ตอนที่ 49 อันดับอัจฉริยะการประลองครั้งที่เจ็ด

ท่านอ๋องผู้โหดร้ายกับหมอปีศาจ

เป็นน่าหลานอวี้นั่นเองที่มา  เขาเห็นมู่เฉียนซีกับผู้อาวุโสฮั่วอวิ๋นต่อสู้กัน ท่านฮั่วบังคับกดพลังให้เป็นผู้บำเพ็ญภูตระดับเก้า แต่เข็มอันลึกลับของมู่เฉียนซีที่โจมตีเข้ามา ทำให้สุดท้ายถึงกับสิ้นหวัง

ไม่คิดว่าไม่เจอกันแค่ไม่กี่วัน เขาก็ร้ายกาจขึ้นเยอะ

มู่เฉียนซียกยิ้มมุมปาก

“ถึงท่านผู้อาวุโสฮั่วจะระเบิดปล่อยพลังราชาภูตออกมาขัดขวางการโจมตีนี้ แต่ว่าเขาก็แพ้อยู่ดี”

เวลานี้ฮั่วอวิ๋นรู้สึกว่าร่างกายทุกส่วนแข็งทื่อไป รู้สึกร่างกายของตนเองเสมือนก้อนหินก็ไม่ปาน

“นี่มันเกิดอะไรขึ้น ?” ฮั่วอวิ๋นถาม

“ท่านผู้อาวุโสฮั่ว ท่านคงไม่คิดว่ามีเพียงเข็มยาของข้าที่มีแต่ยาพิษหรอกนะ ? ในการต่อสู้ ร่างกายของข้าทั้งหมดมียาพิษทั้งนั้น ท่านให้ข้าประชิดเข้าโจมตีได้ง่าย ๆ โดยไม่มีแม้แต่การป้องกัน เป็นส่วนที่ทำให้ท่านแพ้ตั้งแต่แรก”

ผู้อาวุโสฮั่วถลึงตา ไม่ทำแล้ว “โอย… ทั่วร่างข้ามีแต่ยาพิษ เจ้าเด็กนี่ปีศาจนัก ข้ายอมแพ้แล้ว รีบนำยาถอนพิษมาให้ข้าเร็ว”

มู่เฉียนซีนำเข็มยาเหย้าจี้หนึ่งเข็มออกมา แทงเข้าสู่ผิวหนังของฮั่วอวิ๋นเบา ๆ ค่อยทยอยฉีดยาแก้พิษเข้าไปทีละนิด สักพัก ฮั่วอวิ๋นกลับเข้าสู่สภาวะปกติ

ฮั่วอวิ๋นถอนหายใจยาว “เฮ้อ ไม่คาดคิดว่าเจ้าสิ่งเล็ก ๆ นี่ที่ข้าทำออกมา เมื่อไปอยู่ในมือเจ้าจะร้ายกาจได้เพียงนี้”

มู่เฉียนซียกยิ้มมุมปากอีกหน “แน่นอน ท่านต้องดูด้วยว่าเป็นของรักของใคร”

“ว่าแต่… เจ้าจะให้ข้าหลอมอาวุธแบบไหนรึ ? ตอนนี้เอามาให้ข้าเลย”

“ข้ายังเตรียมไว้ไม่เสร็จ สองสามวันนี้ข้าจะให้คนส่งมาให้แล้วกัน ท่านก็รีบหลอมหม้อปรุงยาให้ข้าเถอะ”

นางคิดไว้แล้วว่าจะทำอะไร แต่ยังไม่ได้ร่างแบบออกมา

ฮั่วอวิ๋นโมโหจนคิ้วกระดกยกขึ้น ตัวเขาเป็นช่างหลอมอาวุธขั้นสูง แต่มาถูกเจ้าเด็กหนุ่มนี่คอยบัญชา โดยที่เขาก็ทำอะไรเจ้าเด็กหนุ่มนี่ไม่ได้เลย ขัดใจนัก!

มู่เฉียนซียิ้มอ่อน “น่าหลานอวี้ เจ้ามาทำไมกัน ?”

