ตอนที่ 94 สัญญาของซือคงอวี้

เดิมพันเสน่หา

เหลิ่งรั่วปิงนึกถึงซือคงอวี้

 

 

เขาเหมือนกับอวี้หลานซี ไม่ว่าหนานกงเยี่ยจะชอบหรือไม่ชอบเธอ แต่เธอก็เป็นคนคนหนึ่งที่อยู่ในหัวใจของเขา

 

 

ซือคงอวี้เองก็อยู่ในหัวใจของเธอเช่นเดียวกัน เพียงแต่ตำแหน่งของเขาคือหัวหน้าและผู้มีพระคุณ

 

 

เธอไม่ได้ติดต่อกับทางวิหารมานานหนึ่งเดือนกว่าแล้ว คราวที่แล้วซือคงอวี้บอกความในใจของเขาให้เธอฟังอย่างชัดเจน หากเธอยังไม่ยอมติดต่อหาเขา เขาต้องหงุดหงิดมากแน่ๆ

 

 

จากสีหน้าเป็นกังวลของหนานกงเยี่ย เหลิ่งรั่วปิงดูออกว่าต้องการเรื่องไม่ดีขึ้นกับอวี้หลานซีแน่ๆ คืนนี้เขาคงไม่กลับมาแล้ว ดังนั้น เหลิ่งรั่วปิงจึงลุกไปเปิดคอมพิวเตอร์ด้วยความใจกล้า เธอกดวิดีโอคอลไปหาซือคงอวี้

 

 

เดิมทีนึกว่าดึกขนาดนี้ ซือคงอวี้คงนอนหลับไปแล้ว แต่เหนือความคาดหมายของเธอ ซือคงอวี้รับโทรศัพท์ด้วยความรวดเร็ว หน้าจอคอมพิวเตอร์แสดงภาพที่งดงามและหล่อเหลาของเขาออกมา เวลานี้ เขาไม่ได้ใส่ชุดภราดา แต่กำลังใส่ชุดนอนสีเทา เขานอนอยู่บนเตียงด้วยความเกียจคร้าน ทำให้เขาดูแตกต่างจากปกติเล็กน้อย

 

 

เมื่อเห็นเหลิ่งรั่วปิง มุมปากของเขายกขึ้นเล็กน้อย เขาคลายยิ้มบางๆ ดวงตางดงามเหมือนหงส์ของเขาหรี่เล็กลง น้ำเสียงที่พูดออกมาอ่อนโยนกว่าปกติ “รั่วปิง ผมรอคุณติดต่อกลับมาทุกวัน”

 

 

เหลิ่งรั่วปิงเงียบอยู่นาน เธอฝืนยิ้มบางๆ “เจ้าวิหารคะ ฉันรบกวนเวลาพักผ่อนของคุณรึเปล่าคะ”

 

 

“ไม่เลย” เขาไม่อยากบอกว่าที่ตนนอนไม่หลับเพราะคิดถึงเธอ “หลังจากนี้ไม่ต้องเรียกผมว่าเจ้าวิหารแล้ว เรียกฉันผมก็พอ”

 

 

“…” เหลิ่งรั่วปิงเม้มปาก “เรียกมาหกปีแล้ว ฉันชินแล้วค่ะ”

 

 

รอยยิ้มในนัยน์ตาของเขาหยั่งลึก “ค่อยๆ เปลี่ยนสิ” เขาเงียบไปหลายวินาที สุญญตาวี้มองลึกลงไป “รั่วปิง ผมคิดถึงคุณ”

 

 

เหลิ่งรั่วปิงหลบตาลง เธอไม่รู้ว่าตนเองควรจะตอบกลับอย่างไร สุดท้ายแล้วเธอต้องไปจากเขา เขาจะหาตัวเธอเจอไม่ได้เด็ดขาด ตอนที่เขารู้ว่ร่างกายของเธอเป็นของผู้ชายคนอื่นไปแล้ว เขาจะโมโหมากแค่ไหน ซือคงอวี้สูงสง่าอยู่เหนือทุกคน ทั้งยังเหี้ยมโหดและเย็นชา เขาจะทนกับการถูกหักหลังได้ยังไง

 

 

มือเรียวยาวของซือคงอวี้ลูบจับที่หน้าจอ เขาลูบจับใบหน้าของเหลิ่งรั่วปิง “สีหน้าของคุณไม่สู้ดีเท่าไหร่ คุณเป็นอะไรหรือเปล่า เจอปัญหาอะไร”

 

 

“เปล่าค่ะ” เธอแค่รู้สึกเศร้าขึ้นมากะทันหันเท่านั้น

 

 

“โทษผมที่ไม่ได้ให้ความช่วยเหลือคุณ?”

