บทที่ 157 ทงเป่าไจ + บทที่ 158 สถานการณ์ Ink Stone_Romance
บทที่ 157 ทงเป่าไจ
ก่อนหน้านี้เซียวฉีเทียนได้สืบเรื่องตัวตนอันลึกลับของหนิงเมิ่งเหยา พอได้ฟังที่นางกล่าว เขาก็ยืนยันสิ่งที่ตนคาดการณ์ไว้ ในเมื่อเรื่องเป็นเช่นนี้ ฮ่องเต้อาจจะเป็นฝ่ายได้เปรียบ
หนิงเมิ่งเหยาหันมาทางเซียวฉีเทียน นางเอ่ยเสียงแผ่วเบา “เซียวฉีเทียน เจ้าหยุดพินิจพิจารณาข้าขนาดนั้นได้แล้ว”
เซียวฉีเทียนตกใจเล็กน้อย สายตามองยังหนิงเมิ่งเหยา แล้วหัวเราะ “ไม่มีอะไรหรอก ข้าเพียงคิดว่าเทียนช่างแต่งงานได้ภรรยาเช่นไรมา”
“อีกไม่นานเจ้าก็จะได้รู้” หนิงเมิ่งเหยาเลิกคิ้ว กล่าวหน้าตาเฉย
เซียวฉีเทียนเหลือบมองนางและยิ้ม “เช่นนั้นข้าก็จะรอดู”
หลังกล่าวเตือนเฉียวเทียนช่างเสร็จ เซียวฉีเทียนไปที่อื่นต่อเพื่อกลบเกลื่อนร่องรอยจากหมู่บ้านไป๋ซาน ในเมื่อเขามีธุรกิจการค้าอยู่ที่นี่ จะมาตรวจสอบย่อมไม่ใช่เรื่องผิดอะไรมิใช่หรือ
เมื่อเซียวฉีเทียนจากไป หนิงเมิ่งเหยาคิดจะคุยเรื่องความเป็นมาของตนกับเฉียวเทียนช่าง
นางหยิบเอาป้ายหยกที่นางเก็บไว้ออกมาให้เฉียวเทียนช่างดู “เจ้ารู้หรือไม่ว่านี่หมายถึงอะไร”
เฉียวเทียนช่างมองยังป้ายนั้น มีตัวอักษร ‘ทง’ สลักอยู่
“ทงเป่าไจ”
“ถูกต้อง ป้ายนี้แสดงถึงเจ้าของที่แท้จริงของทงเป่าไจ” หนิงเมิ่งเหยาผงกศีรษะลง
เฉียวเทียนช่างอึ้งไป นางคือเจ้าของทงเป่าไจอย่างนั้นหรือ
ทงเป่าไจโผล่ขึ้นมาเป็นครั้งแรกเมื่อเจ็ดปีก่อน ที่นั่นทำสิ่งต่างๆ มากมาย คนสามารถซื้อข้อมูลและทำธุรกิจกับที่นั่นได้
ทงเป่าไจเป็นมากกว่าธุรกิจที่มีลักษณะเฉพาะตัว ชื่อนี้เป็นชื่อเรียกของกลุ่ม เบื้องหลังธุรกิจนี้มีการแลกเปลี่ยนทุกรูปแบบ
ร้านข้าว ร้านเสื้อผ้าเย็บสำเร็จรูป ร้านชา ร้านเครื่องกระเบื้อง ร้านอาหารและอื่นๆ ที่นี่ทำทุกอย่างที่ใครจะคิดขึ้นได้ เป็นธุรกิจที่แผ่ขยายไปทั่วแผ่นดินใหญ่
ได้มารู้ว่าเจ้าของผู้อยู่เบื้องหลังธุรกิจนี้คือคู่หมั้นของเขาเอง ช่างเป็นเรื่องประหลาดใจยิ่งนัก
“เทียนช่าง ข้าบอกเจ้าเรื่องนี้เพราะข้าไม่อยากให้เจ้าคิดเพ้อไกล ข้าสร้างธุรกิจนี้ขึ้นมาเพื่อหลิงหลัว ตอนนั้นข้าคิดว่าตราบที่ข้าอยู่บนยอดสูงสุด ข้าก็จะคู่ควรกับเขา แต่แล้วข้าก็โดนความเป็นจริงตบหน้า” หนิงเมิ่งเหยาหัวเราะเยาะตัวเอง
เฉียวเทียนช่างรั้งตัวหนิงเมิ่งเหยาเข้ามาโอบกอด พลางเลิกคิ้ว “ถ้าเจ้าอยู่กับเขา ข้าก็ต้องจมกองน้ำตาตัวเองน่ะสิ”