“ข้ามาให้ท่านฮั่วช่วยหลอมอาวุธวิญญาณ แต่ไม่คิดว่าจะมาเห็นการต่อสู้ที่ดุเดือดเลือดพล่านเช่นนี้ ผู้บำเพ็ญภูตระดับหกเอาชนะผู้บำเพ็ญภูตระดับเก้าได้อย่างสบาย อีกทั้งท่านฮั่วก็ไม่ใช่ผู้บำเพ็ญภูตระดับเก้าธรรมดา ๆ  มู่ซี เจ้าร้ายกาจยิ่งนัก” น่าหลานอวี้กล่าวชื่นชม

ฮั่วอวิ๋นตะโกนออกมา “เจ้าเด็กตระกูลน่าหลาน เจ้ายกยอเด็กหนุ่มนี่แล้วดูถูกข้า จะมีความหมายอะไร ?!  ชิชะ! วันนี้ไม่ว่าเจ้าจะอยากให้หลอมอาวุธอะไร ข้าไม่รับทำ ถึงจะให้ราคาสูง ข้าก็ไม่ทำ”

ฮั่วอวิ๋นโมโหโกรธา ทว่าเจ้าเด็กหนุ่มที่มาวันนี้ ก็ไม่ได้มาหาเพื่อให้เขาหลอมอาวุธอย่างจริงจังให้แต่อย่างใด

มู่เฉียนซีโยนขวดยาสองสามขวดให้ฮั่วอวิ๋น กล่าวขึ้น

“ท่านผู้อาวุโสฮั่ว รับไว้ อันนี้ข้าให้ท่านบำรุงร่างกาย แม้ว่าพิษอัคคีจะแก้พิษไปแล้ว แต่ร่างกายของท่านยังจำเป็นต้องได้รับการบำรุง”

ฮั่วอวิ๋นรับไว้ด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม พึงพอใจพลางกล่าวขอบคุณ “ขอบใจ ดูเจ้าหนุ่มนี่ ไม่ถึงกับใจดำขั้นโหดร้ายอำมหิตนัก”

มู่เฉียนซีกล่าว “แน่นอน ถ้างั้นข้าไปล่ะ”

น่าหลานอวี้รีบวิ่งตาม “ช้าก่อนมูซี พวกเรากลับเมืองหลวงด้วยกันเถอะ”

“ถึงท่านผู้อาวุโสฮั่วบอกว่าจะไม่หลอมอาวุธให้เจ้า แต่เจ้าสามารถอ้อนเขาได้นะ เขาก็ปากจัดไปอย่างนั้นเอง” มู่เฉียนซีกล่าวเรียบ ๆ

“เรื่องนั้นลืมไปเถอะ ถ้าท่านผู้อาวุโสฮั่วปฏิเสธแล้ว ส่วนใหญ่จะไม่รับทำหรอก ถึงอย่างไรข้าก็ไม่รีบร้อน วันอื่นข้าค่อยมาใหม่ยังไม่สาย”

น่าหลานอวี้กลับเข้าเมืองกับมู่เฉียนซี แต่หลังจากกลับเข้าเมืองแล้ว นางก็กล่าวลาเขา

น่าหลานอวี้ได้แต่มองด้านหลังหนุ่มน้อยนั้นด้วยความหม่นหมองใจ ครั้งนี้เป็นครั้งที่สามที่พวกเขาได้พบหน้ากัน มู่เฉียนซียังไม่ได้บอกกับเขาเลยว่านางอยู่ที่ไหน ? และเขาสามารถไปเจอนางได้ที่ไหน ?

มู่เฉียนซีกลับถึงบ้าน ก็ได้รับสิ่งของที่ไม่คาดคิด

“จดหมายท้าประลองรึ ? ใครกันที่ส่งมา” มู่เฉียนซีพึมพำ

“จดหมายท้าประลองของเยวี่ยเจ๋อ…”

มู่เฉียนซีนำจดหมายท้าประลองนั้นถือเล่นในมือ แววตาดำขำมีประกายแสงไหลผ่าน

ตระกูลเยวี่ย ถือว่าเป็นตระกูลที่มีชื่อของแคว้นจื่อเยี่ย ทั้งตระกูลแม่ทัพเป็นเลือดของนักรบ มีชื่อเสียงในแคว้นจื่อเยี่ยไม่น้อยไปกว่าตระกูลขุนนางข้าหลวงเลย

