ตอนที่ 107 มีความสุขมากกันทุกคน

ทะลุมิติไปเป็นเศรษฐีนียุค 80 [重生八零致富记]

ตอนที่ 107 มีความสุขมากกันทุกคน

จี้เจี้ยนอวิ๋นกับเหล่าฉินมีหน้าที่ขนผลไม้ไปขายในเมืองมหาวิทยาลัย ขณะที่สมาชิกในครอบครัวคนอื่น ๆ มีหน้าที่เก็บผลผลิต และหลังจากยุ่งวุ่นวายกับงานนี้มาได้ครึ่งเดือน พวกเขาก็เก็บผลไม้ทั้งบนเนินเขากับที่ราบจนหมด

ทุกคนล้วนเหนื่อยล้า แต่ทุกวันนั้นก็มีความละโมบแฝงอยู่เช่นกัน

ในท้ายที่สุดแล้ว จี้เจี้ยนอวิ๋นก็จ่ายค่าจ้างให้กับทุกคน ทำให้พวกเขารู้สึกว่างานหนักในครั้งนี้ช่างคุ้มค่า

ซึ่งมันก็ไม่มีเหตุผลอย่างอื่นนอกจากเรื่องที่จี้เจี้ยนอวิ๋นจ่ายค่าแรงให้เป็นจำนวนมาก จี้เจี้ยนกั๋วและภรรยาได้ไป 20 หยวน ส่วนจี้เจี้ยนเยี่ยกับภรรยาก็ได้ไป 20 หยวนเช่นกัน

เขาให้เงินกับคุณแม่ซูเป็นการส่วนตัวจำนวน 50 หยวน ซึ่งคุณแม่ซูก็ปฏิเสธ แต่เขาก็ยังยืนกรานว่าจะให้ คุณแม่ซูจึงต้องยอมรับเอาไว้ และรู้สึกดีต่อลูกเขยมากขึ้น ขนาดลูกชายของนางเองยังดีได้ไม่เท่าเขา นางจึงบอกว่าถ้าคราวหน้าเขาจะเก็บลูกพลับก็มาขอให้นางไปช่วยได้ เพราะนางสามารถทำลูกพลับแห้งได้เป็นอย่างดี

จี้เจี้ยนอวิ๋นย่อมตอบตกลง เมื่อถึงเวลานั้นเขาคงจะไปขอความช่วยเหลือจากแม่ยาย

เนื่องจากคุณแม่ซูกำลังอารมณ์ดีกับเงิน 50 หยวนในกระเป๋า นางจึงแบ่งให้สะใภ้ใหญ่ซูไป 5 หยวน ซึ่งจี้เจี้ยนอวิ๋นให้ส่วนของหล่อนมา 10 หยวน แต่นางหักออกไปครึ่งหนึ่งจนเหลือ 5 หยวนให้สะใภ้ใหญ่ได้เก็บไว้กับตัว

แต่ต่อให้จะได้เงินมา 5 หยวน สะใภ้ใหญ่ซูก็มีความสุขมาก และพลันพูดออกมาว่าถ้าครั้งหน้ามีงานอีกก็ให้เรียกหล่อนไปช่วย หล่อนเองก็จะไปทำงานให้ดี ๆ เช่นกัน

“ครั้งนี้เธอประพฤติตัวดี อย่าได้เสียใจไปกับเงินที่เธอได้เลย แต่ถ้าเธอไปช่วยงานแล้วกล้าข่มเหงน้องสามีล่ะก็ มันก็เท่ากับว่าเธอโยนกลองผลักภาระมาให้ ซึ่งเธอจะไม่ได้ทำงานนี้อีก” คุณแม่ซูบอก

“คุณแม่คะ เห็นฉันเป็นคนผลักภาระตรงไหนกัน? ฉันขยันทำงานไม่ใช่เหรอคะ ขนาดแม่สามีตานหงยังไม่กล้าเอ่ยอะไรเลย ฉันถือว่าไว้หน้าตานหงแล้วนะคะ” สะใภ้ใหญ่ซูเอ่ยรัวเร็ว

