ตอนที่ 106 ขายผลไม้ในเมืองมหาวิทยาลัย

ทะลุมิติไปเป็นเศรษฐีนียุค 80 [重生八零致富记]

ตอนที่ 106 ขายผลไม้ในเมืองมหาวิทยาลัย

ผลไม้บนภูเขาต่างสุกแก่กันหมดแล้ว มีทั้งแอปเปิล สาลี่ ท้อ มะเดื่อ ที่สุกแก่กันหมด ส่วนต้นเกาลัดทั้งสองก็ติดผลเต็มต้น

ต้นพลับเองก็มีลูกพลับติดอยู่เต็มต้น แต่ลูกพลับจะสุกหลังจากนั้น เกรงว่าต้องใช้เวลามากกว่าหนึ่งเดือน

ตอนนี้งานส่วนใหญ่บนภูเขาจึงวุ่นวายอยู่กับการเก็บเกี่ยวแอปเปิล สาลี่ และท้อ

การเก็บเกี่ยวเชอร์รี่เมื่อคราวที่แล้วนั้นได้เรียกจี้เจี้ยนกั๋วกับจี้เจี้ยนเยี่ยไปช่วยงานด้วย ซึ่งทำให้เฝิงฟางฟางกับจี้มู่ตานพากันอิจฉา ทุกวันนี้หากได้มาเห็นต้นผลไม้เมื่อใด ในใจของพวกหล่อนก็รู้สึกเปรี้ยวขึ้นมา

บ้านสามช่างไม่รู้จักเคารพกันเสียเลย สวนใหญ่ขนาดนี้แต่กลับไม่แบ่งปันให้พวกเขา พวกเขาเองก็เป็นพี่น้องบ้านเดียวกันไม่ใช่คนอื่นไกลสักหน่อย? ทำไมถึงไม่ห่วงใยกันบ้าง?

แต่คำพูดนี้ได้กล่าวกันมานานแล้ว ก่อนที่จะมีผลผลิตให้เก็บเกี่ยวมากมายนั้น จี้เจี้ยนอวิ๋นก็ไม่ได้ปล่อยเรื่องนี้เลย และยังไม่คิดจะทำแบบนั้นด้วย นับประสาอะไรกับการเห็นว่าได้ผลผลิตมากมายในตอนนี้

เนื่องจากแรงงานคนมีจำนวนไม่พออย่างเห็นได้ชัด จี้เจี้ยนอวิ๋นจึงต้องเชิญทุกคนที่เขาสามารถเชิญได้มาช่วยงาน

แม้แต่คุณแม่ซูของซูตานหงยังได้รับเชิญมา ส่วนซูจิ้นจวินนั้นไม่ได้มาด้วยต่อให้จี้เจี้ยนอวิ๋นจะไปเชิญมาแล้ว จึงมีแค่สะใภ้ใหญ่ซูกับคุณแม่ซูเท่านั้นที่มา พอได้มาเห็นสวนผลไม้แล้ว คุณแม่ซูก็ไม่อยากจะเชื่อสายตาตัวเอง นางเอ่ยชมความสามารถของลูกเขยเสียยกใหญ่ ขนาดคุณแม่ซูยังเป็นแบบนี้ ไม่ต้องพูดถึงสะใภ้ใหญ่ซูเลยว่าจะรู้สึกอย่างไรที่ได้มาเห็นกับตา

สวนใหญ่ขนาดนี้ ผลผลิตมากมายขนาดนี้ จะทำเงินได้เท่าไรกันล่ะ?

เมื่อเห็นสายตาของสะใภ้ใหญ่ตนแล้ว คุณแม่ซูก็เอ่ยเตือนเป็นการส่วนตัว “ตานหงกับน้องเขยยังอยู่บนภูเขา ถ้าเธอกล้าทำฉันอับอายขายหน้าเพราะการมองตื้น ๆ ของเธอแล้วล่ะก็ รอฉันจัดการกับเธอตอนกลับถึงบ้านได้เลย!”

แม้ความสัมพันธ์ระหว่างนางกับคุณแม่จี้จะสมานฉันท์กันบ้างแล้วก็ตาม แต่ความจริงแล้วก็ไม่มีใครยอมซึ่งกันและกัน เป็นเพราะครั้งนี้จี้เจี้ยนอวิ๋นเป็นคนมาขอความช่วยเหลือจากนางต่างหาก นางจึงจำเป็นต้องมา ซึ่งใครก็ตามที่กล่าวถึงก็จะต้องยกนิ้วโป้งให้!