ตระกูลเยวี่ยมีอำนาจ ทั้งอำนาจการทหารและอื่น ๆ และยังมีคนที่มีความสามารถ แต่น่าเสียดาย พวกเขาจนมาก

เพราะเงินเดือนแม่ทัพเยวี่ยได้น้อยยิ่งนัก เป็นคนซื่อสัตย์ตรงไปตรงมา ไม่ทำเรื่องชั่วช้ากับผู้อื่น ประกอบกับไม่ถนัดในการบริหารกิจการจนขาดทุนทุกปี

จวนแม่ทัพเป็นตระกูลใหญ่กิจการใหญ่โต แต่ความมั่งคั่งลดลงเรื่อย ๆ ยิ่งนานยิ่งจนลงทุกที

ถ้าไม่ใช่เพราะตระกูลเยวี่ยขาดเงิน ซื้อยาวิญญาณไม่ได้ ดูจากเยวี่ยเจ๋อแล้ว คงไม่ได้เป็นแค่เพียงอัจฉริยะอันดับเจ็ดของแคว้นจื่อเยี่ยแน่ ๆ  เขาอยู่หลังตระกูลข้าหลวงโอวหยางสองคนนั้น

ถึงแม้ตระกูลเยวี่ยจะยากไร้ แต่ตอนที่ตระกูลมู่ตกต่ำนั้น กลับเป็นตระกูลเดียวในแคว้นที่ไม่รังแกตระกูลมู่ และคนของตระกูลเยวี่ยก็ไม่เคยรังแกเจ้าของร่างคนก่อนด้วย

แต่เหตุครั้งนี้ นี่คงเป็นเพราะนางทำให้เยวี่ยซู่สะบักสะบอมเกินไป เยวี่ยเจ๋อรักน้องชายมากจึงมาท้า

มู่เฉียนซียิ้ม “แกะน้อยมาส่งถึงประตู ข้าก็ไม่เกรงใจแล้ว”

มู่เฉียนซีออกคำสั่ง “เข้ามา ไปจองแท่นประลองที่ดีที่สุดของจินอู๋ถาง พรุ่งนี้บ่ายโมง ข้าจะประลองยุทธ์กับเยวี่ยเจ๋อ”

“อะไรนะท่านผู้นำ ?” คนได้รับคำสั่ง ไม่อยากจะเชื่อ ท่านผู้นำรับคำท้าประลองจากเยวี่ยเจ๋อแล้ว อีกทั้งทุ่มเงินจำนวนมากเพื่อจองแท่นการประลองที่ดีที่สุดของจินอู๋ถาง

“ไม่ได้ยินที่ข้าพูดหรืออย่างไร ? ไปได้แล้ว” มู่เฉียนซีพูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา

“ขอรับ”

มู่เฉียนซีรับคำท้าการประลองของเยวี่ยเจ๋ออัจฉริยะอันดับเจ็ดของแคว้นจื่อเยี่ย ข่าวก็แพร่สะพัดออกไป

มู่เฉียนซีรับคำท้า ทำให้เยวี่ยเจ๋อแสนประหลาดใจ

เขาคิดว่ามู่เฉียนซีมีผู้กล้าอันแข็งแกร่งคอยปกป้องอยู่ ไม่สามารถแอบล้างแค้นนางได้ จึงต้องส่งจดหมายท้าประลองไป

หากมู่เฉียนซีรับท้าประลอง ผู้แข็งแกร่งอันลึกลับท่านนั้นคงไม่สามารถมายุ่งการประลองของพวกเขาได้  แต่เขาคิดว่ามู่เฉียนซีคงจะไม่รับปาก คิดไม่ถึงว่านางจะรับคำท้า ไหนจะยังจองเวทีประลองของจินอู๋ถางอีกด้วย ทำเป็นข่าวครึกโครมไปเสียได้

เยวี่ยซู่ได้ข่าวนี้แทบจะโมโหจนเป็นลม

“พี่ใหญ่! ข้าพ่ายแพ้ให้แก่มู่เฉียนซี ข้ายอมรับว่าแพ้ด้วยใจจริง เพราะข้าคิดว่าตัวเองเก่งไม่มากพอ ท่านทำไม… เฮ้อ!”

