ตอนที่ 109 การแก้เผ็ด / ตอนที่ 110 คนทรยศ

ลืมรักเลือนใจ

ตอนที่ 109 การแก้เผ็ด

 

 

เจี่ยงซือเฟยกัดฟันอย่างรุนแรงชนิดที่อาจจะทำฟันหักได้ นังแพศยาหลินเยียนนั่นทั้งร้ายกาจและน่ารังเกียจ กล้าดียังไงถึงได้ขโมยซีนคนอื่นเขาหน้าตาเฉย!

 

 

จูมั่นเชี่ยนยิ้มเยาะอย่างเย็นชา “ไม่แปลกใจเลยที่จ้าวหงหลิงพาหล่อนมาโชว์ตัววันนี้! ยัยนี่ไปทำศัลยกรรมมาแน่ๆ ! เฮอะ! อดีตผู้จัดการของน้องซือเฟยกลายเป็นผู้หญิงหิวเงินไปซะแล้ว!”

 

 

เจี่ยงซือเฟยกอดอกด้วยท่าทางขุ่นมัว “ช่วยไม่ได้ ก็ไม่มีคนอื่นนอกจากหนูแล้วนี่คะ”

 

 

ทั้งสองคนพูดด้วยเสียงดังพอที่จะให้หลินเยียนได้ยิน หญิงสาวจึงตวัดสายตามองจูมั่นเชี่ยนและเจี่ยงซือเฟย เธอส่งยิ้มจางๆ ให้ทั้งสองสาวโดยไม่สบตา

 

 

สาเหตุที่ทำให้จ้าวหงหลิงไม่มีนักแสดงคนอื่นในความดูแลเลยเป็นเพราะเธอทุ่มเททั้งแรงกายและเงินไปกับเจี่ยงซือเฟยจนหมดหน้าตักแล้วต่างหาก!

 

 

หลินเยียนขัดจังหวะ “เมื่อครู่นี้ คุณผู้จัดการจูบอกว่าผู้จัดการของฉัน คุณจ้าวหงหลิง สรรหาแต่บทห่วยๆ ให้คุณเจี่ยงซือเฟยเพราะอยากได้เงินเหรอคะ”

 

 

จูมั่นเชี่ยนกระแอมให้คอโล่งเมื่อได้ยินหลินเยียนพูดถึงเธอ น้ำเสียงของเธอเปี่ยมไปด้วยความดูถูกดูแคลน “ทำไม? ฉันพูดผิดตรงไหนไม่ทราบ?”

 

 

“แล้วคุณเจี่ยงซือเฟยก็เห็นด้วยกับที่คุณจูมั่นเชี่ยนบอกเหรอคะ” หลินเยียนถามอย่างตรงไปตรงมาขณะที่จ้องมองเจี่ยงซือเฟย

 

 

เจี่ยงซือเฟยปิดปากเงียบอย่างเคร่งขรึม ดูเหมือนเธออยากจะบอกว่าเห็นด้วย

 

 

หน้าตาของเธอดูธรรมดาๆ เกินไปจนเธอไม่มีความมั่นใจในตัวเอง แล้วจ้าวหงหลิงยังบังคับให้เธอแสดงแต่บทที่ไร้รสนิยมสิ้นดี เธอจำต้องทำตัวให้ดูน่าเกลียดเพื่อสวมบทบาทเป็นตัวละครนั้น และเธอไม่อยากจะทนอีกต่อไปแล้ว

 

 

เจี่ยงซือเฟยรู้สึกโกรธจัดทุกครั้งที่ได้อ่านคำวิพากษ์วิจารณ์หน้าตาของเธอ

 

 

และซ้ำร้าย หลินเยียนในตอนนี้ไม่ได้แต่งหน้า แต่ความสวยของเธอก็ยังคงเปล่งประกายจนแสบตาไปหมด

 

 

หลินเยียนสังเกตเห็นว่าเจี่ยงซือเฟยไม่ปริปากพูด เธอจึงยิ้มเยาะอย่างเย็นชาก่อนกวาดตามองเหล่าผู้สื่อข่าวแล้วพูดว่า “โอเค ถ้าอย่างนั้น ฉันจะไล่เรียงผลงานในช่วงหลายปีที่ผ่านมาของคุณเจี่ยงซือเฟยให้ทุกคนฟังนะคะ

 

 

จุดแข็งเดียวที่ฉันมีก็คือเรื่องความจำดีนี่แหละค่ะ

 

