ขณะที่เผชิญหน้ากับการท้าทายของเล่อเหยาเหยา การไม่ตอบรับถือเป็นทางเลือกของคนไร้ความสามารถ!
เขาไม่ใช่คนที่กลัวแพ้ ชื่นชอบรับคำท้า!
ดังนั้น หลังจากหายจากตกตะลึง ก็ตอบรับคำท้าของเล่อเหยาเหยาครั้งนี้อย่างอารมณ์ดี!
เล่อเหยาเหยาเมื่อได้ยินคำพูดของหนานกงจวิ้นซี จึงยิ้มมุมปากอย่างมั่นใจ ก่อนเอ่ยว่า
“หากครั้งนี้พวกเราผู้ใดชนะ เช่นนั้นคนแพ้ต้องตอบรับเงื่อนไขทุกอย่างของฝ่ายที่ชนะนั้น ทว่าต้องไม่ใช่การฆ่าคนวางเพลิงเรื่องผิดกฎหมายพวกนั้น!”
“ฮ่าๆ น่าสนใจ น่าสนใจจริงๆ! เจ้ากล้าหาญยิ่งนัก! เจ้าคือคนแรกที่กล้ามาท้าทายข้า!”
เมื่อได้ยินเล่อเหยาเหยาเอ่ยจบ หนานกงจวิ้นซีพลันยิ้มมุมปาก เลิกคิ้วกระบี่ขึ้น
หน้าตาดูเจ้าสำราญไม่อยู่ในกรอบธรรมเนียม รอยยิ้มที่น่ามอง น่าหลงใหล อีกทั้งยังมีเสน่ห์ของความดื้อรั้นไม่รู้จักแพ้!
เมื่อได้ยินคำพูดของหนานกงจวิ้นซี เล่อเหยาเหยายิ้มมุมปากพลางเอ่ยว่า
“ฮ่าๆ ท่านก็เป็นคนแรกที่คิดท้าทายบ่าว ตั้งแต่บ่าวมาอยู่ที่นี่!”
อีกทั้งยังเป็นคนที่ทำให้เธออยากสั่งสอนให้หนักสักชุด
…
เพราะพนันกับหนานกงจวิ้นซี ดังนั้นหลายวันนี้เล่อเหยาเหยาจึงพยายามฝึกฝนชุดการแสดงที่จะใช้แข่งขันในวันนั้นอย่างหนัก นั่นคือเรื่องที่เธอชำนาญที่สุด
เต้นรำ!
ตอนแรกเดิมทีเธออยากร้องเพลง
ต่อมาคิดดูแล้ว ร้องเพลงธรรมดาเกินไป
อีกทั้งเมื่อลองฝึกเต้นแล้ว กลับพบสิ่งที่ไม่น่าเชื่อสายตาว่า ระดับความยืดหยุ่นของร่างนี้ช่างน่าเหลือเชื่อยิ่งนัก
คิดดูแล้วร่างนี้ ก่อนหน้านี้ต้องเต้นรำได้ อีกทั้งยังเป็นประเภทมีความสามารถด้านการเต้นรำแน่
เพราะมีเพียงคนที่ฝึกเต้นรำ ร่างกายจึงจะยืดหยุ่นเช่นนี้
กระทั่งร่างกายเดิมในศตวรรษที่ยี่สิบเอ็ดของเธอ เมื่อทำท่าทางขึ้นมาต้องพยายามอย่างหนัก แต่ว่าร่างนี้เต้นได้อย่างง่ายดาย
ดังนั้น เล่อเหยาเหยาจึงยิ่งสงสัยเกี่ยวกับสถานะของร่างนี้ของตน
หากเป็นจริงดังที่เสี่ยวมู่จื่อบอก เจ้าของร่างนี้เป็นเด็กจากครอบครัวยากจน เหตุใดผิวจึงขาวผุดผ่องเช่นนี้ ยังมีมือเล็กที่ขาวดุจหิมะคู่นั้นอีก แม้หลายวันนี้จะทำงานบางอย่าง จนทำให้กลางฝ่ามือเกิดรอยด้านเล็กน้อยขึ้นมา แต่เล่อเหยาเหยาไม่ใช่คนโง่ วันแรกที่มาถึงที่นี่ เธอตรวจสอบได้ว่าเมื่อก่อนร่างนี้ต้องใช้ชีวิตอย่างสบายหรูหราเป็นแน่ งานหนักอันใดต่างไม่เคยทำมาก่อน
แต่เหตุใดเจ้าของร่างนี้ตอนแรกถึงมาเป็นขันทีอยู่ที่นี่ล่ะ! เรื่องนี้ยังมีความลับอันใดกันแน่!