ได้ยินเช่นนั้นหนิงเมิ่งเหยาก็กลั้นยิ้มไม่อยู่ “เจ้าก็ช่างกล้าพูดออกมา”
“ทำไมจะไม่กล้าเล่า เหยาเหยา ข้าไม่สนอดีตของเจ้า ข้าอยากจะเป็นส่วนหนึ่งในอนาคตของเจ้า” นางมากความสามารถนัก ผิดที่หลิงหลัวเองที่ไม่รู้คุณค่านาง เฉียวเทียนช่างรู้สึกภาคภูมิใจในสายตาของตนที่ทำให้เขามีหนิงเมิ่งเหยาอยู่เคียงข้าง นางไม่เพียงมีความสามารถแต่ยังเป็นสตรีผู้มั่งคั่ง
เขาลดศีรษะลงซบกับไหล่หนิงเมิ่งเหยา แล้วขยับศีรษะเบียดชิดกับนางอย่างนุ่มนวล “เหยาเหยา ต่อจากนี้ไปช่วยดูแลข้าด้วยนะ”
“แน่นอนอยู่แล้ว ถ้าเจ้าเต็มใจ” นางแย้มยิ้มพร้อมลูบแก้มเขา
แม่ทัพมาพูดว่าเขาอยากให้นางดูแลเขาเช่นนี้ ถึงคนอื่นที่ได้ยินจะหัวเราะ เขาก็ไม่หวั่นไหว
“ถ้าหลิงหลัวรู้เกี่ยวกับตัวตนที่แท้จริงของเจ้า เขาจะต้องเสียใจในสิ่งที่เขาทำแน่” เฉียวเทียนช่างพูดอย่างสุขใจ
นางกลอกตาใส่เขาแล้วกล่าว “แล้วถ้าเขาเสียใจ แล้วจะทำไม”
หนิงเมิ่งเหยายักคิ้วแล้วครุ่นคิด จริงอยู่ว่าชายผู้นั้นคงเสียใจ แต่ไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกับความสัมพันธ์ของทั้งสองเลยสักนิดเดียว
เฉียวเทียนช่างผงกศีรษะอย่างหนักแน่น “ถูกแล้ว เจ้าพูดถูก ไม่เห็นมีอะไรเกี่ยวกับเราสองคน”
“เป็นเช่นนั้น แต่ข้าก็ยังชอบชีวิตที่นี่” หนิงเมิ่งเหยาไหวไหล่ นางไม่ได้ชอบชีวิตร่ำรวย นางทำธุรกิจเหล่านั้นเพียงเพื่อให้อยู่รอดผ่านพ้นชีวิตยากลำบากแต่ละวัน กับเพื่อหลิงหลัว อนิจจาทุกอย่างกลับสูญเปล่า
ในสายตานาง ต่อให้นางไม่มีความสำเร็จเหล่านี้ เฉียวเทียนช่างผู้เป็นแม่ทัพก็คงไม่ทอดทิ้งนาง
“ถ้าในอนาคตมีสงคราม เจ้าไม่ต้องกังวลเรื่องอาวุธเลย” หนิงเมิ่งเหยาบอกเฉียวเทียนช่างน้ำเสียงจริงจัง
แม้นางจะได้ทราบข้อมูลมาว่าจะไม่มีสงครามไปอีกหลายปี แต่ก็ไม่มีใครรู้ได้อย่างแท้จริงว่าอะไรจะเกิดขึ้นบ้าง
ตอนนี้นางอยู่เมืองเซียว ฮ่องเต้แห่งเมืองหลิงถึงวัยกลางคนแล้ว ฮ่องเต้องค์อื่นเองก็มีอายุ ฮ่องเต้แห่งเมืองหลิงยังเป็นคนทะเยอทะยาน ในท้ายที่สุดแล้วเขาอาจเกิดคิดอยากเริ่มสงคราม เพราะฮ่องเต้แห่งเมืองหลิงเองก็ปรารถนาอยากยึดเมืองเซียวมาตลอด
บทที่ 158 สถานการณ์
เฉียวเทียนช่างตาโตจ้องมองหนิงเมิ่งเหยา “เจ้าพูดถึงอะไรกัน”
“เจ้ารู้หรือเปล่าว่าฮ่องเต้แห่งเมืองหลิงเป็นคนเช่นไร” หนิงเมิ่งเหยาถามเฉียวเทียนช่างอย่างเคร่งเครียด
