บทที่ 85 จักรพรรดิผู้เหมือนต้นไม้ร่วงโรย

ทะลุมิติมาเปิดร้านอาหารอยู่ต่างโลก: GOURMET OF ANOTHER WORLD

“ภารกิจฉุกเฉินรึ”

ใบหน้าของปู้ฟางเปลี่ยนเป็นประหลาดใจขณะฟังเสียงของระบบที่ดังอยู่ในศีรษะ ครั้งนี้ภารกิจฉุกเฉินเกิดขึ้นเร็วกว่าที่คิดเอาไว้ เพิ่งได้เลื่อนระดับก็ได้รับมาหนึ่งอย่างเสียแล้ว

“ให้ออกไปเก็บเกี่ยววัตถุดิบเป็นครั้งแรก… แถมให้เวลาเตรียมตัวเพียงวันเดียวด้วย” ปู้ฟางขมวดคิ้ว “วันเดียวจะไม่ฉุกละหุกเกินไปหรือ”

“ระบบ หากข้าไปตามหาวัตถุดิบที่ดินแดนป่ารกชัฏ แล้วร้านจะทำอย่างไรเล่า เราจะปิดร้านกันรึ” ชายหนุ่มถามด้วยความงุนงง

“นายท่านมีเวลาเพียงสองวันในการเก็บวัตถุดิบมาให้ครบ หากท่านเก็บวัตถุดิบที่เหมาะสมมาไม่ได้ภายในสองวัน ระบบจะถือว่าภารกิจฉุกเฉินนี้ไม่สำเร็จผล และสัดส่วนการแปลงหน่วยผลึกจะลดลงร้อยละสิบเพื่อเป็นการลงโทษ ภายในสองวันนี้ร้านจะปิดชั่วคราว” ระบบพูดด้วยน้ำเสียงห่างเหินเป็นปกติ

ชายหนุ่มพยักหน้า เขาเริ่มเข้าใจธรรมชาติของภารกิจฉุกเฉินแล้ว แต่สิ่งที่ทำให้กระวนกระวายมากกว่าคือหากทำไม่สำเร็จจะถูกหักสัดส่วนการแปลงหน่วยไปร้อยละสิบ… นี่ไม่ต่างอะไรกับการเฉือนเนื้อออกจากหัวใจของเขาเลยแม้แต่น้อย

สัดส่วนการแปลงหน่วยนี้จำเป็นต่อการเลื่อนระดับของเขาเป็นอย่างมาก กว่าจะเพิ่มให้ถึงร้อยละห้าสิบไม่ใช่เรื่องง่าย หากถูกลดลงไปร้อยละสิบจากการทำภารกิจไม่สำเร็จ เขาคงนอนร้องไห้ปวดใจทุกคืนแน่

หลังจากที่หาวหวอดใหญ่ ชายหนุ่มก็เดินเข้าห้องนอนไปทิ้งตัวลงบนเตียง ผ่านไปสักพักเสียงหายใจสม่ำเสมอก็ดังก้องอยู่ในห้องที่ชั้นสองของร้าน

ณ วังขององค์ชายรัชทายาท

สีหน้าขององค์ชายรัชทายาทมืดมนเป็นอย่างมาก เขากำหมัดแน่นจนเล็บจิกเข้าไปในฝ่ามือ ดูก็รู้ว่าองค์ชายรัชทายาทกำลังบันดาลโทสะมากในตอนนี้

“จีเฉิงอวี่… เจ้าบังอาจสมคบคิดกับสำนักนอกอาณาจักรเลยรึ! เจ้ารนหาที่ตายแล้ว!” สีหน้าของจีเฉิงอันซีดเผือด ขณะมองไปที่ศพแห้งกรังของซูฉี ดวงตาเต็มไปด้วยความโศกเศร้าที่ปิดไว้ไม่มิด

ซูฉีตามรับใช้เขามาหลายต่อหลายปี และจัดเป็นบริวารที่เก่งกล้าสามารถมากที่สุด แต่ตอนนี้กลับต้องมาจบชีวิตลงด้วยแผนชั่วของจีเฉิงอวี่ แม้องค์ชายรัชทายาทจะไม่มีหลักฐานพิสูจน์ว่าอวี่อ๋องสมคบคิดกับสำนักนอกอาณาจักรจริง แต่คนปกติที่พอมีสมองคิดอยู่บ้างก็คงพอมองออกว่าอวี่อ๋องนี่ละคือคนร้ายตัวจริง

