคนจะช่วยข้าในด้านการเมืองการปกครอง” เขาชี้ไปยังชิวเจิ้น “ชิวเจิ้นเป็นนักวางแผนที่ดี และงานของเขาก็คือการดูแลกองทัพ ทว่าข้านั้นก็ยังนึกไม่ออกว่าจะให้ใครมาคุมงานด้านการเมืองดี”

ในจุดนี้เขาหยุดก่อน และไม่ได้พูดอะไรต่อ

ชิวเจิ้นและหยวนจี้ต่างหันมองถังหยินอย่างงุนงง ชิวเจิ้นไม่คิดว่าเขาจะได้รับตำแหน่งรองแม่ทัพ ส่วนอีกคนก็ไม่เข้าใจว่าทำไมถังหยินถึงพูดอะไรแบบนี้ออกมา

“ท่านถังหมายความว่า…”

“ข้าคิดว่า ตำแหน่งรองผู้ว่านั้นดูจะเหมาะกับเจ้าดีนะ ! ” ถังหยินยิ้มจนตาหยีขึ้น