เมื่อถูกเล่อเหยาเหยามองข้ามอีกครั้ง หนานกงจวิ้นซีอึดอัดอย่างยิ่ง
คล้ายในใจถูดอัดไว้ด้วยก้อนสำลี ทำเช่นไรคลายไม่ออก
ดังนั้นหนานกงจวิ้นซีจึงเบ้ริมฝีปากแดง สีหน้าดูเบื่อหน่าย
“ยิ้มดีใจอันใดขนาดนั้น ราวกับรางวัลในการแข่งขันครั้งนี้จะเป็นของเจ้า เจ้ามีความสามารถขนาดนั้นหรือ!”
ประโยคนี้ของหนานกงจวิ้นซีคล้ายดูถูกคนอื่นเล็กน้อย แต่ความจริงนั่นไม่ใช่จุดประสงค์แท้จริงของเขา เขาเวลานี้สับสนในตัวเองแล้ว
ตนเมื่อก่อนคล้ายไม่เคยใช้เล่ห์เหลี่ยมเช่นนี้กับคนอื่น แต่เหตุใดพอเผชิญหน้ากับขันทีน้อยตรงหน้า ทั้งหมดกลับต่างออกไป!
เขาชื่นชอบถกเถียงกับ‘เขา’เห็นท่าทางโมโหของ ‘เขา’แม้สุดท้ายคล้ายเขาต้องตกเป็นรองและพ่ายแพ้ ‘เขา’ทุกครั้ง
แต่เขากลับแย่งความสนใจของ ‘เขา’ จากคนอื่นมาไม่ได้
ความรู้สึกเช่นนี้ ช่างอึดอัดยิ่งนัก!
ดังนั้นคำพูดที่หนานกงจวิ้นซีเอ่ยออกไป จึงไม่น่าฟังเล็กน้อย
เมื่อได้ยินคำพูดของเขา เหลิ่งจวิ้นอวี๋และเล่อเหยาเหยาต่างขมวดคิ้วงามพร้อมกัน และครั้งนี้ เล่อเหยาเหยาอดทนต่อไปไม่ไหวแล้ว
เพราะเธอก่อนหน้านี้ ฐานะของครอบครัวถือว่ามั่งคั่งอย่างยิ่ง เป็นลูกสาวที่ได้รับการประคบประหงมเป็นอย่างดี
แต่เธอไม่เคยเพราะครอบครัวตนมีเงิน แล้วยโสโอหังเช่นนี้
เพราะเมื่อก่อนบิดาของเธอพูดกับเธอตลอดว่า ต้องเป็นคนอ่อนน้อมถ่อมตน ดังนั้นเธอสามารถอ่อนน้อมได้ก็จะอ่อนน้อม แต่หากพบเด็กที่น่ารังเกียจน่าหมั่นไส้พวกนั้น เธอไม่เคยเกรงใจเลย
คล้ายกับตอนนี้
แม้เธอไม่ได้เข้มแข็ง แต่นิสัยเดิมก็ยังอยู่
โดยเฉพาะเมื่อเจอกับหนานกงจวิ้นซีคนที่เป็นลูกผู้ลากมากดีเช่นนี้ เธออดกลั้นครั้งแล้วครั้งเล่า ตอนนี้อดกลั้นไม่ไหวอีกต่อไปแล้ว
ดังนั้น เล่อเหยาเหยาจึงลืมไปว่าเหลิ่งจวิ้นอวี๋ยังอยู่ตรงนั้น จึงหมุนกาย เดินตรงไปเผชิญหน้ากับหนานกงจวิ้นซี ใบหน้าจิ้มลิ้มนั้น เพราะถูกหนานกงจวิ้นซีใช้น้ำเสียงเหยียดหยามจึงโกรธเคือง ดังนั้นใบหน้าจึงเปลี่ยนเป็นแดงก่ำ
เมื่อมองแล้ว คล้ายแอปเปิ้ลแดงที่สุกงอมลูกหนึ่ง
ทว่านัยน์ตางดงามคู่นั้น เวลานี้กลับมีเปลวไฟสองกองกำลังลุกไหม้ขึ้นโดยไม่ปิดบัง
จากนั้นก็เริ่มเอ่ยพูดกับหนานกงจวิ้นซีว่า
