ตอนที่ 111 ซ่อนเขี้ยวเล็บ / ตอนที่ 112 เธอไม่ใช่คนแบบนั้นแน่

ลืมรักเลือนใจ

ตอนที่ 111 ซ่อนเขี้ยวเล็บ

 

 

เวรกรรม…

 

 

จะมีใครหน้าไหนที่กล้าบอกว่าตัวเองเป็นตัวซวยอย่างนี้บ้าง?

 

 

คำพูดของหลินเยียนทำให้นักข่าวหลายคนหัวเราะคิกคักออกมาอย่างอดไม่ได้

 

 

อันที่จริง เรื่องการทะเลาะเบาะแว้งของหลินเยียนกับจ้าวหงหลิงนั้นเป็นเรื่องจริงทีเดียว และเกิดขึ้นหลายครั้งเสียด้วย

 

 

ผู้ช่วยของหลินเยียนเคยกล่าวหาว่าจ้าวหงหลิงตบตีหลินเยียนทั้งน้ำตา แต่ข่าวตีกลับในท้ายที่สุดว่าหลินเยียนแต่งเรื่องขึ้นมาใส่ร้ายจ้าวหงหลิง เรื่องนี้ทำให้หลินเยียนเกือบแตกหักกับทางสังกัด แต่จ้าวหงหลิงกลับออกมาปกป้องดาราสาวในความดูแลของเธอเอง

 

 

และหลินเยียนเพิ่งปล่อยหมัดน็อกด้วย!

 

 

หลินเยียนพูดเป็นนัยว่าจ้าวหงหลิงนั้นยึดมั่นกับหลักการของตนอย่างมาก และยังรักษาเงื่อนไขของสัญญาเป็นอย่างดี

 

 

นั่นถือเป็นการหักหน้าเจี่ยงซือเฟยที่ทรยศต่อความเชื่อใจของจ้าวหงหลิงและฉีกสัญญาทิ้งด้วยตัวเองโดยแท้

 

 

เจี่ยงซือเฟยมีสัญญาผูกมัดอยู่ห้าปี แต่เธอกลับหนีไปอยู่กับสังกัดอื่นในทันทีที่เริ่มมีชื่อเสียงโด่งดังโดยไม่เห็นหัวจ้าวหงหลิงที่กัดฟันสู้มาด้วยกันนานถึงสามปีเต็ม ผู้จัดการสาวรู้สึกท้อใจกับการสูญเสียของตนมาก ความพยายามทั้งหมดที่ทุ่มเทมากลับสูญเปล่า

 

 

ในชั่วพริบตาเดียว บรรดานักข่าวต่างมองเจี่ยงซือเฟยและจูมั่นเชี่ยนด้วยสายตาดูแคลน

 

 

สังกัดเฮาส์ออฟมิลเลี่ยนมีเดียได้ชื่อว่าเป็นยอดนักฉกคนดังจากเอเจนซี่และบริษัทอื่น ทุกคนในวงการต่างรู้ข้อเท็จจริงนี้ดี และเมื่อทุกคนเข้าใจแล้วก็ต่างตาสว่างว่าการกระทำเช่นนี้ช่างน่ารังเกียจจริงๆ

 

 

หลินเยียนยิ้มกว้างและพูดเสริมโดยไม่รอให้จูมั่นเชี่ยนมีโอกาสตอบโต้ “นอกจากนี้ เธอยังกล่าวหาด้วยว่า ผู้จัดการก็หน้าไม่อายพอๆ กับศิลปินที่ตัวเองดูแล

 

 

ถ้าจะให้เหตุผลแบบนี้ก็ถือว่าจ้าวหงหลิงเป็นคนหน้าด้านอย่างที่ฉันเป็น อย่างนั้นก็หมายความว่า…เจี่ยงซือเฟยก็หน้าด้านเหมือนกันหรือเปล่าคะ”

 

 

“แก…แก…”

 

 

การโต้เถียงอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ยของหลินเยียนทำให้จูมั่นเชี่ยนอึ้งจนพูดอะไรไม่ออก

 

 

ส่วนผู้สื่อข่าวต่างออกอาการสนุกสนานกันอย่างถ้วนหน้าจนแอบคิดว่าจะหาเก้าอี้มานั่งพร้อมกินป็อปคอร์นชมดรามาไปด้วย

 

 

ไม่มีใครเคยรู้มาก่อนเลยหรือว่าหลินเยียนมีทักษะการพูดที่ดีถึงขนาดนี้ ทั้งตรรกะ ความสามารถ และท่าทีในการเรียบเรียงความคิดออกมาเป็นคำพูดนั้นก็ดูน่าเกรงขามมาก!