นับว่าเป็นเรื่องดีที่ได้ทำงานที่นี่ หลังกินอาหารเช้าเสร็จ พวกเขาก็ออกไปทำงาน แถมยังได้กินผลไม้ในตอนที่หิวด้วย ส่วนอาหารตอนกลางวันนั้นไม่ต้องพูดถึงเลย มีทั้งไข่คน หมูตุ๋นน้ำแดง น้ำแกงกระดูกหมู แล้วก็ยังมีหมั่นโถวขาวลูกใหญ่ ตราบใดที่มีอาหารอย่างนี้ให้กิน ไม่ว่าจะให้ทำงานอะไรก็ทำได้!

ถ้าไม่ใช่เพราะโดนแม่สามีกดดัน หล่อนก็จะพาสามีและลูกชายลูกสาวมาทำงานด้วยกัน หลังจากที่พวกเขาเลิกเรียนแล้ว พวกเขาก็จะได้มาที่สวนนี้เพื่อมาทำงานชดเชยเป็นเวลาสองวันและยังได้กินผลไม้กับเนื้อจำนวนมาก และถ้าได้เงินเดือนละก็มันก็เป็นเงินค่าแรงที่สมน้ำสมเนื้ออย่างมาก

“ถ้าครั้งหน้ามีงานมาให้ทำอีกฉันก็จะพาเธอไป แต่ถ้าเธอทำงานไม่ผ่านแล้วทุกคนมาว่าฉัน จะให้ฉันทำยังไง ไม่อย่างนั้นถ้าเธอถูกจับได้ครั้งหนึ่งแล้วก็จะถูกมองแบบนั้นอีกร้อยครั้ง เอาล่ะ ไปทำงานของเธอได้แล้ว” คุณแม่ซูโบกมือไล่หลังเอ่ยเทศน์ไปแล้วชุดหนึ่ง

ส่วนทางฝั่งจี้เจี้ยนกั๋ว เฝิงฟางฟาง จี้เจี้ยนเยี่ย และจี้มู่ตานที่ได้ค่าจ้างไปครอบครัวละ 20 หยวนก็หน้าชื่นตาบานกันทุกคน แม้จะรู้สึกเหน็ดเหนื่อยเล็กน้อย แต่พวกเขาก็ได้ค่าแรงและยังได้กินอาหารดี ๆ ซึ่งเงินค่าจ้างจำนวนนี้ถือว่ามากทีเดียว

ทั้งสองครอบครัวต่างมีความสุขมาก และคุณแม่จี้ก็ได้ไปหาคนในหมู่บ้านมาช่วยงานให้เป็นไปอย่างรวดเร็วและดำเนินไปด้วยดี ซึ่งบรรดาผู้หญิงที่ทำงานดีมีคุณธรรมต่างได้ไปเพียง 8 หยวน ซึ่งได้มากกว่าคนอื่น 2 หยวน

แต่คนที่ได้รายได้ 8 หยวนก็มีความสุขมากเช่นกัน เนื่องจากอาหารกลางวันที่ได้กินนั้นดีมาก และในตอนที่ทำงานนั้นคุณแม่จี้ก็ได้แจกผลไม้คนละหนึ่งหรือสองลูกให้พวกเขาได้กินประทังความหิว ครั้นพวกเขาจะกลับบ้าน นางก็ได้ขอให้พวกเขานำผลไม้ติดไม้ติดมือไปด้วย 2-3 ลูกเพื่อกินแก้หิว และในวันที่คิดค่าแรง คุณแม่จี้ก็นำเงินมาให้พร้อมกับให้ขนถุงไปใบหนึ่งซึ่งในนั้นมีทั้งท้อ สาลี่ และแอปเปิล