“เขาเป็นชายที่มักใหญ่ใฝ่สูงแต่ไร้ความสามารถ” เฉียวเทียนช่างแสดงความรังเกียจ
หนิงเมิ่งเหยาผงกศีรษะ “เจ้าพูดถูกแล้ว แต่ซื่อจื่อของเขาไม่ใช่คนธรรมดา ถ้าพวกเขาคิดจะก่อสงครามจริง เป้าหมายแรกของพวกเขาคงไม่พ้นเมืองเซียว อีกอย่าง เฉียวเจิ้งหงโดนลดขั้นไปแล้ว ถ้าพวกเขาใช้ประโยชน์จากเรื่องนี้…”
ถ้อยคำนางแจ่มชัด เฉียวเทียนช่างเองก็เข้าใจ เขาหรี่ตาเล็กน้อยเมื่อนึกถึงบางอย่างขึ้นมาในใจ
จากนั้นชายหนุ่มก็มองลงยังหนิงเมิ่งเหยาพร้อมถาม “เหยาเหยา เจ้าช่วยอะไรข้าหน่อยได้หรือไม่”
“เจ้าว่ามาสิ”
“ช่วยข้าสืบเรื่องการเคลื่อนไหวในเมืองรอบๆ ถึงแม้ฮ่องเต้คงจะทรงจัดการสืบเรื่องนี้เองด้วยเช่นกัน แต่ข้าคิดว่าคงไม่มีข้อมูลละเอียดเท่าทงเป่าไจของเจ้าหรอก” ทงเป่าไจกระจายตัวอยู่ทั่วทุกเมือง นางได้ข้อมูลโดยไม่ต้องตั้งใจสืบเรื่องใดเรื่องหนึ่งด้วยซ้ำ ดังนั้นไม่ต้องพูดถึงข้อมูลที่นางจะได้มาถ้าให้มีการสืบหาอย่างจริงจัง นอกจากนี้ ทงเป่าไจเป็นพื้นที่สำหรับซื้อขายข้อมูลใต้ดิน
หนิงเมิ่งเหยาพิจารณาครู่หนึ่งแล้วผงกศีรษะ “ตกลง ข้าหาข้อมูลมาให้เจ้าได้ง่ายๆ อยู่แล้ว”
ห้าวันให้หลัง หนิงเมิ่งเหยาหอบตั้งกระดาษมาให้เฉียวเทียนช่างด้วยสีหน้าจริงจัง “เทียนช่าง เจ้าลองดูนี่สิ”
เฉียวเทียนช่างหยิบกระดาษมาดู ยิ่งอ่านยิ่งตกตะลึง หลายเมืองเริ่มมีการเคลื่อนไหวอย่างลับๆ แล้ว ในสายตาพวกเขา เมืองเซียวเพิ่งผ่านสงครามมาไม่นาน ท้องพระคลังย่อมว่างเปล่าและไม่อาจสนับสนุนสงครามครั้งใหญ่ไหว เมืองเหล่านั้นจึงคิดจะฉวยโอกาสโจมตีเมืองเซียว
“เป็นอย่างนี้ไปได้อย่างไร” หลายปีที่ผ่านมา เฉียวเทียนช่างไม่เคยสงสัยราชสำนัก ข่าวคราวมากมายถูกขัดขวางไม่ให้แพร่กระจาย เขาจึงประหลาดใจกับสิ่งที่กำลังอ่านอยู่ ณ ขณะนี้
นางเอื้อมมือไปลูบไหล่เฉียวเทียนช่าง แล้วพูดด้วยความกังวล “เทียนช่าง เจ้า…”
“ข้าไม่เป็นอะไร ที่จริงแล้ว ท้องพระคลังของเมืองเซียวก็มีเพียงพอ เจ้ารู้ใช่หรือไม่ว่าฉีเทียนเป็นยอดหัวการค้าพอเป็นเรื่องค้าขาย แล้วระยะหลังมานี้เขาก็ทำเงินได้มากมาย สองในสามของเงินที่เขาหามาได้ก็บริจาคให้ท้องพระคลัง แล้วเขาก็ยังหาเงินได้อีกมากโขจากการร่วมงานกับเจ้า” เฉียวเทียนช่างยิ้ม เมืองเซียวเตรียมตัวพร้อมมาโดยตลอด ที่แห่งนี้เคยไม่เป็นเช่นนั้นด้วยหรือ