 

 

เธอเกิดมาเป็นนักสู้โดยแท้!

 

 

หลินเยียนซ่อนเขี้ยวเล็บไว้ใต้รอยยิ้มเยาะเย้ยอีกครั้ง

 

 

ไหน ใครหน้าไหนอีกที่อยากจะโต้เถียงกับเธอ

 

 

หลินเยียนไม่เคยแพ้การโต้วาทีมาก่อนเลยนับตั้งแต่ยังเป็นเด็กตัวกระเปี๊ยก!

 

 

เธอเคยเป็นตัวแทนของโรงเรียนมัธยมปลายเข้าร่วมงานแข่งขันโต้วาทีระดับชาติมาแล้ว และสุดท้ายเธอก็คว้าชัยมาได้อย่างที่ทุกคนคาดหวังโดยที่ฝ่ายตรงข้ามพากันร้องไห้ระงมบนเวที

 

 

อันที่จริง หลินเยียนไม่ได้อยากโต้วาทีกับใคร แต่เงินรางวัลของการประกวดมันล่อตาล่อใจเหลือเกิน อีกอย่างคือเธอไม่ต้องเจ็บเนื้อเจ็บตัวแต่อย่างใด เพียงแค่ต้องฟาดปากกันเท่านั้นเอง

 

 

ดังนั้น การโต้วาทีจึงกลายเป็นการแข่งขันประเภทหนึ่งที่หลินเยียนชอบที่สุด

 

 

เมื่อครั้งที่เธอออกเดินทางไปต่างประเทศเมื่อหลายปีก่อน เธอกระหายในความสำเร็จและชื่อเสียง ทั้งยังบ้าบิ่นจนลงแข่งรถทุกประเภทเพื่อเงิน แต่แล้วเธอกลับประสบอุบัติเหตุร้ายแรงหลายครั้งหลายหนจนเกือบเอาชีวิตไม่รอด

 

 

เพื่อเรียกสติของหลินเยียนคืนมา โค้ชจึงบังคับให้เธอเข้ารับการฝึกพิเศษเข้มงวดทุกประเภทเพื่อฝึกร่างกายและเสริมสร้างความถึกทน การฝึกนี้มีทั้งการออกกำลังเพื่อพัฒนาสมรรภาพกาย ฝึกเอาตัวรอด และฝึกทักษะต่างๆ อย่างการวาดภาพและการประดิษฐ์ตัวอักษร โค้ชตั้งใจฝึกถึงขนาดที่ช่วยติวสอบจนหลินเยียนสามารถเข้าเรียนในสาขาอากาศพลศาสตร์ของสถาบันเทคโนโลยีแมตซาชูเซตส์ของประเทศเอ็มได้

 

 

หลินเยียนยังคงเป็นคนคลั่งไคล้การแข่งขันเหมือนเคยในขณะที่เรียนอยู่ที่นั่น เธอมักจะกระโดดเข้าร่วมการแข่งขันทุกรูปแบบเพื่อพิชิตเงินรางวัล และเธอก็ชนะการโต้วาทีทุกครั้งเสียด้วย

 

 

เนื่องจากหลินเยียนชื่นชอบการแข่งรถ เธอจึงตัดสินใจเรียนในสาขาอากาศพลศาสตร์ซึ่งเป็นสาขาวิชาเฉพาะทางและเพื่อนร่วมชั้นเรียนบางคนยังรู้ว่าเธอเป็นนักแข่งรถด้วย ถ้าหลินเยียนไม่ปิดบังเรื่องที่เรียนที่นี่ไว้ ความลับเรื่องตัวจริงของเธอต้องถูกเปิดเผยออกมาอย่างแน่นอน เธอจึงเก็บเงียบไม่เคยบอกใครแม้แต่หลินซูหย่า

 

 

ไม่ว่าจะเป็นทั้งเรื่องเรียน เรื่องที่เธอเข้าไปพัวพันกับอันตรายต่างๆ นานาในระหว่างการแข่งรถ เรื่องความเหนื่อยล้าแสนสาหัสในระหว่างฝึกฝน และเรื่องที่เธอเกือบจะเอาชีวิตไม่รอดอยู่หลายครั้งหลายหน หลินเยียนท้อจนเกือบจะถอดใจอยู่แล้ว แต่เธอก็ไม่เคยบอกน้องสาวสักครั้ง…

 

 