 

ถ้าจำไม่ผิด คุณเจี่ยงซือเฟยเดบิวต์เมื่อสามปีก่อน และมีส่วนร่วมในภาพยนตร์มาแล้วห้าเรื่อง

 

 

บทแรกที่คุณเจี่ยงซือเฟยเล่น คือบทเด็กสาวผู้อาศัยอยู่ในชนบทที่ผู้จัดการของเธอเพิ่งบอกว่ามันห่วยแตก บทนี้เป็นบทเปิดตัวการเป็นนักแสดงของเธอและทำให้เธอมีชื่อเสียงอย่างมากจนคว้ารางวัลนักแสดงสมทบหญิงยอดเยี่ยมจากรางวัลโกลเดนคราวน์อวอร์ดซึ่งเป็นเวทีมอบรางวัลที่มีเกียรติและโดดเด่นที่สุดในประเทศ

 

 

ส่วนภาพยนตร์เรื่องที่สอง คุณเจี่ยงซือเฟยรับบทเป็นหญิงสาวหัวแข็ง ซึ่งคุณผู้จัดการจูก็รู้สึกว่าเป็นบทที่น่ารังเกียจไม่แพ้กัน ถึงแม้ว่าบทนี้จะไม่ได้ชิงรางวัล แต่เจี่ยงซือเฟยได้รับคำชมมากมายทางโลกออนไลน์ อีกทั้งยังได้รับคำชมจากเหล่านักวิจารณ์และผู้เชี่ยวชาญของวงการมากมาย

 

 

และในภาพยนตร์เรื่องที่สาม คุณเจี่ยงซือเฟยร่วมงานกับดาราหญิงยอดฝีมืออย่างเจียงจยาอี้ ภาพยนตร์เรื่องนี้ได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลภาพยนตร์จีนยอดเยี่ยมที่งานเทศกาลภาพยนตร์นานาชาติด้วยนะคะ

 

 

ต่อมา เรื่องที่สี่ เรื่องนี้คุณเจี่ยงซือเฟยได้รับบทนำ และได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงดารานำหญิงยอดเยี่ยม

 

 

ส่วนเรื่องที่ห้า คุณเจี่ยงซือเฟยได้รับรางวัลนักแสดงหญิงยอดเยี่ยมจากเวทีโกลเดนคราวน์อวอร์ดมาครอง ถือว่าเป็นก้าวกระโดดครั้งสำคัญที่ทำให้คุณเจี่ยงซือเฟยติดอันดับดาราแถวหน้า…”

 

 

หลินเยียนกล่าวด้วยน้ำเสียงฉะฉานและทรงพลัง ทุกอย่างที่เธอพูดถูกต้องทั้งหมด

 

 

หญิงสาวหันไปเผชิญหน้ากับจูมั่นเชี่ยนและเจี่ยงซือเฟย “ทุกคนในที่นี้รู้ดีว่ารายได้รวมของหนังนอกกระแสทั้งห้าเรื่องที่ฉันพูดถึงนั้นเทียบไม่ได้เลยกับหนังโฆษณาหรือละครน้ำเน่า

 

 

ผู้จัดการจู คุณเจี่ยงซือเฟย คุณสองคนบอกว่าจ้าวหงหลิงบังคับให้คุณเจี่ยงซือเฟยรับบทเพื่อเงินและผลักไสให้เธอแสดงแต่หนังห่วยๆ ถ้าอย่างนั้น คุณคิดว่าคณะกรรมการของโกลเดนคราวน์อวอร์ดเป็นคนตาบอดหรือเปล่าคะ หรือจะหมายถึงผู้ชม? หรือคุณอยากจะบอกว่าหนังที่ทำเงินไม่ได้คือหนังขยะ?”

 

 

ความเงียบเข้าปกคลุมทั้งสตูดิโอในทันทีที่สิ้นเสียงของหลินเยียน

 

 

เหล่าผู้สื่อข่าวต่างหันไปมองเจี่ยงซือเฟยและจูมั่นเชี่ยนเป็นตาเดียวกัน

 

 

 

 

ตอนที่ 110 คนทรยศ

 

 

แม้ว่าหลินเยียนจะมีชื่อเสียงในทางที่ไม่ดีและไม่น่าเชื่อถือเท่าไรนัก แต่การโต้แย้งของเธอมีเหตุผลและข้อเท็จจริงรองรับทั้งหมด ทุกคนจึงไม่รู้สึกว่ามีปัญหาแต่อย่างใด