มีลูกเขยเก่งกาจแบบนี้ นางที่เป็นแม่ยายจะรู้สึกอับอายขายหน้าได้อย่างไร?

อย่าว่าแต่คนอื่นเลย ต่อให้เป็นคุณแม่จี้มาขอความช่วยเหลือจากนาง นางก็จะต้องเอ่ยวาจาเป็นมิตรกับอีกฝ่าย ซึ่งในคราวนี้คุณแม่ซูไม่ยอมให้สะใภ้คนโตของนางต้องทำให้นางขายหน้าหรอก แค่ลูกชายคนโตไม่มาช่วยงานก็เป็นเรื่องขายหน้ามากพอแล้ว คุณแม่ซูจะมีหน้าไปไว้ที่ไหนอีกหากเกิดเรื่องอะไรหลังจากนี้?

สะใภ้ใหญ่ซูทำเสียงอ่อย “คุณแม่ทำอะไรคะ ฉันยังไม่ได้พูดอะไรเลย?”

“ฉันไม่บอกหรอกนะว่าอะไรคือเรื่องดี ขยันทำงานก็แล้วกัน เจี้ยนอวิ๋นจะจ่ายค่าแรงให้แล้วเธอก็เก็บไว้กับตัวซะ ถ้าเธอไม่ทำงาน ฉันจะเป็นคนเก็บเงินไว้เอง อย่าได้คิดจะทำอะไรนอกเหนือจากนี้ล่ะ!” คุณแม่ซูบอก

“ก็ได้ค่ะ ๆ ตราบใดที่ฉันจะได้เงินเก็บของตัวเอง ฉันก็จะไม่ทำคุณแม่ขายหน้าแน่นอนค่ะ!” สะใภ้ใหญ่ซูพูดในทันที

ดังนั้นต่อให้แม่สามีกับลูกสะใภ้จะคุยกันแล้ว มันก็ยังเป็นเรื่องน่าตกใจอยู่ดีเมื่อมองจากภายนอก พอคุณแม่จี้พาเข้าไปในสวน พวกเขาก็ยิ่งตกตะลึงมากขึ้นไปอีก เพราะผลไม้ในสวนต่างติดผลเต็มต้น

“เจี้ยนอวิ๋นช่างยอดเยี่ยมสมกับความสามารถของเธอจริง ๆ ในฐานะแม่ยายแล้ว บอกได้เลยว่าในภายหน้าเธอจะต้องเจริญรุ่งเรืองแน่!” คุณแม่ซูกล่าว นางนับถือหญิงชราคนนี้ที่สามารถให้กำเนิดลูกชายที่มีความสามารถแบบนี้ได้จริง ๆ

“ฉันมีชีวิตที่ดีแล้ว เธอจะไม่มีชีวิตที่ดีบ้างได้อย่างไรล่ะ? ต่อให้ชีวิตก่อนหน้านี้ของเราจะย่ำแย่ แต่ตอนนี้เราก็เป็นแบบนี้กันแล้วไม่ใช่เหรอ? มาใช้ชีวิตให้มีความสุขนับจากวันนี้เถอะ แม่ภรรยาอย่ากังวลไปเลย เจี้ยนอวิ๋นเด็กคนนี้มีความสามารถ เขาไม่อาจลืมแม่ภรรยาได้หรอกจ้ะ” คุณแม่จี้ตอบ

“ดูจากที่เธอพูดแล้ว ฉันเองก็มีลูกชายเหมือนกัน แต่ฉันรู้ว่าเจี้ยนอวิ๋นนั้นกตัญญูอย่างไม่สามารถหาเด็กคนไหนจากสิบลี้แปดหมู่บ้านมาเทียบเขาได้แล้ว ฉันชอบเขาก็เพราะรากฐานครอบครัวมาตั้งแต่แรก ฉันไม่เคยเห็นใครเป็นกล้าพันธุ์ชั้นยอดเหมือนเขาเลย ตานหงได้มาอยู่กับเขาถือว่ามีบุญแล้ว!” คุณแม่ซูเอ่ยชม

ไม่สำคัญหรอกว่าคำพูดของคุณแม่ซูจะเป็นความจริงหรือไม่ แต่คุณแม่จี้ก็รู้สึกสบายใจที่ได้รับฟัง ลูกชายคนที่สามนั้นเป็นคนดี แต่คุณแม่จี้เองก็เป็นคนที่ไม่ธรรมดาเหมือนกัน กล่าวได้ว่าลูกไม้หล่นไม่ไกลต้น ซึ่งตานหงก็เป็นลูกสาวที่ดีผู้หล่นไม่ไกลต้นของคุณแม่ซูผู้นำความดีมาสู่ครอบครัว

