ตอนที่ 88 ถูกใจหรานหร่านเข้าแล้ว เธอไปไหนแล้วล่ะ

เผยตัวตนลับ จับหัวใจเธอ

ลู่จ้าวอิ่งดึงฉินหร่านมาเป็นพวกของตัวเอง เริ่มค่อยๆ อธิบายบางส่วนให้เธอฟัง

 

 

แต่คิดไม่ถึงว่าพอเขาพูดจบ ฉินหร่านไม่แม้แต่จะถามสักคำ ใบหน้ายังคงไร้อารมณ์

 

 

เธอถึงขั้นว่าคีบผักให้ตัวเองเต็มตะเกียบ

 

 

ในใจไม่รู้สึกอะไรเลยสักนิด

 

 

ลู่จ้าวอิ่งรอให้ฉินหร่านถามเขาว่าสำนักงานสืบสวนอะไร ผู้บัญชาการเฉียนทำอะไร… เขากำลังรอคอยคำถามเหล่านี้อยู่

 

 

“เอาเถอะ” ลู่จ้าวอิ่งวางตะเกียบลง เอนหลังพิงเก้าอี้แล้วยิ้ม “ให้ตายเถอะ ทำไมฉันต้องพูดเรื่องพวกนี้กับเธอด้วย”

 

 

เธอไม่เข้าใจซะหน่อย

 

 

ลู่จ้างอิ่งถอนหายใจออกมาอย่างแรง

 

 

“ท่านเจวี้ยน ยากแล้วล่ะ” ลู่จ้าวอิ่งเอียงหัวไปทางเฉิงเจวี้ยนแล้วกระซิบบอก

 

 

เฉิงเจวี้ยนไม่สนใจลู่จ้าวอิ่ง แค่ก้มหน้ามองบาดแผลของฉินหร่านแวบหนึ่ง “วันนี้ทายาแล้วหรือยัง”

 

 

ช่วงที่บาดแผลของฉินหร่านสมานกันเธออยากใช้มือเกาอยู่ตลอด เฉิงเจวี้ยนเลยเอายาที่เย็นสบายให้เธอหลอดหนึ่ง ให้เธอทาให้ตรงเวลา

 

 

“อืม” ฉินหร่านกำมือของตัวเอง พูดอย่างขอไปที

 

 

เฉิงเจวี้ยนเหลือบมองเธอ ความผิดครั้งก่อนของเธอรุนแรงเกินไป

 

 

ยื่นมือไปดึงมือขวาของเธอมาแล้วกวาดตามอง จ้องฉินหร่านเหมือนจะขำแต่ก็ไม่ขำ

 

 

นิ้วของเฉิงเจวี้ยนเย็นเฉียบอยู่เสมอ ปลายนิ้วเป็นสีขาวซีด เห็นเส้นเลือดสีเขียวรางๆ

 

 

ฝ่ามือสากเล็กน้อย

 

 

ฉินหร่านเงยหน้ามองเขาน้อยๆ ท่าทางเขาดูไม่พอใจมากทีเดียว ก็อดเอนหลังพิงเก้าอี้แล้วยิ้มไม่ได้ พูดเสียงเบาว่า “พอแผลสมานกัน ก็ไม่เป็นไรแล้ว”

 

 

เฉิงเจวี้ยนมองเธอแวบหนึ่ง ไม่พูดอะไร

 

 

ดูเหมือนผู้บัญชาการห่าวจะหงุดหงิดมากทีเดียว อาหารเต็มโต๊ะ เขากินไม่กี่คำก็วางตะเกียบลง

 

 

หยิบบุหรี่มวนหนึ่งออกมาคาบ ยังไม่ทันได้จุด

 

 

เฉิงเจวี้ยนก็ปรายตามองเขา พูดเสียงเรียบเฉย “ออกไป”

 

 

ผู้บัญชาการห่าวนิ่งไปหลายวินาที กว่าจะรู้สึกตัว ก็หยิบบุหรี่แล้วออกไปข้างนอกอย่างไม่ให้สุ้มให้เสียง

 

 

ไม่นานเฉิงมู่ก็หยิบซองบุหรี่ตามออกมา

 

 

“ท่านเจวี้ยนเป็นอะไรไป” ผู้บัญชาการห่าวพ่นควันวงแหวนออกมา หรี่ตามองเฉิงมู่

 

 

สีหน้าของเฉิงมู่ดูสับสน ส่ายหน้าแล้วพูดว่า “ก็อย่างที่คุณเห็น คุณหนูฉินคนนี้…ก็อย่างที่คุณเห็นนั่นแหละ”

 

 

“เธอเป็นแค่นักเรียนของอีจงจริงเหรอ” ผู้บัญชาการห่าวหันมองเฉิงมู่ ใบหน้ามีความลังเลเล็กน้อย “เป็นเหมือนเทพธิดาของนายหรือเปล่า…”