 

 

ความสำเร็จและชื่อเสียงของเจี่ยงซือเฟยล้วนมาจากบทที่เธอรับเล่นทั้งนั้น

 

 

นอกจากนี้ ความสามารถและการมองการณ์ไกลของจ้าวหงหลิงยังเป็นที่ยอมรับของคนในวงการอีกด้วย

 

 

เจี่ยงซือเฟยปฏิเสธคำขอร้องทั้งหมดของจ้าวหงหลิงเมื่อตอนที่เธอตัดสินใจย้ายสังกัด เธอยืนกรานว่าความสำเร็จที่ผ่านมาของเธอนั้นไม่ได้มาจากฝีมือของจ้าวหงหลิง ทั้งยังดูหมิ่นผลงานในอดีตที่เคยทำให้เธอมีชื่อเสียงว่าไม่สามารถทำให้เธอมีชื่อเสียงได้มากเท่าที่ควรจะเป็น

 

 

เธอทำเกินไปจริงๆ

 

 

เจี่ยงซือเฟยรู้สึกเหมือนลำคอตีบตันขึ้นมากะทันหัน สีหน้าของเธอซีดเผือดเมื่อได้ยินที่หลินเยียนพูด

 

 

ก่อนหน้านี้ จูมั่นเชี่ยนหลงละเมอไปกับความหยิ่งยโสโอหังมากเกินไปและพูดจาฉอดๆ โดยไม่ทันคิดไตร่ตรองให้ดีเสียก่อน ตอนนี้เธอคอตกหลังจากได้ยินคำพูดของหลินเยียน เธอเข้าใจแล้วว่าทุกอย่างกำลังกลับตาลปัตรไปหมด

 

 

จ้าวหงหลิงเลือกให้เจี่ยงซือเฟยแสดงภาพยนตร์นอกกระแสที่มีความเป็นศิลปะมากเกินไป ภาพยนตร์บางเรื่องทั้งขาดทุนและได้รับคำวิจารณ์แง่ลบมากมาย ไม่ใช่ว่ามาตรฐานของสังคมในสมัยนี้เห็นว่าหนังพรรค์นี้เป็นขยะหรอกหรือ

 

 

แต่ถึงกระนั้น จูมั่นเชี่ยนไม่เคยคาดคิดมาก่อนเลยว่าหลินเยียนจะอ้างเรื่องเวทีมอบรางวัลและคำวิจารณ์แง่บวกมาใช้พิสูจน์ประเด็นที่เธอพูด อีกทั้งเธอยังกล่าวถึงผู้ชมและคณะกรรมการด้วย

 

 

หลินเยียนสามารถโต้แย้งได้อย่างยอดเยี่ยมจนบรรดานักข่าวเริ่มเปลี่ยนฝั่ง แม้แต่เจียงอีหมิงเองก็ยังพยักหน้าหงึกหงักเป็นเชิงเห็นด้วย

 

 

นักข่าวคนหนึ่งที่รับเงินในซองแดงมาจากจูมั่นเชี่ยนเอ่ยขึ้นมาอย่างอดไม่ได้ “ที่จริงแล้ว คุณจ้าวหงหลิงได้ปูทางที่จะใช้ความสามารถของเจี่ยงซือเฟยไว้อย่างชาญฉลาดแล้วนะ ดาราที่ไม่ได้มีหน้าตาสะสวยแบบเธอยังไงก็ทำได้แค่รับบทเล็กๆ น้อยๆ ไปตลอดชีวิต แต่ถ้าใช้ความสามารถไต่เต้าจนถึงระดับท็อปได้ภายในสามปีก็ถือว่าเธอโชคดีมากแล้ว!”

 

 

“จริงด้วย! เจี่ยงซือเฟยได้ผู้จัดการที่ทั้งฉลาดและมองการณ์ไกลจริงๆ!”

 

 

“น่าเสียดายที่เธอไม่เห็นคุณค่าในพยายามของผู้จัดการเลย ตอนนี้เธอดังแล้วก็เลยย้ายไปอยู่สังกัดใหญ่ๆ แทน แถมยังดูถูกงานที่ทำให้เธอโด่งดังอีกต่างหาก!”