เมื่อคุณแม่จี้พูดดังนั้น คุณแม่ซูก็รู้สึกพอใจเช่นกัน ดังนั้นหญิงชราทั้งสองตระกูลที่เมื่อก่อนแทบจะกัดกันก็ได้คุยสนทนากันไปมาอย่างพี่สาวน้องสาว เป็นความสัมพันธ์ที่ดีมาก

หลังเข้ากันด้วยดีแบบนี้แล้ว การได้ฟังอีกฝ่ายปกป้องลูกเขยและลูกสาวก็ทำให้นางรู้สึกว่าอีกฝ่ายเป็นคนดีไม่น้อย

นอกจากนี้พวกเขายังขยันทำงาน ดังนั้นจึงยิ่งมีความมั่นใจในตัวอีกฝ่ายมากขึ้น

สะใภ้ใหญ่ถูกคุณแม่ซูจับตามองอยู่ หล่อนจึงไม่กล้าจะทำอะไรตุกติก และยังมีคำพูดของคุณแม่ซูที่ว่าให้ขยันทำงานแล้วเงินที่ได้รับจะเป็นเงินเก็บของหล่อนเองด้วย แค่ทำงานครั้งเดียวก็จะได้เงินหลายสิบหยวนแล้วใช่ไหม? ซึ่งเงินจำนวนนี้ถือว่ามากเชียวนะ ดังนั้นหล่อนต้องคว้าโอกาสนี้ไว้เพื่อไม่ให้แม่สามียึดเงินของหล่อนไป

“ตานหงกับสะใภ้ใหญ่ขยันขันแข็งทำงานกันดีจังนะจ๊ะ” คุณแม่จี้มองแล้วก็เอ่ยด้วยรอยยิ้มกับคุณแม่ซู

“หล่อนเหรอ หล่อนก็ดูธรรมดาทั่วไป ไม่ดีเท่าสะใภ้ของบ้านคุณหรอกค่ะ” คุณแม่ซูบอก สำหรับสะใภ้ใหญ่ซูแล้วนางรู้นิสัยของอีกฝ่ายดี ถ้าไม่ใช่เพราะบอกให้หล่อนขยันทำงานแล้ว หล่อนจะทำงานหนักขนาดนี้ได้เหรอ?

คุณแม่ซูยิ้มและเอ่ยอย่างถ่อมตัว

ความจริงแล้วมีแค่คุณแม่ซูคนเดียวที่เตือนเรื่องนี้หรือ? ก่อนหน้าที่คุณแม่ซูจะมา คุณแม่จี้ก็เตือนสะใภ้ทั้งสองของนางอย่างจริงจังแล้วว่าถ้ากล้าหักหน้านางอีก ก็กลับไปอยู่ที่บ้านเลย!

ผลที่ตามมานั้นเป็นเรื่องจริงจังมาก หากคุณแม่จี้พูด จะไม่มีใครกล้าพูดขัด ดังนั้นต่อให้จะรู้สึกอิจฉาเพียงใด ก็ไม่มีใครกล้าแสดงออกมาเลยสักนิด

ก่อนที่ผลไม้จะสุกพร้อมเก็บเกี่ยว จี้เจี้ยนอวิ๋นก็ได้ตระเวนไปหลายที่เพื่อเปิดเส้นทางการค้า

ร้านค้าหลายร้านในเมืองต่างรับสินค้าจากเขาทั้งหมด แต่เนื่องจากร้านพวกนี้อยู่ใกล้มาก จึงเป็นซูจิ้นตั๋งที่เป็นคนดูแลกิจการทั้งหมด

ส่วนพื้นที่ไกลออกไปอย่างเมืองเจียงสุ่ย ที่จี้เจี้ยนอวิ๋นไปด้วยกันกับเหล่าฉินหรือที่ตลาดเก่าเมื่อคราวที่แล้ว เขาก็จะขับรถบรรทุกไปที่เหล่านั้นโดยตรง จากนั้นชายทั้งสองก็เริ่มการขาย

ในตอนนี้มีคนปลูกผลไม้ไม่มากนัก พวกเขาจึงไม่ขาดรายได้จากเมืองเจียงสุ่ย แต่ถึงอย่างนั้นปริมาณผลไม้ที่นำมาขายก็มีอย่างจำกัดเช่นกัน