คิดไม่ออกเลยจริงๆ
ทว่าเล่อเหยาเหหยาเป็นคนประเภทหากคิดไม่ออก จะไม่เสียเวลาคิดให้เปลืองสมอง
กลับกันเรือย่อมเทียบท่าเมื่อถึงฝั่ง ต่อไปสถานะจริงของร่างนี้ เธอจะต้องตรวจสอบให้แน่ชัดให้ได้
ส่วนเวลานี้ สิ่งที่เธอกังวลที่สุดคือการแข่งขันแสดงความสามารถด้านศิลปะในอีกสามวันข้างหน้า
การแข่งขันแสดงความสามารถด้านศิลปะครั้งนี้ เธอจะแพ้ไม่ได้ ต้องไม่แพ้เด็ดขาด!
…
ตรงข้ามกับเล่อเหยเหยาที่พยายามสู้ไม่หยุด ทางด้านหนานกงจวิ้นซี หากไม่จิบชาอย่างน่าเบื่ออยู่ในห้องหนังสือกับเหลิ่งจวิ้นอวี๋ทุกวัน ก็เดินเล่นอยู่ภายในห้องหนังสือด้วยสีหน้าเบื่อหน่าย
เหลิ่งจวิ้นอวี๋ที่เดิมทีกำลังเพ่งสมาธิอ่านตำราด้านการทหารอยู่ด้านข้าง เห็นศิษย์น้องของตนนั่งเอ้อระเหยอย่างไม่มีอันใดทำ จึงเพียงกวาดสายมองแวบหนึ่ง ก่อนหลุบสายตากลับมา จากนั้นเอ่ยถามโดยไม่เงยหน้าขึ้นมา
“เจ้าพนันกับกระต่ายน้อยมิใช่หรือ”
“ศิษย์พี่ใหญ่ ท่านวางใจ ข้ามั่นใจในตนเองยิ่งนัก แม้กระต่ายน้อยนั้นจะกล้าหาญอย่างมาก แต่ยังเป็นเพียงเด็กไร้เหตุผลคนหนึ่ง ข้าไม่เอา ‘เขา’ มาวางไว้ในสายตาหรอก!”
หนานกงจวิ้นซีพูดด้วยสีหน้ามั่นใจ เหลิ่งจวิ้นอวี๋ได้ยิน เพียงพลางอ่านหนังสือ พลางเอ่ยปากเสียงเบาว่า
“ทหารที่ทะนงตนมักรบพ่ายแพ้!”
“แค่กๆ ศิษย์พี่ใหญ่ เหตุใดมองศิษย์น้องท่านเช่นนี้! แม้ข้าไม่ฉลาดเช่นท่าน แต่ต้องฉลาดกว่าขันทีผู้นั้นอยู่แล้ว! ใช่ ข้ายอมรับว่าขันทีน้อยนั้นพิเศษยิ่งนัก มีสมองและฉลาดเฉลียวอยู่บ้าง แต่ข้าอ่านหนังสือมาหมื่นเล่ม จะแพ้ให้กับขันทีน้อยที่เพียงเก่งแต่ปากได้เช่นไร!”