 

 

“ไม่มีทาง อย่าเอาใครก็ตามมาเทียบกับเทพธิดาของผม” พอพูดถึงเทพธิดาของเฉิงมู่ เขาก็ว้าวุ่นผิดปกติ

 

 

 

 

เพิ่งกินข้าวเสร็จ มือถือของเฉิงเจวี้ยนก็ดังขึ้น

 

 

เป็นสายจากเจียงหวย

 

 

เป็นเพราะเรื่องของฉินหร่านครั้งก่อน เจียงหวยมีส่วนช่วยเฉิงเจวี้ยน เฉิงเจวี้ยนจึงไม่ปฏิเสธนัดของเขา

 

 

“ฉินเสี่ยวหร่าน พี่ชายจะพาเธอไปเปิดหูเปิดตาเอง” ลู่จ้าวอิ่งจะพาฉินหร่านไปให้ได้ “เล่นบิลเลียดเป็นไหม ฉันสอนเธอเอง”

 

 

วันนี้เป็นวันศุกร์ พรุ่งนี้ไม่มีเรียน

 

 

ฉินหร่านไม่เคยเล่นบิลเลียด เคยเห็นแต่บิลเลียดในทีวี

 

 

เธอเปลี่ยนใจลู่จ้าวอิ่งไม่ได้ สุดท้ายก็ตามไปด้วย

 

 

ละแวกโรงเรียนอีจงมีคลับเยอะ สถานที่เที่ยวเล่นก็เยอะเหมือนกัน ขับรถไม่ถึงสิบนาทีก็ถึงคลับวีไอพีแห่งหนึ่ง

 

 

ที่นี่เงียบทีเดียว ดูแล้วคงจะเป็นคลับชั้นสูง

 

 

ฉินหร่านไม่ได้ตรงเข้าห้องส่วนตัว แต่เข้าห้องน้ำก่อน พอเธอออกจากห้องน้ำ ก็เห็นหลินจิ่นเซวียนที่ถือโทรศัพท์กับยืนคุยกับใครบางคนกลางทางเดิน

 

 

“เธอมาอยู่นี่ได้ยังไง” หลินจิ่นเซียนเห็นฉินหร่านก็ชะงักไปครู่หนึ่ง จากนั้นก็คุยกับคนปลายสายแล้วตัดสายไป

 

 

เขารูปร่างสูงขายาว เกิดเป็นเงาสูงชะลูดฉายบนทางเดิน

 

 

ฉินหร่านก็ไม่คิดเหมือนกันว่าจะเจอหลินจิ่นเซวียนที่นี่

 

 

ตั้งแต่เกิดเรื่องในเวยป๋อครั้งก่อน หลินจิ่นเซวียนมาหาเธอบ่อยครั้ง ประเด็นหลักเป็นเพราะฉินอวี่

 

 

เมื่อคนเป็นน้องทำผิด พี่ชายอย่างหลินจิ่นเซียนย่อมต้องตามล้างตามเช็ดให้

 

 

“เป็นผู้หญิงอย่ามาป้วนเปี้ยนในที่แบบนี้ตามใจชอบสิ โดยเฉพาะผู้หญิงอย่างเธอ…เธอไปที่ห้องส่วนตัวกับฉันก่อน” หลินจิ่นเซวียนดึงแขนเสื้อของฉินหร่านโดยไม่ให้โอกาสอีกฝ่ายโต้แย้ง เขาเอียงหัว ใบหน้าหล่อเหลา “อวี่เอ่อร์ก็อยู่ด้วยพอดี เรื่องคราวก่อนน้องก็มีส่วนผิด ให้น้องได้ขอโทษเธอต่อหน้าหน่อย”

 

 

ฉินหร่านชักแขนเสื้อของตัวเองออก

 

 

หลายวันมานี้หลินจิ่นเซียนไปหาเธอหลายต่อหลายครั้ง จะจอดรถไว้หน้าโรงเรียนทุกครั้ง เพราะเรื่องของฉินอวี่

 

 

ฉินหร่านคิดๆ ดูแล้ว ตัดสินใจว่าจัดการเรื่องของเขาก่อนก็แล้วกัน

 

 

หลินจิ่นเซวียนเพื่อนเยอะ โดยส่วนใหญ่ที่นี่จะมีแต่พวกทายาทที่ฐานะความเป็นอยู่ค่อนข้างดีของเมืองอวิ๋นเฉิง

 

 

ตอนที่เขาผลักประตูเข้ามา กลุ่มคนที่กำลังสนุกได้ที่หยุดชะงักไป

 

 

ผู้หญิงที่ยืนข้างหลินจิ่นเซียนล้วงกระเป๋าด้วยมือข้างเดียว เสื้อคลุมยูนิฟอร์มถูกมัดไว้ที่เอว ดูซึมเซาไม่สนอะไร แทบจะปิดบังความเอาแต่ใจที่อยู่ภายในไม่มิด