หลังขายมาได้หลายวัน ของบางอย่างก็เริ่มขายไม่ค่อยดี จี้เจี้ยนอวิ๋นได้ติดต่อไปยังร้านขายส่ง ซึ่งหลังจากที่ร้านค้าเหล่านี้ได้ชิมผลไม้ พวกเขาก็ซื้อผลไม้จากเขาเป็นจำนวนมาก แต่เนื่องจากผลไม้ล็อตเก่ายังเหลือค้างอยู่อีกมาก จี้เจี้ยนอวิ๋นจึงตัดสินใจกับเหล่าฉินว่าจะนำผลไม้ไปขายในเมืองมหาวิทยาลัย

แน่นอนว่าที่เมืองมหาวิทยาลัยนั้นเจริญมากกว่าเมืองเจียงสุ่ยอย่างเห็นได้ชัด เมื่อสาลี่ แอปเปิล ท้อ และมะเดื่อลังใหญ่ ที่ทั้งสุกแดงและส่งกลิ่นหอมเป็นที่ปรากฏแก่สายตา มันก็ดึงดูดผู้คนที่เดินผ่านไปมาให้เข้าไปเลือก ซึ่งเขาขายในราคาสูงกว่าที่ขายในเมืองเจียงสุ่ยเล็กน้อย แต่กลับขายดีมากกว่าที่เมืองเจียงสุ่ยเสียอีก

แน่นอนว่าเมืองมหาวิทยาลัยจัดว่าเป็นย่านหลักในอำเภอของพวกเขาอยู่แล้ว

แม้มันจะได้ผลขึ้นมาเล็กน้อย แต่รายได้ส่วนนี้ก็ถูกหักไปกับค่าน้ำมันสำหรับเดินทางไปยังเมืองมหาวิทยาลัยที่มากกว่าเดิม จี้เจี้ยนอวิ๋นจึงตัดสินใจว่าในภายหน้าจะไม่ขายผลไม้ที่เมืองเจียงสุ่ย แต่จะขนมาขายที่เมืองมหาวิทยาลัยเลย เมืองเจียงสุ่ยจะมีร้านค้ากี่แห่งเขาก็ไม่สนใจ เพราะพวกมันต่างเป็นร้านขายส่งที่ขายในราคาไม่สูงนัก ซึ่งนั่นไม่คุ้มค้าแต่อย่างใด

เป็นเพราะเห็นโอกาสแบบนี้ในเมืองมหาวิทยาลัย วันต่อมาพวกเขาจึงได้ขับรถคันใหญ่ตรงไปที่นั่น แต่ก็ไม่ได้ประจำอยู่จุดเดียวกันตลอดทุกวัน จะมีราวสองวันที่เปลี่ยนไปขายยังตลาดเก่าบ้าง ซึ่งตลาดเก่าที่นั่นเป็นแหล่งระบายสินค้าเลยทีเดียว ธุรกิจที่นั่นดีมาก คุณภาพผลไม้ก็สูง แถมลูกค้าที่มาซื้อก็ไม่ได้แย่ นอกจากนี้ทั้งจี้เจี้ยนอวิ๋นกับเหล่าฉินต่างเคยเป็นทหารกันทั้งคู่ ทำให้มีรูปลักษณ์แตกต่างจากชายทั่วไป เมื่อลูกค้าได้มาคุยกับพวกเขาและรู้ว่าพวกเขาเคยเป็นทหารเก่าที่ได้รับบาดเจ็บและลาออกจากกรม ทุกคนต่างก็มีสายตายกย่องชื่นชม

ดูสิ ไม่ว่าวีรบุรุษพวกนี้จะมาจากที่ไหน แต่เขาก็สามารถนำพาความเจริญรุ่งเรืองได้ในทุกที่ที่เขาไป ถึงเขาจะไม่ได้เป็นทหารแล้ว แต่เขาจะปลูกผลไม้เลี้ยงดูครอบครัวไม่ได้หรือ?

คุณป้าคนหนึ่งถึงกับชอบในตัวจี้เจี้ยนอวิ๋นและถามเขาว่ามีภรรยาหรือยัง เพื่อที่นางจะได้แนะนำลูกสาวของตัวเองให้ ซึ่งทำให้จี้เจี้ยนอวิ๋นไม่รู้ว่าจะหัวเราะหรือร้องไห้ดี เหล่าฉินเองก็เห็นว่าเป็นเรื่องขบขัน จึงตอบไปว่าเขามีลูกชายอายุเกือบจะ 1 ขวบแล้วคนหนึ่ง

…………………………………………