หลินเยียนกวาดตามองบรรดานักข่าวแล้วยิ้มกว้าง “คุณจูมั่นเชี่ยน ผู้จัดการระดับท็อปของเฮาส์ออฟมิลเลี่ยนมีเดียได้วิพากษ์วิจารณ์รางวัลโกลเดนคราวน์อวอร์ดโดยกล่าวหาว่ามีมาตรฐานต่ำและยังหาว่าคณะกรรมการของเวทีนั้นตามืดบอด ผู้ชนะรางวัลนักแสดงนำหญิงจากโกลเดนคราวน์อวอร์ดเองก็ยืนยันว่าผลงานการแสดงชิ้นแรกของเธอนั้นเป็นแค่หนังขยะ…พี่ๆ นักข่าวคะ ฉันคิดพาดหัวข่าวให้พวกคุณเรียบร้อยแล้วนะ ที่มาร่วมงานวันนี้คุ้มค่าแล้วเนอะ”

 

 

 

 

ตอนที่ 112 เธอไม่ใช่คนแบบนั้นแน่

 

 

เจี่ยงซือเฟยหลุดมาดเทพธิดาแสนสงบเยือกเย็น เธอดูลุกลี้ลุกลนและตื่นตระหนกขณะที่พยายามซ่อนความไม่พอใจที่มีต่อจูมั่นเชี่ยนไว้อย่างเงียบๆ ทำไมผู้จัดการของเธอถึงได้พูดจาปากพล่อยแบบนี้กันนะ

 

 

สุดท้ายกลายเป็นว่าจ้าวหงหลิงไม่ได้เป็นคนผิดเลยแม้แต่น้อย และตอนนี้ทุกคนก็จับไต๋ของจูมั่นเชี่ยนได้หมดแล้ว ทำให้เจี่ยงซือเฟยติดร่างแหไปด้วยเช่นกัน!

 

 

เจี่ยงซือเฟยไม่สามารถแสดงออกว่าเธอโมโหจูมั่นเชี่ยนได้ ดังนั้น เธอจึงขอร้องผู้จัดการว่า “พี่เชี่ยน คิดอะไรเข้าสักอย่างสิ! เราปล่อยให้ข่าวนี้แพร่ออกไปไม่ได้นะคะ…”

 

 

ถ้าข่าวนี้แพร่ออกไปจริงๆ ต้องกลายเป็นเรื่องยิ่งใหญ่กว่าบรรดาข่าวฉาวครึ่งหนึ่งของวงการบันเทิงแน่ๆ! หลินเยียนได้ปล่อยท่าไม้ตายออกมาแล้ว!

 

 

จูมั่นเชี่ยนไม่รู้เลยว่าเธอจะทำพลาดครั้งร้ายแรงเพราะความประมาทเลินเล่อเช่นนี้ เธอเองก็หัวเสียพอสมควรจนหน้าดำหน้าแดง “หลินเยียน! อย่ามาปรักปรำกันแบบนี้นะ! ฉันบอกแล้วไงว่าฉันพูดไปอย่างนั้นเอง!”

 

 

ที่กองถ่ายวันนี้เต็มไปด้วยนักข่าวจำนวนมาก ถ้าเกิดพวกเขาเอาเรื่องวันนี้ไปใส่สีตีไข่จนได้ข่าวใหญ่ขึ้นมา เธอเองจะไม่สามารถหยุดกระแสเอาไว้ได้เลย

 

 

ในที่สุดตัวตัวก็เงยหน้าขึ้นมาได้ เธอพูดพร้อมกับรอยยิ้มเย้ยหยัน “คุณผู้จัดการจูคะ ตอนนี้มันสายไปแล้วละค่ะ ต่อให้คุณยืนกรานว่าตัวเองเป็นผู้บริสุทธิ์ต่อหน้าพี่เยียนให้ตายยังไง แต่การตัดสินใจว่าจะเชื่อหรือไม่เชื่อน่ะขึ้นอยู่กับสาธารณชนแล้ว!”

 

 

จูมั่นเชี่ยนกัดฟันกรอด “พวกเธอทุกคนรวมหัวกันยั่วโมโหฉัน!”

 

 

“ขอโทษนะคะ คุณนั่นแหละที่เป็นคนพ่นทุกคำพูดให้เราโต้ตอบกลับออกจากปากตัวเอง เราไม่ได้ถือมีดจ่อคอหอยให้คุณพูดออกมาสักหน่อย! แล้วที่พี่เยียนถามคำถามเดิมซ้ำๆ จนเจี่ยงซือเฟยยังแอบเห็นด้วยอยู่เงียบๆ ด้วย!”