“จีเฉิงอวี่… ถึงเจ้าจะโอหังชอบอวดอ้างว่าตนเองไม่เคยทำพลาด แต่ครั้งนี้ละคือความผิดพลาดครั้งใหญ่ของเจ้า หากแม้แต่ข้ายังมองออกว่าเจ้าสมคบคิดกับสำนักนอกอาณาจักร เจ้าคิดว่าคนที่ฉลาดปราดเปรื่องอย่างท่านพ่อจะมองไม่ออกรึ เจ้าคิดว่าท่านพ่อแก่จนคิดอะไรไม่ออกหรืออย่างไร”

ประกายเย้ยหยันปรากฏขึ้นบนใบหน้ามืดมนขององค์ชายรัชทายาท ความรื่นเริงในดวงตาฉายชัดมากขึ้นกว่าเดิม

“อย่างที่ข้าบอกไป… เจ้ารนหาที่ตายแล้ว!”

เสียงหัวเราะเย็นเยียบขององค์ชายรัชทายาทที่สะท้อนอยู่ในกำแพงวังนั้น อัดแน่นไปด้วยความโกรธแค้นและความต้องการคร่าชีวิต

ณ ตำหนักอวี่อ๋อง

อวี่อ๋องนั่งพิงพนักเก้าอี้ไม้จันทน์ข้างหนึ่ง ส่วนอีกข้างเอาขาพาดไว้ มือตบหัวเข่าตนเองเบาๆ ดวงตาของเขาสงบเหมือนน้ำนิ่งขณะมองไปในระยะไกล

สีหน้าของชายหนุ่มดูราบเรียบอ่านอารมณ์ยาก แต่กลับทำให้ดูน่ากลัวมากยิ่งขึ้นไปอีก

ร่างโก่งคดร่างหนึ่งเดินสะโหลสะเหลมาที่ประตูห้อง ดูราวกับว่าหากมีลมพัดกรรโชกเพียงครั้งเดียวก็จะทำให้ร่างนั้นล้มตึงลงได้

พลังของหุนเชียนอวิ่นอ่อนแอลงมาก จนแทบลงมาแตะขั้นราชันยุทธการแล้ว วิชาลับที่ใช้หลบหนีส่งผลกระทบต่อร่างกายของเขาอย่างรุนแรง

“ชายชราผู้ไร้ประโยชน์คนนี้… ขอคารวะอวี่อ๋อง” หุนเชียนอวิ่นดูผ่ายผอมลงไปอีก ร่างกายของเขามีแต่หนังหุ้มกระดูก เปลวไฟวิญญาณในดวงตาทั้งสองข้างแทบมอดดับลง

“จึ๊ๆๆ ดูเหมือนว่าหัวหน้าผู้อาวุโสสำนักวิญญาณจะบาดเจ็บหนักพอดู ราวกับว่าข้าสามารถใช้นิ้วบี้เจ้าให้ตายเหมือนมดปลวกได้เลยทีเดียว” มุมปากของอวี่อ๋องยกขึ้นเป็นรอยยิ้มเย้ยขณะมองไปที่หุนเชียนอวิ่น องค์ชายทำท่าบี้นิ้วตามคำพูดตน

เปลวไฟวิญญาณในดวงตาของชายชราสั่นเทาอยู่ครู่หนึ่ง ร่างกายเกร็งขึ้นทันที พลังปราณสีดำสนิทอ่อนบางลอยวนอยู่รอบกาย

“อวี่อ๋อง ท่านหมายความว่าอย่างไรกัน แม้ชายชราผู้ไร้ประโยชน์คนนี้จะได้รับบาดเจ็บสาหัส… แต่ภารกิจก็สำเร็จลุล่วงไปด้วยดี พอเสร็จภารกิจแล้วท่านจำเป็นต้องทำลายสะพานความสัมพันธ์ของเราเลยหรือ”

อวี่อ๋องมองชายชราแล้วตอบเสียงเรียบ “ใช่ เจ้าทำภารกิจสำเร็จ แต่เจ้าก็สร้างปัญหาใหญ่ให้ข้าด้วยเช่นกัน ไม่รู้สึกตัวหรือ

“หน้าที่ของเจ้ามีเพียงต้องไปทำลายน้ำแกงสมุนไพรไก่ปักษาเพลิง หลังจากที่ฆ่าคนของพี่ชายข้าตายหมด เจ้าต้องทำลายศพให้ไม่เหลือไว้แม้แต่ซากให้ตามตัว แต่… เหตุใดจึงสะเออะไปยั่วโมโหร้านลึกลับนั่น” เสียงของอวี่อ๋องพลันเย็นเยียบ เขาลุกจากเก้าอี้ขึ้นยืน หลังตั้งตรงพร้อมแผ่ไอพลังน่าเกรงขามออกมา