“องค์ชายเจ็ด แม้บ่าวจะเป็นเพียงขันทีตัวเล็กๆ ในสายตาขององค์ชายคล้ายเป็นฝุ่นที่ไร้ค่า แต่บ่าวก็เป็นคน บ่าวมีความรู้สึก บ่าวโมโหเป็น บ่าวมีศักดิ์ศรีของตนเอง แม้บ่าวจะไม่ได้เป็นเช่นองค์ชายที่เรียนตำรามาเป็นหมื่นเล่ม เชี่ยวชาญบทกวีเพลงกลอน แต่บ่าวก็ไม่ใช่คนโง่ บ่าวก็มีความคิด องค์ชายเจ็ดเหตุใดต้องมาเหยียดหยามบ่าวเช่นนี้! หรือบ่าวเกิดมาต่ำต้อย จึงไม่ควรได้รับการเคารพจากผู้อื่น ใช่ บ่าวเกิดมาต่ำต้อย แต่นั่นไม่ใช่สิ่งที่บ่าวยินยอม! อีกทั้งองค์ชายเจ็ดพูดประโยคที่ผิดจารีตประเพณีได้ เพียงเพราะท่านเกิดมาดีกว่าบ่าวเท่านั้น หากไม่มีสถานะอันสูงศักดิ์นั้น องค์ชายเจ็ดท่านจะยังเข้าใจสิ่งใด! ท่านเคยใช้ความสามารถของตนหาเงินหรือเปล่า! คงไม่สินะ แต่บ่าวมี!แม้บ่าวจะเป็นเพียงขันทีน้อย แต่กลับใช้มือคู่นี้ของตน พยายามหาเงินด้วยตนเอง เช่นนี้ บ่าวถึงจะใช้ชีวิตได้อย่างวางใจ ดังนั้นองค์ชายเจ็ด หากท่านอยากให้คนอื่นเคารพท่าน ขอให้ท่านโปรดเคารพตนเองก่อน”
เมื่อพูดมากเช่นนี้ เล่อเหยาเหยาจึงคอแห้ง ลมหายใจดูผิดปกติเล็กน้อย
ทว่าสายตาโกรธเคืองนั้นของเธอกลับไม่ย้ายออกไปจากตัวของหนานกงจวิ้นซีเลย
เพราะเธอโมโหอย่างจริงจัง
อีกทั้ง หลังจากมาถึงที่นี่ เธอค่อยๆ ยอมรับสถานะขันทีของตน ที่นี่เธอไร้ญาติขาดมิตร ดังนั้นจึงต้องวิเคราะห์ทุกอย่างหนึ่งรอบ ใช้ชีวิตอย่างอึดอัดเสียจริง
ตอนนี้หลังจากเธอเอ่ยจบไปรอบนี้ ในใจก็สบายอย่างยิ่ง!
เพราะตอนนี้มีอันใดพูดออกไปหมดแล้ว โดยไม่เกรงกลัวผู้ใด ถึงจะเป็นตัวตนที่แท้จริงของเธอ!
แต่เล่อเหยาเหยากลับไม่รู้ว่า หลังตนเอ่ยจบรอบนี้ ทั้งสองคนในห้องหนังสือกลับชะงักงัน
บนใบหน้าเย่อหยิ่งเย็นชาของเหลิ่งจวิ้นอวี๋ดูตะลึงเล็กน้อย
ดวงตาเย็นชาแคบยาวคู่นั้น ก็ปรากฎความแปลกใจแวบขึ้นมา
เพราะแม้เขาจะรู้ว่าขันทีน้อยนี้ของตนไม่เหมือนคนปกติ ทว่ากลับไม่รู้ว่าจะพูดได้คล่องแคล่วเช่นนี้
โดยเฉพาะประโยคสุดท้ายของ ‘เขา’ นั้น
อยากให้ผู้อื่นเคารพ ต้องเคารพตนเองก่อน!
พูดได้ดีอย่างยิ่ง!
พอคิดถึงตรงนี้ สายตาที่เหลิ่งจวิ้นอวี๋มองไปยังเล่อเหยาเหยาแฝงด้วยความชื่นชมหลายส่วน ก่อนมองไปที่ใบหน้าเมื่อถูกด่าทอของศิษย์น้องตน ที่ตกใจจนทำอะไรไม่ถูก ริมฝีปากอดแอบยิ้มขึ้นมาไม่ได้
ตรงข้ามกับเหลิ่งจวิ้นอวี๋ที่แอบยิ้มอย่างนั้น หนานกงจวิ้นซีที่ถูกด่าทออยู่เป็นเวลานานจนสียสติในที่สุด ไม่สามารถเรียกสติกลับมาจากคำพูดเมื่อครู่ของเล่อเหยาเหยาได้
หนานกงจวิ้นซีใช้ชีวิตมาสิบเจ็ดปี นี่เป็นครั้งแรกที่ถูกคนพูดเช่นนี้
แม้ประโยคนั้นที่เขาพูดออกไปเมื่อครู่ ตนก็คิดว่าเกินไปเล็กน้อย เหยียดหยามผู้อื่นเกินไป แต่เขากลับไม่รู้สึกตัวเลยว่า ขันทีน้อยจะกล้าหาญมากขนาดนี้ กระทั่งองค์ชายเจ็ดผู้สง่างามแห่งต้าเซี่ยเช่นเขา ยังกล้าเอ่ยพูดสั่งสอน!