เยวี่ยเจ๋อทำอะไรไม่ถูก “ก็เพราะเจ้าไม่ผ่านรอบสอง โดนท่านพ่อตีจนน่าสมเพช ดังนั้นข้าจึงวู่วาม…”

“ตอนนี้มู่เฉียนซีทำเรื่องนี้ให้เป็นเรื่องใหญ่แล้ว การท้าประลองเป็นข้าที่ท้าออกไป ไม่สามารถเสียใจได้อีก การประลองพรุ่งนี้ข้าจะระวัง ไม่ทำร้ายนาง”

“คงทำได้แค่นี้แหละ” เยวี่ยซู่เอ่ยปลง ๆ

จินอู๋ถาง เป็นสถานที่การประลองอันดับหนึ่งของแคว้นจื่อเยี่ยที่เป็นสนามประลองยุทธ์เฉพาะของผู้ฝึกยุทธ์ผู้บำเพ็ญภูตทั้งหลาย

วันนี้แท่นประลองที่ดีที่สุดมีผู้คนมาชมอย่างล้นหลาม ที่นั่งเต็มไปด้วยผู้คน ต่างคนต่างได้ยินมาว่าวันนี้จะมีการประลองยุทธ์ที่ทุกคนให้ความสนใจ

ท่านผู้นำตระกูลมู่ผู้ไร้ความสามารถ ประลองกับ คุณชายใหญ่เยวี่ยเจ๋อของตระกูลเยวี่ย นักรบอัจฉริยะอันดับเจ็ด

ถึงแม้ว่าพวกเขาจะได้ยินข่าวว่าผู้นำตระกูลมู่อยู่ในสำนักศึกษาหลวงช่างแข็งแกร่งยิ่งนัก ถึงขนาดประลองกับโอวหยางซินจนเขาแพ้พ่ายยับเยินไปอย่างน่าอับอาย และใช้สามกระบวนท่าเอาชนะคุณชายรองเยวี่ยซู่ ทั้งยังมีผลสอบเป็นอันดับหนึ่ง กระโดดเลื่อนชั้นเข้าห้องเรียนระดับสูง

แต่นี่เป็นเพียงแค่ข่าวลือ ใครหลายคนคิดว่ามีเงินสามารถใช้ทำอะไรก็ได้ บางทีนางอาจจะทุ่มเงินในสำนักศึกษาซื้อผลสอบก็เป็นได้

ช่วงนี้มีข่าวแพร่สะพัดออกมาว่าท่านผู้นำตระกูลมู่จะประลองต่อสู้กับเยวี่ยเจ๋อ พวกเขามาดูเพราะความประหลาดใจ พวกเขาอยากเห็นด้วยตาของตนเองว่าคนที่ไร้ความสามารถ หยาบคาย ชอบเพ้อฝัน ทั้งยังโง่เง่าเต่าตุ่นผู้นั้นจะกลายเป็นอัจฉริยะจริงหรือไม่

“ดูนั่น เยวี่ยเจ๋อมาถึงแล้ว”

เวลาใกล้จะถึงกำหนด ร่างสง่าในชุดสีฟ้าก็ยืนอยู่บนเวทีการประลอง

เยวี่ยเจ๋อรูปร่างสูงโปร่ง เพราะเขาฝึกฝนการต่อสู้ทุกปี ถึงมีสีผิวออกน้ำตาลอ่อน

คิ้วคมได้รูป จมูกโด่ง ริมฝีปากค่อนข้างบาง เขายืนอยู่ตรงนั้นดูมีความแข็งแกร่งอย่างชายชาตรี มีหญิงสาวจำนวนไม่น้อยเลยที่มาดูการแข่งขันในครั้งนี้ พวกนางอาจถูกบุคลิกท่าทางของเขาดึงดูดให้มา

“เยวี่ยเจ๋อมาถึงแล้ว แต่มู่เฉียนซี เหตุใดนางจึงยังไม่มา ? นางคงไม่ทำเรื่องใหญ่โตและผลสุดท้ายไม่มา หลอกพวกเราเล่นหรอกนะ” คนที่อยู่ในห้องเดี่ยว โอวหยางเหว่ยเอ่ยปากออกมาอย่างไร้ความอดทน

.