พลังของผู้สูงศักดิ์กดทับลงมาบนร่างของหุนเชียนอวิ่น

ชายชราถอนหายใจในอก สมแล้วที่เป็นบุตรชายของจักรพรรดิฉางเฟิ่ง อวี่อ๋องนั้นยิ่งใหญ่สมศักดิ์ศรีจริงๆ แม้พละกำลังจะน้อยกว่า แต่พลังกดดันกลับไม่ได้ยิ่งหย่อนไปกว่าหุนเชียนอวิ่นแม้แต่น้อย…

แต่ตัวเขาเองก็ไม่ได้กังวลอะไรมากนัก ตอนนี้ตัวอวี่อ๋องเองยังไม่กล้าตัดสายสัมพันธ์กับสำนักวิญญาณโดยสิ้นเชิง ซึ่งแปลว่าเขาคงยังไม่ถูกฆ่า

แล้วก็เป็นเช่นนั้นจริงเสียด้วย พลังกดดันของอวี่อ๋องค่อยๆ สลายหายไป เขามองหุนเชียนอวิ่นด้วยสายตาไร้อารมณ์

“คราวนี้ข้าจะปล่อยเจ้าไปก็แล้วกัน แต่รู้เอาไว้ว่าความอดทนของข้ามีจำกัด หากเจ้าทำภารกิจพังอีก เรื่องคงไม่จบง่ายๆ แค่นี้แน่” อวี่อ๋องพูดอย่างไร้ความรู้สึกพลางเอามือไพล่หลัง พลังปราณเที่ยงแท้ที่วนอยู่รอบกายแทบฉีกอากาศให้ขาดออกจากกัน

หุนเชียนอวิ่นสูดหายใจเข้าลึก พลังปราณของอวี่อ๋องอยู่ที่จุดสูงสุดของระดับห้าขั้นราชันย์ยุทธการแล้ว อีกก้าวเดียวก็จะบรรลุระดับหกขั้นจักรพรรดิยุทธการ

หลังหุนเชียนอวิ่นจากไป เหลืออวี่อ๋องอยู่เพียงลำพังในวัง

เขายกมือขึ้นรวบรวมพลังปราณเที่ยงแท้ในฝ่ามือ จากนั้นก็บดขยี้มันจนสลายไม่เหลือซาก…

“พี่ชายข้า ป่านนี้คงกำลังฉลองความสำเร็จที่หาจุดอ่อนข้าเจออยู่สินะ แต่… แล้วอย่างไรเล่า หากท่านพ่ออยากประหารชีวิตข้า ข้าก็เพียงแต่ต้อง… ยึดอำนาจ”

เซียวเหมิงเดินผ่านประตูจัตุรัสมายาสวรรค์ออกมา หลังจากที่หันหลังกลับไปมองท้องพระโรง เขาก็อดไม่ได้ที่จะถอนหายใจอย่างจนปัญญา

แม้แต่คนที่เต็มไปด้วยความมุ่งมั่นเด็ดเดี่ยวอย่างจักรพรรดิฉางเฟิ่งยังต้องพ่ายแพ้ให้กาลเวลาในที่สุด หลังจากที่ออกรบกับสำนักน้อยใหญ่มามากกว่าร้อยปี บุตรชายของเขาเองกลับสมรู้ร่วมคิดกับสำนักพวกนั้น เพื่อทำลายความหวังสุดท้ายในการยื้อชีวิตของเขา… ช่างเป็นเรื่องตลกร้ายอะไรเช่นนี้

“หากไม่กลายไปเป็นสิ่งมีชีวิตในตำนาน ทุกคนล้วนต้องตายด้วยกันทั้งสิ้น…” สีหน้าของแม่ทัพใหญ่เคร่งขรึม คิ้วขมวดเข้าหากัน เขาถอนหายใจเบาก่อนออกจากวังหลวงไป

ในท้องพระโรงหลวง จักรพรรดิชรานั่งอยู่บนบัลลังก์ เขาไอจนตัวโยน พลังชีวิตค่อยๆ อ่อนแอลงเรื่อยๆ ใบหน้าเต็มไปด้วยความเหน็ดเหนื่อย

ใบหน้าของเหลียนฟู่เต็มไปด้วยความเป็นห่วงกังวลและเศร้าสร้อยขณะมองจักรพรรดิ

“ฝ่าบาทพะย่ะค่ะ… ให้ข้าไปตามหมอหลวงมาตรวจดูอีกครั้งหนึ่งดีหรือไม่” เหลียนฟู่ถาม

จักรพรรดิโบกมือบอกว่าไม่เป็นไร ดวงตาของเขาดูมัวหม่นเป็นอย่างมาก แต่บรรยากาศสูงศักดิ์รอบกายกลับไม่ลดน้อยถอยลงแม้แต่น้อย