ทันใดนั้น หนานกงจวิ้นซีจึงถูกทำให้ตกตะลึง
ใบหน้าหล่อเหลานั้นดูเหม่อลอย และโง่งมเล็กน้อย
หลังจากค่อยๆ ได้สติกลับมา กลับรู้สึกสมควรตาย คล้ายสิ่งที่ขันทีน้อยนี้พูด ไม่ใช่ไร้เหตุผล!
แม้ เขาจะไม่อยากยอมรับเลยสักนิดจริงๆ
แต่ว่า ‘เขา’พูดเรื่องจริง! หากเขาไม่มีสถานะสูงศักดิ์นี้ เขาจะสามารถสง่างามเยือกเย็น ไร้ความกังวล คิดทำ
สิ่งใดก็ทำสิ่งนั้นเช่นตอนนี้ได้หรือไม่
อีกทั้ง เขาเป็นผู้ใหญ่แล้ว คล้ายไม่เคยอาศัยแรงของตนหาเงินเลยสักแดงเดียว
เขาคาบกุญแจทองมาเกิด มีกองเงินกองทองมากมายนับไม่ถ้วน
เงิน เขาไม่เคยขาดมาก่อน
แต่พวกนั้นไม่ใช่สิ่งที่เขาใช้ความพยายามของตนแลกกลับมา
แม้ตอนแรก เขาจะดูถูกเหยียดหยามบ่าวรับใช้ผู้นี้
ทว่าคิดดูแล้ว หากหลังจากเขาเสียสถานะอันงดงามนี้ไป ก็ไม่ได้แตกต่างจากขันทีน้อยผู้นี้จริงๆ
อีกทั้งคำพูดของเขาเมื่อครู่ ก็รุนแรงเกินไปเล็กน้อย
ความจริง เขาก็ไม่รู้ว่าเหตุใดเมื่อเจอกับขันทีน้อยผู้นี้ มักอดกลั้นคำพูดพวกที่ดึงดูดความสนใจจาก ‘เขา’ไม่ได้
อยากทำให้ความสนใจของ‘เขา’อยู่ที่ตัวเขา ไม่ใช่ผู้อื่น แม้คนอื่นนั้น จะเป็นศิษย์พี่ใหญ่ของเขา เขาก็รู้สึกแปลกประหลาดในใจ
เวลานี้ เขาไม่เข้าใจหัวใจตนเองเช่นกัน พักนี้เหตุใดเปลี่ยนไปดูแปลกประหลาด หรือเขาจะป่วย!
หรือหลายวันก่อนวิ่งวุ่นอย่างลำบาก จนทำให้ผิดดินฟ้าอากาศ!
ตอนนี้หนานกงจวิ้นซีหาเหตุผลไม่ได้ จึงหาเหตุผลหาทางรอดให้ตนอย่างลวกๆ ไม่หยุด
ตอนนี้ เห็นชัดว่าคนตรงหน้ายังคงโกรธเคือง
ใช่ เมื่อครู่เขาพูดผิดไป หากเป็นไปได้ ที่จริงเขาควรพูดขอโทษ
แต่เมื่อเห็นใบหน้าโกรธเคืองของขันทีน้อยตรงหน้า หนานกงจวิ้นซีก็ไม่กล้าพูดออกมา
อันที่จริงใช้ชีวิตมาสิบเจ็ดปี เขาไม่เคยขอโทษกับผู้ใดเลยจริงๆ ดังนั้นเขาจึงพูดไม่ออก
ดังนั้นสุดท้าย หนานกงจวิ้นซีเพียงเม้มริมฝีปากไม่พูดออกมา
ส่วนเล่อเหยาเหยาที่ยืนอยู่ตรงข้ามเขา เห็นหนานกงจวิ้นซีไม่กล้าเอ่ยปาก จนสุดท้ายเม้มริมฝีปากนิ่งเงียบ อาจเพราะคาดเดาถึงบางอย่างได้ และคล้ายฉุกคิดขึ้นมาได้ จึงพลันเอ่ยปากว่า
“องค์ชายเจ็ด มิสู้พวกเรามาพนันกันดีกว่า!”
“พนันหรือ!”