สวัสดิการคนงานที่นี่ถือว่าดีทีเดียว

แต่คนที่ดูดีกว่าเห็นจะเป็นสวี่อ้ายตั๋งกับจี้หงจวิน ในช่วงที่พวกเขายุ่งอยู่กับการทำงานช่วงนี้ หวังหงฮวากับหลี่อวี้ซุ่ยภรรยาของพวกเขาก็ไปช่วยงานนี้ด้วย สวี่อ้ายตั๋งกับจี้หงจวินนั้นไม่ได้รายได้ เพราะเป็นคนงานประจำอยู่แล้ว แต่หวังหงฮวากับหลี่อวี้ซุ่ยนั้นได้รับการจ่ายเงินแยก แม้พวกหล่อนจะได้ค่าแรงแค่ 8 หยวนเหมือนพวกเขา แต่พวกเขาก็เห็นหวังหงฮวากับหลี่อวี้ซุ่ยเดินไปรับค่าแรงและถือถุงผลไม้ถุงหนึ่งที่ดูเหมือนกับพวกเขามา เว้นแต่ว่าในถุงใส่ผลไม้นั้นมีเนื้อติดมันด้วยหลายชั่ง!

“เจ้าของสวนบอกว่าพวกเขาไม่ได้รับค่าจ้างเพิ่ม แต่มอบเนื้อติดมันไม่กี่ชั่งให้มาแทนน่ะจ้ะ” หวังหงฮวากับหลี่อวี้ซุ่ยต่างตอบด้วยรอยยิ้ม

สามีของพวกหล่อนทั้งสองคนต่างเป็นลูกจ้างประจำ ลูกจ้างประจำคืออะไรน่ะเหรอ? ก็คือไม่ว่าจะมีชีวิตความเป็นอยู่อย่างไรก็จะได้รับเงินเดือนทุกเดือน ตอนที่ไม่มีงานก็สามารถใช้ชีวิตแบบเอื่อยเฉื่อยได้ แต่เมื่อใดมีงานยุ่ง ต่อให้มีงานมากขนาดไหนมันก็ถือเป็นงานที่ทำอยู่และจะไม่ได้ค่าจ้างเพิ่มจากตรงนี้

แต่ถึงจะไม่มีค่าจ้างเพิ่มเติม การได้เนื้อติดมันไม่กี่ชั่งมาแทนก็ถือว่าเป็นเรื่องดีเยี่ยมได้เหมือนกัน!

ทุกคนต่างพากันอิจฉา เดิมทีครอบครัวของสวี่อ้ายตั๋งกับครอบครัวของจี้หงจวินนับว่าเป็นคนยากจนที่สุดในหมู่บ้าน แต่นับตั้งแต่ที่พวกเขาทำงานให้ตระกูลจี้ พวกเขาก็มีชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีขึ้นเรื่อย ๆ ซึ่งในตอนต้นปีสองครอบครัวนี้ก็ได้รื้อทำบ้านใหม่ไปแล้ว ก่อนหน้านี้พวกเขาไม่มีแม้แต่โจ๊กจะกิน แต่ตอนนี้พวกเขากลับมีเนื้อติดมันชิ้นใหญ่ให้กินไปหลายวัน ยิ่งคิดก็ยิ่งอิจฉา

ไม่แปลกใจเลยว่าทำไมสองคนนี้ถึงอยากจะทำงานระยะยาวให้กับตระกูลจี้

จี้เจี้ยนอวิ๋นเองยังคำนวณค่าแรงให้คุณพ่อจี้กับคุณแม่จี้นอกเหนือจากค่าแรงที่ให้คนอื่น ๆ ตอนนี้เขาเป็นผู้เลี้ยงดูคนชราทั้งสอง แต่ก็คิดค่าแรงแยกกันแต่ละคน โดยทั้งคู่ได้ไม่มากนักเพียง 20 หยวนเท่านั้น