 

 

คนเต็มห้องส่วนตัว ฉินหร่านรู้จักแค่เฟิงฉือที่ถูกผู้คนรุมล้อมอยู่ตรงกลางเท่านั้น

 

 

“นี่มัน…” ตอนที่เห็นฉินหร่าน เฟิงฉือก็นิ่งไปชั่วครู่ รู้สึกเหมือนตัวเองเคยเห็นผู้หญิงคนนี้ที่ไหนมาก่อน

 

 

“เธอยังอยู่ม.ปลาย พวกนายอย่าเล่นแผลงๆ ละ” หลินจิ่นเซวียนเตือนแล้วมองฉินอวี่แวบหนึ่งอย่างมีเลศนัย ให้เธอขอโทษฉินหร่าน

 

 

ฉินอวี่เม้มปาก

 

 

หลินจิ่นเซวียนดูยุ่งมาก

 

 

ยังไม่ทันได้พูดกับฉินอวี่ มือถือในกระเป๋าก็ดังขึ้นอีกครั้ง

 

 

เขาเอียงหัวกำชับเฟิงฉือคำหนึ่ง ให้เขาดูแลฉินหร่านหน่อย จากนั้นก็กำชับพวกคุณชายที่เล่นค่อนข้างรุนแรง

 

 

“ผู้หญิงคนนั้นเป็นแฟนของพี่เธอเหรอ” ผู้หญิงที่ใส่กระโปรงสีดำข้างฉินอวี่กระซิบถาม “พี่ชายเธอเป็นห่วงขนาดนั้นเลยเหรอ แค่ออกไปคุยโทรศัพท์ ยังฝากคุณชายเฟิงเป็นพิเศษอีก”

 

 

ผู้หญิงพวกนี้ก็ประเมินสถานการณ์เหมือนกัน ใครหาเรื่องได้ ใครหาเรื่องไม่ได้ รู้ดีแก่ใจ

 

 

พอเธอเอ่ยปาก ผู้ชายที่ย้อมผมทองก็ยิ้มทั้งที่คาบบุหรี่ไว้ “นั่นสิ ไม่เคยเห็นเลย คนของพี่เธอเหรอ”

 

 

สายตาไม่ละจากฉินหร่านเลยสักนิด

 

 

ถ้าเป็นผู้หญิงของหลินจิ่นเซวียนจริง เขาก็ไม่กล้าแตะต้อง

 

 

เป็นแบบนี้เสมอ ไม่ว่าตัวเองจะพยายามแค่ไหน ขอแค่ฉินหร่านอยู่ สายตาของทุกคนก็แทบจะจับจ้องมาที่เธอทั้งหมด

 

 

ฉินอวี่ยิ้ม “ที่จริง เธอเป็นพี่สาวของฉัน โตกว่าฉันหนึ่งปี เพิ่งมาอยู่เมืองอวิ๋นเฉิงได้ไม่นาน เพราะตอนเรียนม.ปลายเคย…ยังไงซะก็หยุดเรียนไปปีหนึ่ง ตอนนี้ก็ไม่ได้อยู่บ้านฉัน ยังไง…คุณชายรองชอบเธอ ก็นับว่าเป็นเกียรติกับเธอ”

 

 

หนุ่มสาวหลายคนรอบตัวสบตากัน ต่างก็แปลกใจไม่น้อย

 

 

โดยเฉพาะคุณชายรองคนนี้ แววตาจดจ้องขาที่ทั้งเรียวและยาวของฉินหร่าน จากนั้นก็มองใบหน้าที่เฉยชาเจือความอ่อนล้าเล็กน้อย เขาลูบบุหรี่ในปาก

 

 

ถือแก้วเหล้าเดินเข้าไป

 

 

 

 

ขณะเดียวกัน

 

 

ในห้องส่วนตัวของเจียงหวยเงียบกริบ นอกจากลู่จ้าวอิ่งแล้ว ก็มีแค่เจียงหวยกับคนของสำนักงานอัยการสูงสุดไม่กี่คน

 

 

คนพวกนี้ล้วนมีอิทธิพลในเมืองอวิ๋นเฉิง แต่นอกจากเจียงหวยที่นั่งข้างเฉิงเจวี้ยนแล้ว คนอื่นไม่มีใครกล้าพูดอะไรมากนัก

 

 

เฉิงเจวี้ยนก็ไม่ดื่มเหล้า จึงหยิบถ้วยชา สายตามองไปทางประตู

 

 

ผ่านไปนานสองนาน เขาหันหัวเล็กน้อย เคาะโต๊ะอย่างไม่ยี่หระ มองลู่จ้าวอิ่ง นัยน์ตาดำสนิท “เธอล่ะ”