สำหรับการไม่เห็นฝ่ายตรงข้ามอยู่ในสายตาของหนานกงจวิ้นซี เหลิ่งจวิ้นอวี๋เพียงก้มศีรษะส่ายหน้าอย่างจนใจ
แต่เมื่อสายตาตกอยู่บนหนังสืออีกครั้ง ในใจกลับไม่อยู่ตรงนี้เสียแล้ว
หลายวันนี้ เพราะเล่อเหยาเหยาพนันกับหนานกงจวิ้นซี ดังนั้นเหลิ่งจวิ้นอวี๋จึงให้เล่อเหยาเหยาหยุดพักอย่างเข้าใจในเหตุผล ทำให้เธอสามารถเตรียมตัวได้อย่างเต็มที่
อีกทั้งหลายวันนี้ เพียงหลับตาลง ภายในหัวของเขาอัดแน่นไปด้วยคนตัวเล็กจิ้มลิ้มนั้น
คิดถึงรอยยิ้มของ ‘เขา’ คิดถึงคำพูดที่ไม่ยอมจำนนต่อหนานกงจวิ้นซี ยังคิดถึงกลิ่นหอมจางๆ บนตัว ‘เขา’
สำหรับการเปลี่ยนแปลงอย่างช้าๆ ของตน กระทั่งเหลิ่งจวิ้นอวี๋อาจจะยังไม่รู้ตัวเอง
ส่วนเหลิ่งจวิ้นอวี๋ตอนนี้ กำลังคิดว่าในการแข่งขันแสดงความสามารถด้านศิลปะครั้งนี้ เล่อเหยาเหยาจะแสดงอันใด
แม้จะรู้จักกับขันทีน้อยนั้นได้ไม่นาน แต่กลับทำให้เขารู้จักนิสัยของ‘เขา’ได้ง่ายดายยิ่งนัก
‘เขา’ชอบแสร้งเป็นไร้เดียงสาน่าสงสาร รักเงินทองอย่างมาก และไม่ยอมรับความพ่ายแพ้ ปากเก่ง เฉลียวฉลาดอยู่บ้าง ไม่เกรงกลัวอำนาจ
และเพราะ‘เขา’เป็นเช่นนี้เหลิ่งจวิ้นอวี๋จึงเห็นว่าวิเศษที่สุด ดังนั้นเขาจึงแปลกใจ ตกใจ และอดชื่นชอบ‘เขา’ไม่ได้
ทว่าความชื่นชอบของเขา ทั้งหมดนี้คือชื่นชอบที่ได้เห็นรอยยิ้มราวสุนัขรับใช้ของ‘เขา’ท่าทางน่ารัก ภาษาที่ขบขัน
อย่างน้อย เหลิ่งจวิ้นอวี๋ก็พูดเช่นนี้กับตนเอง มิฉะนั้น เขาคงไร้หนทางที่จะอธิบาย ว่าเหตุใดเขาจึงปฏิบัติกับผู้อื่นอย่างเย็นชา แต่สำหรับคนตัวเล็กนี้กลับแตกต่างออกไป
ขณะที่เหลิ่งจวิ้นอวี๋คิดอยู่ในใจ ทางหนานกงจวิ้นซีนั้นไม่รู้ความคิดในใจของเหลิ่งจวิ้นอวี๋ เห็นท่าทางก้มหน้าอ่านหนังสือของศิษย์พี่ใหญ่ พลันรู้สึกเบื่อหน่าย ดังนั้นจึงเดินมาที่ข้างโต๊ะหนังสือ ก่อนหยิบม้วนภาพพวกนั้นออกมา ก่อนเปิดดูทีละภาพ
ภายในกรอบภาพนี้ มีเพียงพวกภาพวาดด้วยหมึกที่ล้ำค่าควรเมืองเท่านั้น แต่ว่าเวลานี้หนานกงจวิ้นซีกำลังเบื่อหน่าย จึงข่มใจค่อยๆ ไล่ดูไป
ทว่าทุกภาพเขาเพียงกวาดตามองแวบเดียวอย่างไม่ใส่ใจ ก่อนรีบเก็บลงไป บนใบหน้าก็มีท่าทางไม่สนใจแม้แต่นิดเดียว
หากถูกเจ้าของภาพวาดเหล่านี้รู้เข้า ต้องเกลียดชังเข้ากระดูกดำ น้ำตาไหลนองหน้าเป็นแน่