ต่อให้แต่ละคนได้ 20 หยวน แต่รวมทั้งหมดแล้วมันก็เป็น 40 หยวน เรื่องสำคัญที่สุดคือก่อนหน้านี้คุณแม่จี้หาเงินได้ด้วยตัวเองเช่นกัน ทั้งสตรอเบอรี่และแตงโมที่นางปลูกล้วนขายดีมาก ได้เงินมาทั้งหมดเกือบ 150 ถึง 160 หยวน บวกกับค่าแรงเล็กน้อยจำนวนนี้เข้าไปแล้วนางก็มีอยู่เกือบ 200 หยวน

แม้คนชราทั้งสองจะไม่จำเป็นต้องใช้จ่ายอะไร แต่พวกเขาก็ไม่ได้ตื่นตระหนกเมื่อมีเงินอยู่ในมือ ซึ่งมันทำให้พวกเขาอุ่นใจขึ้นมาแทน และด้วยความมั่งคั่งนี้เองก็ไม่ต้องพูดถึงอารมณ์ของคุณแม่จี้เลยว่าจะดีขนาดไหน นางถึงกับซื้อเนื้อติดมันไป 2 ชั่งแล้วนำไปที่บ้านตระกูลซูพร้อมสนทนากับคุณแม่ซู นางบอกว่าช่วงนี้อีกฝ่ายทำงานหนักมาหลายวัน ดังนั้นจึงต้องกินของบำรุงร่างกายเสียบ้าง และด้วยความที่นางนำเนื้อติดมันมาให้ 2 ชั่งนี้เอง คุณแม่ซูจึงรับรู้ถึงความจริงใจของนาง ทั้งสองหญิงชราจึงนัดแนะกันว่าหากคราวหน้าลูกพลับสุกแล้วก็จะมาช่วยเก็บลูกพลับด้วยกัน

ขณะที่คุณแม่จี้กำลังจะกลับ คุณแม่ซูก็มอบตะกร้าไข่ให้นางไป แต่ในตอนนี้คุณแม่จี้กลับปฏิเสธอย่างจริงใจ เพราะบนภูเขามีไก่อยู่เป็นจำนวนมาก กลัวจะไม่ได้กินไข่หรืออย่างไร? และตอนนี้นางก็ไม่ได้จุดเตาทำกับข้าวแล้ว ส่วนไข่นั้นก็ให้กับตานหงเสีย ซึ่งขนลงจากภูเขาก็ได้ ทำไมต้องนำมาจากบ้านตระกูลซูตั้งไกลด้วย?

เป็นเพราะนางมีเงินอยู่ในมือแล้ว คุณแม่จี้จึงโอบอ้อมอารีเป็นพิเศษ นางยังคงไม่รับไข่ และคุณแม่ซูก็ไม่เซ้าซี้อีกต่อไป แต่ให้เมล็ดงาจำนวน 2 ชั่งที่ปลูกเองกับอีกฝ่าย

“งานี่ตานหงชอบกินมากนะ ถ้างั้นฉันก็ไม่เกรงใจแม่สะใภ้แล้วล่ะ ฉันขอนำกลับไปให้ตานหงเลยแล้วกัน” คุณแม่จี้เอ่ยด้วยรอยยิ้ม

เมื่อเห็นนางคิดเป็นห่วงลูกสาวของตน คุณแม่ซูก็รู้สึกดีใจเช่นกัน นางไม่คิดเลยว่าคุณแม่จี้จะพูดจาสุภาพกับตนเช่นนี้ เพราะคุณแม่จี้ไม่ได้พูดจาหาเรื่องอะไรแล้ว พวกเขาต่างได้กินของจากลูกสาวนางกันหมด มันจะดีแค่ไหนเชียวหากเมล็ดงานี้จะไปถึงมือลูกสาว หล่อนจะได้มีไว้กินเองถูกไหม?

เมื่อส่งคุณแม่จี้กลับไปแล้ว คุณแม่ซูก็แบ่งครึ่งเนื้อติดมัน เนื้อครึ่งหนึ่งถูกนำมาใช้ตุ๋นกับผักกาดขาวและซีอิ๊วเป็นอาหารเย็นนี้ ส่วนเนื้ออีกครึ่งหนึ่งนั้นใช้เจียวในน้ำมัน!

…………………………………………