 

 

ในระหว่างที่การโต้เถียงดำเนินไปอย่างดุเดือด เสียงอื้ออึงก็ดังขึ้นที่ใกล้ๆ กับทางเข้าพร้อมๆ กับเสียงกรีดร้อง

 

 

หญิงสาวคนหนึ่งถูกรายล้อมและคุ้มกันโดยผู้จัดการและบอดี้การ์ดหลายนาย เธอเดินกรุยกรายในเดรสสีขาวบริสุทธิ์ของแบรนด์ดิออร์อย่างสง่างาม

 

 

การปรากฏตัวของหญิงสาวทำให้ฝูงชนปั่นป่วน

 

 

“ว้ายยย! ตายแล้ว! ซูหย่านี่! หลินซูหย่า!”

 

 

“ทำไมหลินซูหย่ามาที่นี่ล่ะ? เธอจะถ่ายหนังเรื่องนี้ด้วยเหรอ? ฉันรู้แค่ว่าหันอี้เซวียนน่ะเล่นบทรับเชิญนิดหน่อย แต่ก็ไม่น่าต้องถ่อมาถึงที่กองถ่ายวันนี้เลยนี่”

 

 

“ดูสิๆ ทั้งสวยทั้งสง่าอย่างกับนางฟ้า ซูหย่าจ๊ะ! ทางนี้! ฉันเป็นแฟนคลับเธอนะ!”

 

 

 

 

ไม่มีใครคาดคิดว่าดาราหญิงชื่อดังระดับท็อปของวงการอย่างหลินซูหย่าจะมาปรากฏตัวในวันถ่ายภาพเช่นนี้

 

 

บรรดานักข่าวตะโกนชื่อหลินซูหย่าอย่างบ้าคลั่ง และทุกคนก็วิ่งไปทางเธอในพริบตาเดียว

 

 

คิ้วของหญิงสาวเข้มสวยราวหมึกสีดำ ดวงตาของเธอใสเหมือนน้ำในฤดูใบไม้ร่วง หลินซูหย่าเป็นคนที่น่ารักมากจริงๆ

 

 

ออร่าความไร้เดียงสาของเธอนั้นเปรียบดั่งนางฟ้าที่บริสุทธิ์ผุดผ่อง

 

 

เพียงแค่เปรยตามองเท่านั้น ทุกคนก็พร้อมที่จะพุ่งเข้าใส่เพื่อปกป้องเธอในทันที

 

 

เมื่อครั้งที่หลินซูหย่าเพิ่งเดบิวต์ใหม่ๆ เธอสามารถดึงดูดแฟนๆ ได้จำนวนมากด้วยหน้าตาที่งดงามดุจเทพธิดาของเธอ

 

 

หลินเยียนเลิกคิ้วสูงเมื่อเห็นหลินซูหย่า ก่อนจะรู้สึกว่ามีใครบางคนกำลังตบบ่าเธอเบาๆ

 

 

หลินเยียนพูด “พี่หลิง…”

 

 

จ้าวหงหลิงพยายามปลอบใจดาราสาวแต่ไม่รู้จะสรรหาคำใดมาพูดดี

 

 

หลินเยียนส่งยิ้มจางๆ ให้ “พี่หลิง ไม่ต้องห่วงหรอกค่ะ ฉันไม่ก่อเรื่องอยู่แล้ว”

 

 

สมัยก่อน หลินเยียนเป็นคนอารมณ์ร้อนและควบคุมตัวเองไม่ได้ เธอมักมีอารมณ์ขุ่นมัวเสมอเพราะซ่อนความหวังและความรู้สึกที่มีต่อน้องสาวเอาไว้ แต่ตอนนี้เธอไม่ใช่คนแบบนั้นแล้ว

 

 

หลินซูหย่าสามารถดึงดูดทุกสายตาให้จับจ้องเธอได้ในวินาทีที่เธอปรากฏตัว

 

 

แม้แต่โปรดิวเซอร์และผู้กำกับก็ยังเดินเข้าไปต้อนรับเธอด้วยตัวเอง

 

 

เฝิงอันหวาเป็นจิ้งจอกเฒ่าเจ้าเล่ห์ เขาจึงรีบประจบประแจงเธอด้วยรอยยิ้มทันที “ว้าว ช่างงามบาดใจอะไรขนาดนี้ วันนี้มีเวลาว่างมาร่วมถ่ายภาพกับเราด้วยหรือครับ”