เมื่อได้ยินเขาบอกเช่นนั้น หนิงเมิ่งเหยาก็โล่งใจ ทว่าพอมองยังข้อมูลที่เขาถืออยู่ นางก็ถาม “เอ่อ…เจ้าอยากจะส่งข้อมูลพวกนี้ไปหรือไม่”
“ใช่ ได้ใช่ไหม”
“ถ้าเช่นนั้น เจ้าก็จะ…”
“ข้าเกรงว่าเซียวฉีเทียนคงสืบเรื่องของข้าไว้แล้ว อีกอย่าง ข้ายังเป็นคู่หมั้นของเจ้าด้วย ข้าจะแต่งงานกับเจ้าไม่ช้าก็เร็ว ในสายตาเขา พวกเราอยู่แนวหน้า ดังนั้นจะให้พวกเขารู้ก็ไม่เป็นปัญหาแต่อย่างใด ถ้าเกิดอะไรขึ้น ข้าก็จะช่วยได้” ตราบใดที่ยังไม่เกิดสงคราม ทุกอย่างย่อมไม่เป็นอะไร ถ้ามีสงครามและทงเป่าไจถอนตัวออกจากเมืองอื่น สภาพเศรษฐกิจของที่นี่ก็จะอยู่ได้อีกไม่นาน
จะเกิดอะไรขึ้นถ้าสภาพเศรษฐกิจของเมืองเกิดคลอนแคลน ใครที่มีหัวคิดย่อมตอบได้
“เหยาเหยา เรื่องนี้สำคัญนัก ข้าจำต้องเดินทางกลับไป” เขาไม่อาจไว้ใจให้คนอื่นจัดการเรื่องนี้แทน เขาจะต้องเป็นคนลงมือเอง
หนิงเมิ่งเหยาครุ่นคิดก่อนจะผงกศีรษะ “เจ้าไปเถอะ แต่ระวังตัวด้วย”
“เจ้าอย่าห่วงเลย”
ก่อนเฉียวเทียนช่างจะออกเดินทาง หนิงเมิ่งเหยาแต่งหน้าให้คนจำหน้าเขาไม่ได้
เมื่อเฉียวเทียนช่างไปแล้ว หนิงเมิ่งเหยาถอนหายใจเฮือกใหญ่ ดวงตานางอัดแน่นด้วยความขื่นขม เดิมนางอยากจะอยู่ให้ห่างปัญหานี้ แต่ดูท่าจะเป็นไปไม่ได้เสียแล้ว ทว่านางก็ไม่ได้เสียใจที่เลือกเช่นนี้
หลังจากกลับมายังเมืองหลวง เฉียวเทียนช่างลอบเข้าไปในวังหลวงเพื่อพบกับเซียวชวี่เฟิง
เมื่อเห็นเฉียวเทียนช่าง พระองค์ก็ตื่นเต้นยินดี “เจ้ากลับมาแล้ว”
“ฝ่าบาท”
“ลุกขึ้น เจ้าไม่ต้องมีพิธีรีตองนักหรอก” เซียวชวี่เฟิงรีบผละออกมาจากตั่งแล้วช่วยเฉียวเทียนช่างลุกขึ้น เห็นได้ชัดในใจเขาให้ความสำคัญต่อเฉียวเทียนช่างเพียงใด
เมื่อเฉียวเทียนช่างลุกขึ้นยืน เขาหยิบเอาตั้งกระดาษออกมาแล้วเอ่ยน้ำเสียงเคร่งเครียด “พระองค์จะต้องรีบดูสิ่งนี้”
เซียวชวี่เฟิงหยิบกระดาษตั้งนั้นไปด้วยความสงสัย ครั้นอ่านเสร็จ ใบหน้าเขาซีดขาวในทันใด ดวงตาแข็งกร้าวมองยังเฉียวเทียนช่าง “เทียนช่าง เจ้าไปได้สิ่งนี้มาได้เช่นไร”
“เหยาเหยาช่วยข้ารวบรวมข้อมูลพ่ะย่ะค่ะ” เฉียวเทียนช่างตอบตามตรง
“หนิงเมิ่งเหยาน่ะรึ”
“พ่ะย่ะค่ะ นางเป็นเจ้าของทงเป่าไจ นางบอกข้าว่าถ้าสงครามอุบัติ ข้าไม่ต้องห่วงเรื่องอาวุธ ทำให้ข้าสงสัยแล้วถามถึงตัวตนแท้จริงของนาง สุดท้ายข้าจึงขอให้นางช่วยสืบข้อมูลให้ข้า และที่เห็นนี้คือผลของการสืบนั้น”