 

 

“แล้วนี่ยังพาผู้จัดการคนใหม่มาเยาะเย้ยอดีตผู้จัดการอีก แบบนี้เขาเรียกว่าคนทรยศไม่ใช่เหรอ”

 

 

 

 

ตัวตัวที่แอบกลัวว่าหลินเยียนจะก่อเรื่องก่อนหน้านี้รู้สึกประหลาดใจกับการพูดจาที่ฉะฉานของหลินเยียนเป็นอย่างมาก

 

 

เธอยืนนิ่งราวตกอยู่ในภวังค์ขณะที่จ้องหลินเยียนด้วยหลากอารมณ์ผสมปนเปกัน

 

 

ด้านจ้าวหงหลิงเองก็หลับตาแล้วถอนหายใจยาวๆ

 

 

เธอคิดไว้ว่าจะยอมรับคำครหาแต่โดยดีแล้วปล่อยให้เรื่องจบๆ ไป และเธอไม่เคยบังคับให้ใครก็ตามมาอยู่ฝ่ายเดียวกับเธอ

 

 

แต่หลังจากที่ได้ยินหลินเยียนอธิบายเกี่ยวกับบทและสารพัดสิ่งที่เธอสรรหามาประเคนให้เจี่ยงซือเฟยอย่างละเอียดถี่ถ้วน เธอก็นึกขึ้นได้ว่าตนเคยทุ่มเทกับดาราคนนี้ไปมากมายขนาดไหนในช่วงหลายปีที่ผ่านมา และเธอก็รู้สึกเจ็บแปลบในหัวใจ

 

 

จูมั่นเชี่ยนสัมผัสได้ว่าเหล่าผู้สื่อข่าวกำลังย้ายข้างจึงละล่ำละลักออกมาอย่างวิตกกังวล “หลินเยียน! ฉันก็แค่พูดผิดไปบ้างเท่านั้นเอง! ที่ฉันตั้งใจจะสื่อคือ น้องซือเฟยสมควรได้รับสิ่งที่ดีและควรได้มีพื้นที่แสดงความสามารถของเธอที่ยิ่งใหญ่กว่านั้น!”

 

 

“โอ้…ถ้างั้น ผลงานในภาพยนตร์ที่ผ่านๆ มาของเธอก็ควรจัดอยู่ในหมวดหนังขยะด้วยหรือเปล่าคะ” หลินเยียนถามอย่างดุดัน

 

 

จูมั่นเชี่ยนจ้องมองหลินเยียนด้วยแววตาที่พร้อมฆ่าคนก่อนเอ่ยอย่างเย็นชา “นี่ หลินเยียน ทำไมถึงพยายามทำตัวเป็นผู้ผดุงความยุติธรรมเหลือเกิน ตัวเธอเองไม่ใช่เหรอที่เป็นเจ้าแม่หนังละครสั่วๆ อันดับหนึ่งของวงการแถมยังใช้เล่ห์เหลี่ยมไร้ยางอายเพื่อให้ได้ทั้งเงินทองและชื่อเสียง! ดาราจอมละโมบอย่างเธอก็เหมาะกันดีกับผู้จัดการหน้าเลือดแบบนั้นแล้วไง! เธอกับจ้าวหงหลิงก็ไม่ได้ต่างกันเท่าไหร่หรอก”

 

 

หลินเยียนเลิกคิ้วสูง เธอเดาไว้อยู่แล้วว่าจูมั่นเชี่ยนจะตอบโต้ด้วยการขุดคุ้ยอดีตของเธอมาพูด “คุณผู้จัดการจูคะ คุณพยายามเบี่ยงเบนความสนใจได้ดีมาก แต่ต้องบอกก่อนว่าฉัน หลินเยียนคนนี้ ไม่เคยฟังคำสั่งใครทั้งนั้น ฉันทำสิ่งที่ฉันอยากจะทำ และฉันกับจ้าวหงหลิงเป็นไม้เบื่อไม้เมากันมาตลอด พี่หลิงเป็นคนยึดมั่นในหลักการมากและเธอต้องการทำตามเงื่อนไขในสัญญา พี่หลิงอดทนกับฉันมากแทนที่จะเตะโด่งฉันออกจากสังกัดไปให้พ้นๆ

 

 

ไม่ว่าฉันจะทำตัวแย่ขนาดไหน แต่นั่นก็คือการกระทำที่ฉันตัดสินใจเองโดยไม่ได้เกี่ยวข้องกับคนอื่นเลย จ้าวหงหลิงน่ะเป็นแค่คนโชคร้ายที่ดันตกกระไดพลอยโจนมาซวยกับฉันก็เท่านั้น!”