สำหรับคำพูดของเล่อเหยาเหยา ทำให้หนานกงจวิ้นซีตกตะลึงและแปลกใจเล็กน้อย
อันที่จริงเมื่อครู่ขันทีน้อยตรงหน้ายังมีทีท่าโกรธเคือง จนทำให้เขารับมือไม่ทัน แต่เพียงพริบตาเดียว ‘เขา’กลับพลันเอ่ยคำพูดที่ไม่เหมาะสมเช่นนี้ออกมา ทำให้คนจับต้นชนปลายไม่ถูกเสียจริง
ไม่เพียงหนานกงจวิ้นซีที่ตกตะลึง กระทั่งเหลิ่งจวิ้นอวี๋ที่อยู่ด้านข้างยังอดเลิกคิ้วงามไม่ได้
แต่ว่าเพราะเล่อเหยาเหยาหันหลังให้เขา เขาจึงมองไม่เห็นความรู้สึกบนใบหน้าของเธอ และคาดเดาว่าเธอคิดสิ่งใดอยู่ในใจไม่ได้
ตรงข้ามกับความไม่เข้าใจของสองคนตรงนั้น เล่อเหยาเหยาเพียงยิ้มมุมปาก ก่อนเอ่ยว่า
“ใช่ พวกเรามาพนันกัน! ครั้งนี้การแข่งขันแสดงความสามารถด้านศิลปะเป็นเรื่องสมมติ แต่กรรมการที่เชิญมานั้นกลับไม่ได้สมมติขึ้น และครั้งนี้บ่าวกับองค์ชายเจ็ดต่างแต่งกายเป็นสตรีขึ้นแสดงบนเวทีเหมือนกัน เช่นนั้น พวกเราต่างใช้ความสามารถของตน ดูว่าใครจะสามารถเป็นผู้ชนะในการแข่งขันครั้งนี้!”
เพราะไม่ยอมรับ เล่อเหยาเหยาจึงคิดใช้การกระทำจริงเอาชนะหนานกงจวิ้นซีในครั้งนี้อย่างยุติธรรม
เล่อเหยาเยาเป็นคนเช่นนี้ หากคนอื่นเหยียดหยามเธอ เช่นนั้นเธอจะใช้ความสามารถที่มีอยู่ของตน ทำให้เขาเอ่ยปากยอมรับทั้งกายและใจ
นอกจากนี้เธอยังมั่นใจและเชื่อมั่นในตัวเองเป็นอย่างมาก
เพราะหลายปีมานี้ เธอมีพรสวรรค์ด้านการแสดง และยังรักการเต้น การเล่นละครและร้องเพลง
อีกทั้งมารดาเธอเปิดกว้างอย่างยิ่ง เพียงเธอชื่นชอบ ล้วนสนับสนุนเธออย่างไร้เงื่อนไข
ดังนั้นหลายปีมานี้ เธอชื่นชอบสิ่งใด จะพยายามทำมันไม่หยุด! และต้องทำให้ดีที่สุด
เพราะนี่ไม่ใช่เพื่อตอบแทนบิดามารดาของตน ยังเพื่อตนเองอีกด้วย!
ดังนั้นตอนนี้ ในใจเล่อเหยาเหยาจึงเปี่ยมด้วยความมั่นใจ เธอไม่เชื่อว่า ความพยายามหลายปีนี้ของตน จะเอาชนะลูก
ผู้ลากมากดี ที่เอาแต่พึ่งพิงสถานะของตนใช้ชีวิตตรงหน้านี้ไม่ได้
เธอต้องนำเอาความสามารถด้านศิลปะที่แท้จริงของตนออกมา ให้เขายอมรับความพ่ายแพ้จากใจจริง!
เล่อเหยาเหยาตั้งมั่นในใจ สายตาที่มองหนานกงจวิ้นซีจึงเป็นประกายและเฉียบแหลม สว่างพร่างพราว คล้ายปรากฏเปลวไฟออกมา ดวงตาสุกใสเช่นนี้ ทำให้คนละเลยไม่ได้ และไร้หนทางปฏิเสธ
อีกทั้งเมื่อเห็นความแน่วแน่ ดวงตางดงามเปี่ยมด้วยจิตใจของการต่อสู้ ไม่มีสิ่งใดจะเทียบได้ของเล่อเหยาเหยา ในใจหนานกงจวิ้นซีคล้ายถูกของบางสิ่งทำให้สั่นไหวอย่างรุนแรง
เพราะนี่เป็นครั้งแรกที่มีคนกล้าท้าทายเขาอย่างตรงไปตรงมาเช่นนี้!
ขันทีน้อยนี้ ช่าง…พิเศษเสียจริง!
“ตกลง พนันครั้งนี้ ข้ารับปากเจ้า ทว่าพนันสิ่งใด!”
หนานกงจวิ้นซีที่เยาว์วัย ความจริงมีจิตใจที่ไม่ยอมแพ้เช่นกัน