“จุดมุ่งหมายตลอดชีวิตของข้าคือการทำลายสำนักน้อยใหญ่ให้หมดไปจากแผ่นดินนี้เพื่อสร้างอาณาจักรที่สงบสุข การมีอยู่ของสำนักเหล่านี้ถือเป็นภัยใหญ่หลวงของจักรวรรดิเรา” จักรพรรดิพูดเสียงแหบไร้ความรู้สึก “แต่บุตรชายสุดปราดเปรื่องของข้ากลับไปเข้ากับคนพวกนั้นเพื่อหวังยึดราชบัลลังก์เสียได้ ไม่คิดว่าช่างเป็นเรื่องตลกร้ายเต็มทนรึ

“ใบหน้าแก่เหี่ยวของข้านี้ร้อนไปหมดด้วยความอับอาย”

เหลียนฟู่ไม่พูดอะไร แต่ยืนอยู่เคียงข้างจักรพรรดิด้วยความเคารพ สีหน้าเคร่งขรึมจริงจัง

ชายชราผู้ครองแผ่นดินตัวสั่นงันงกขณะลุกขึ้นยืน เขาเริ่มหัวเราะในลำคอ เสียงหัวเราะแหบแห้งดังกังวานไปทั่วท้องพระโรง

“ข้ามีนามว่าจักรพรรดิฉางเฟิ่ง จักรพรรดิผู้ยิ่งใหญ่ที่เดินหน้ากำจัดสำนักน้อยใหญ่ไปหลายร้อยสำนักระหว่างการครองราชย์ แม้ข้าจะกลายเป็นเพียงชายชราเสียแล้ว แต่ก็คงปล่อยให้บุตรชายทำให้ข้าต้องอับอายเช่นนี้ไม่ได้ บุตรควรยำเกรงและเคารพบิดาตน… ไม่นานบุตรข้าคนนี้ก็คงเข้าใจ”

เสียงเบาแต่เต็มไปด้วยความมั่นใจจนใกล้บ้าคลั่งดังสะท้อนอยู่ในท้องพระโรงก่อนจางหายไป

เหลียนฟู่มีสีหน้าเคารพมากยิ่งขึ้นกว่าเดิม ขณะโค้งคำนับและมองจักรพรรดิเดินจากไป

เช้าวันต่อมา

ปู้ฟางเปิดร้านตามปกติ แต่เขาต้องบอกโอวหยางเสี่ยวอี้ว่าเดี๋ยวตนเองจะปิดร้านเป็นเวลาสองวัน มิเช่นนั้นนางจะมาเสียเที่ยว

เจ้าอ้วนจินและผองเพื่อนเดินทางมาถึงร้าน ทำให้บรรยากาศสดใสขึ้นมาเล็กน้อย เมื่อชายอ้วนมองเห็นชื่อเนื้อตุ๋นตำรับจีนซึ่งเป็นอาหารจานใหม่บนรายการอาหาร ดวงตาของเขาก็เป็นประกาย

“เถ้าแก่ปู้ อาหารใหม่จานนี้ราคาไม่ใช่เล่นๆ เลย… จานละร้อยผลึกเชียวรึ ไม่ใช่ถูกๆ เลยนะ” ราคาของเนื้อตุ๋นตำรับจีนทำให้ไฟตื่นเต้นของเจ้าอ้วนจินมอดดับลงทันที แม้แต่เศรษฐีใหม่อย่างเขายังอดรู้สึกเจ็บปวดไม่ได้กับการต้องจ่ายผลึกออกไปวันละหลายร้อย

“อาหารจานใหม่นี้รับรองเจ้าไม่ผิดหวัง” ปู้ฟางพูดเสียงเรียบ

เจ้าอ้วนจินหรี่ตามองปู้ฟางอยู่เป็นนาน ก่อนจะตัดสินใจสั่งเนื้อตุ๋นตำรับจีนในที่สุด มุมปากของปู้ฟางยกขึ้นเป็นรอยยิ้ม เขาหันหลังเดินกลับเข้าครัวไป

ทันทีที่ชายหนุ่มเดินออกมาจากครัวพร้อมจานเนื้อตุ๋นตำรับจีน เสี่ยวอี้ก็มาถึงพอดี

ที่ทางเข้า ร่างคุ้นตาของชายชราก็ค่อยๆ ก้าวเข้าร้านมาเช่นกัน

“เถ้าแก่ปู้ ตัวอักษรบนป้ายร้านเจ้านี่สวยสู้ลายมือข้าไม่ได้สักนิด” ชายชราพูดกลั้วหัวเราะ

………………..