กระทั่งหนานกงจวิ้นซีสุ่มหยิบม้วนภาพออกมาหนึ่งม้วน แล้วเปิดออกอย่างช้าๆ อีกครั้ง
เดิมคิดว่าจะเหมือนกับภาพเมื่อครู่ มองแวบเดียวแล้วเก็บลงไป
คิดไม่ถึง หลังจากหนานกงจวิ้นซีเห็นภายในม้วนภาพอย่างชัดเจน ทั่วร่างพลันคล้ายถูกฟ้าผ่าตอนกลางวัน แข็งทื่ออยู่ตรงนั้น ดวงตาดุจดอกท้อไร้สีสันก็สว่างวาบขึ้นทันที ราวกับเทียนไขที่เพิ่งถูกจุดไฟขึ้นมา และดวงตาเบิกกว้าง
“ศิษย์พี่ใหญ่ ภาพนี้คือ…”
เมื่อได้ยินเสียงตกใจของหนานกงจวิ้นซี เหลิ่งจวิ้นอวี๋ที่เดิมทีเหม่อลอยพลันได้สติอย่างช้าๆ
เมื่อเห็นในมือของหนานกงจวิ้นซีกำลังถือภาพม้วนหนึ่ง ใบหน้าเต็มไปด้วยความตกใจ ใบหน้าหล่อเหลาเย็นชาเย่อหยิ่งนั้นตะลึงเล็กน้อย
ทันใดนั้นจึงรู้สึกตัวว่า ภาพที่หนานกงจวิ้นซีถือนั้น เป็นภาพที่ตนวาดเมื่อหลายวันก่อน แต่…
“ศิษย์พี่ใหญ่ เหตุใดสตรีในภาพนี้จึงไม่มีใบหน้า”
หลังเห็นภายในภาพอย่างชัดเจน หนานกงจวิ้นซีจึงสงสัยเอ่ยถามขึ้น
เห็นเพียง ลายเส้นนี้เป็นฝีมือของศิษย์พี่ใหญ่ เพราะก่อนหน้านี้หนานกงจวิ้นซีเคยเห็นภาพวาดของเหลิ่งจวิ้นอวี๋มาก่อน
อีกทั้งจากภาพวาดในมือของเขาเห็นได้ว่า ศิษย์พี่ใหญ่ต้องการวาดหญิงสาววัยแรกแย้มผู้หนึ่ง
ทว่าที่ทำให้แปลกใจที่สุดคือหญิงสาวผู้นี้ ศิษย์พี่ใหญ่กลับไม่ได้วาดใบหน้าของเธอออกมา ช่างทำให้คนรู้สึกแปลกใจเสียจริง
สำหรับความสงสัยของหนานกงจวิ้นซี เหลิ่งจวิ้นอวี๋กลับไม่รีบตอบกลับไป ยื่นมือออกมาหยิบม้วนภาพในมือหนานกงจวิ้นซีมาไว้ในมือของตน
นัยน์ตาเย็นชาแคบยาวคู่นั้น ก็จ้องภาพวาดฝีมือตนนั้นอยู่อย่างเงียบๆ แต่กลับไม่ทำให้ภาพสมบูรณ์
นี่เป็นภาพม้วนแรกที่เขาวาดไม่เสร็จ และยังเป็นภาพแรกที่เขาไม่รู้จะทำให้สมบูรณ์ได้เช่นไร
เพราะเจ้าของภาพนี้รูปโฉมเป็นเช่นไรกันแน่ เขาลืมมันไปแล้ว
จำได้ว่าค่ำคืนวันนั้น เป็นวันครบรอบวันตายพระมารดาของเขา
แต่ไหนแต่ไรก็ย้ำกับตนเองว่าไม่ควรดื่มจนเมา ในวันนั้นของทุกปี เขาจะปล่อยให้ตนเองดื่มจนเมาหัวราน้ำ เพราะเช่นนั้น เขาจึงจะสามารถข่มความเจ็บปวดในใจของตนเอาไว้ได้
เขาจำได้ว่าคืนวันนั้น เขาคล้ายดื่มจนเมาเช่นทุกปีที่ผ่านมา
เมาจนฝีเท้าไม่มั่นคง เดินโอนเอนไปมา แยกแยะสิ่งใดไม่ได้
ตอนนั้นเขาเพียงอยากดื่มให้เมาไม่หยุด จากนั้นให้ตนเองด้านชาไร้ความรู้สึก
แต่สุดท้าย เขารู้สึกว่าพอสร่างเมาทุกอย่างกลับเป็นดังเดิม
ยิ่งเขาคิดอยากจะลืม ยิ่งดื่มเหล้า ยิ่งจำได้อย่างเด่นชัด
เขาเวลานั้น อยากร้องไห้อยากหัวเราะยิ่งนัก จากนั้นก็ใช้พลังในการระบายอารมณ์บางอย่าง
หลังจากนั้น เขาคล้ายพบกับคนตัวเล็กผู้หนึ่ง จากนั้นเขาทำเช่นไร เขาลืมมันไปแล้ว
เขาจำได้เพียง เขาคล้ายกดคนตัวเล็กนั้นไว้ใต้ร่าง โดยไม่สนเสียงร้องไห้อ้อนวอนของคนตัวเล็กนั้น จากนั้นทำตามสิ่งที่ตนอยากระบายออกมาไม่หยุด
ระบายความทุกข์ความไม่เป็นตัวตนที่ตนมีออกมาอย่างหนัก
แต่คนใต้ร่างรูปโฉมเป็นเช่นไร เขาจำไม่ได้และเห็นไม่ชัดเจนเช่นกัน
เพราะเขาเวลานั้น รู้สึกวิงเวียนศีรษะอย่างรุนแรง
เวลานั้น เขาคล้ายจำได้ว่าดวงตากลมโตของคนตัวเล็กนั้นเอ่อคลอไปด้วยน้ำตา เหมือนคุ้นตาเล็กน้อย แต่เคยเจอที่ใด เขากลับลืมไปแล้ว
ทว่าที่ทำให้เขาแปลกใจคือ ภายในวังอ๋องของเขา นอกจากเหล่าท่านป้าในห้องครัว เดิมทีไม่มีผู้หญิงเลย
แต่เขาจำได้ว่า นั่นคือหญิงสาววัยแรกแย้มที่อายุน้อย
เธอ คือผู้ใดกันแน่!
ยิ่งคิด สีหน้าเหลิ่งจวิ้นอวี๋ยิ่งเคร่งเครียด ทว่าแม้เขาจะพยายามนึกเช่นไร กลับคิดหาต้นสายปลายเหตุออกมาไม่ได้
กระทั่งหนานกงจวิ้นซีที่อยู่ด้านข้างก็ไม่กล้าเมินเฉย เมื่อเห็นเหลิ่งจวิ้นอวี๋เงียบอยู่นานโดยไม่ตอบคำถามของตน
ไม่ใช่เขาอยากรู้ หากเป็นคนอื่น เขาจะไม่รู้สึกแปลกใจแม้แต่นิดเดียว
แต่คนผู้นี้คือศิษย์พี่ใหญ่ของเขา!
ศิษย์พี่ใหญ่ที่เคร่งขรึมจริงจัง เย็นชาคล้ายก้อนน้ำแข็งหมื่นปีของเขาผู้นั้น
อีกทั้งเรื่องศิษย์พี่ใหญ่เกลียดชังสตรีนั้น ไม่ใช่เพียงข่าวลือ นั่นเพราะตอนเป็นเด็ก ศิษย์พี่ใหญ่ถูกพระมารดาผู้ให้กำเนิดของตนทำร้ายมาก่อน
แม้เขาจะไม่รู้ว่าพระมารดาของศิษย์พี่ใหญ่ทำร้ายเขาเช่นใด แต่ลองใช้หัวแม่เท้าคิดดูจะรู้ว่า ต้องโหดร้ายยิ่งนักแน่นอน จึงทำให้ศิษย์พี่ใหญ่เกลียดชังสตรี สตรีห้ามเข้าใกล้เกินห้าก้าว
แต่ตอนนี้ ศิษย์พี่ใหญ่กลับวาดภาพหญิงสาวผู้หนึ่งด้วยตนเอง!
แม้หญิงสาวผู้นี้ไม่ได้วาดอวัยวะทั้งห้าบนใบหน้าออกมา แต่กลับทำให้คนตกใจไม่หยุด
หญิงสาวผู้นี้คือผู้ใดกันแน่!
หรือจะเป็น…
………………………………………………………………….