 

 

“ไม่ใช่ค่ะ”

 

 

“ไม่ใช่เพราะผมไม่อยากยื่นมือเข้าไปช่วยคุณ แต่เพราะเป็นห่วงความปลอดภัยของคุณ การปล่อยให้คุณกลับไปแก้แค้นแบบนี้ ถือเป็นการทำผิดกฎแล้ว ถ้าหากยังยื่นมือเข้าไปช่วยคุณอีก ถ้าคนของเจ้าแห่งผู้สอนหลักความเชื่อรู้เรื่องนี้เข้า มันจะส่งผลไม่ดีกับคุณ”

 

 

“ฉันรู้ค่ะ”

 

 

“ถ้าหากมีปัญหาอะไรจริงๆ คุณบอกผมนะ ผมจะส่งคนไปช่วย”

 

 

“ไม่เป็นค่ะ ฉันสามารถจัดการได้”

 

 

ขณะที่ทั้งสองพูดคุยกัน ซือคงอวี้เป็นฝ่ายถาม ส่วนเหลิ่งรั่วปิงเป็นฝ่ายตอบคำถาม เขาพยายามพูดกับเธอให้สนิทสนมกันมากขึ้น แต่เธอกลับตอบเขาสั้นๆ

 

 

ซือคงอวี้รู้สึกเหมือนทุ่มเทไปเท่าไหร่ก็ไม่ได้ผล “รั่วปิง คุณมีอะไรอยากจะบอกผมหรือเปล่า”

 

 

เหลิ่งรั่วปิงมองไปที่ซือคงอวี้ เธอเงียบอยู่พักหนึ่งแล้วพูดขึ้น “เจ้าวิหารคะ ฉันอยากบอกว่าขอบคุณเจ้าวิหารที่ช่วยชีวิตฉันเอาไว้ ขอบคุณที่เจ้าวิหารชุบเลี้ยงฝึกฝนฉัน ถึงแม้มันจะลำบากมากแค่ไหน แต่ชีวิตที่เหลือของฉัน ฉันจะไม่มีวันไหนที่ไม่ขอบคุณเจ้าวิหาร”

 

 

ซือคงอวี้จ้องมองมาที่ดวงตาของเหลิ่งรั่วปิง เหมือนว่าเขาพยายามหาคำตอบจากแววตาคู่นี้ ทว่าสุดท้ายกลับไม่ได้คำตอบใดๆ ผู้หญิงคนนี้ตนเป็นคนฝึกฝนมากับมือ เธอเก็บอาการและสีหน้าเก่งที่สุด เขามองไม่ออกว่าเธอกำลังคิดอะไร

 

 

สุดท้าย เขาคลายยิ้มบางๆ “คนโง่ ทำไมต้องพูดแบบนี้ วันข้างหน้าผมก็เป็นผู้ชายของคุณแล้ว ผมจะเป็นที่พึ่งพิงให้คุณไปชั่วชีวิต”

 

 

เหลิ่งรั่วปิงก้มหน้าลง เธอรู้สึกเศร้าเล็กน้อย “ฉันกลัวว่าตนเองจะไม่คู่ควรกับเจ้าวิหาร”

 

 

รอยยิ้มบนใบหน้าของซือคงอวี้ค่อยๆ หุบลง สีหน้าของเขาแปรเปลี่ยนเป็นเคร่งขรึม “คุณไม่ต้องกังวลเรื่องอะไรทั้งนั้น สักวันหนึ่งผมจะทำให้คุณยืนอยู่เคียงข้างผมอย่างเปิดเผย ไม่ว่าใครหน้าในก็หยุดเรื่องนี้ไม่ได้ แม้แต่เจ้าแห่งผู้สอนหลักความเชื่อเองก็หยุดเรื่องนี้ไม่ได้”

 

 

เขาคือเจ้าวิหารซีหลิง ผู้หญิงที่จะมาเป็นภรรยาของเขา ต้องเป็นหนึ่งในองค์หญิงของราชวงศ์ ผู้สืบทอดเจ้าวิหารอภิเษกสมรสกับองค์หญิง นี่ถือเป็นธรรมเนียมที่ยึดถือปฎิบัติกันมานานกว่าพันปีของซีหลิง เมื่อเจ้าวิหารและราชวงศ์อภิเษกสมรสร่วมกันจึงจะสามารถรักษาสมดุลของอำนาจเอาไว้ได้ ดังนั้น เจ้าแห่งผู้สอนหลักความเชื่อสุญญตาเอ้าและราชวงศ์ไม่มีทางยอมให้ซือคงอวี้แต่งงานกับเหลิ่งรั่วปิงเด็ดขาด เธอสามารถเป็นได้แค่นางบำเรอของเขาที่ไม่สามารถบอกให้โลกรู้ได้เท่านั้น

 

 

เหลิ่งรั่วปิงเงียบ

 

 

นานครู่หนึ่ง ซือคงอวี้พูดขึ้นอีกครั้ง “ดึกมาแล้ว คุณพักผ่อนเถอะ จัดการเรื่องแก้แค้นของคุณให้สำเร็จก่อน เรื่องอื่นไว้รอคุณกลับมาซีหลิงเราค่อยว่ากันใหม่”

 

 

“ค่ะ” เหลิ่งรั่วปิงพยักหน้า เธอมองไปที่ซือคงอวี้แล้วกดตัดสาย

 

 

เหลิ่งรั่วปิงลบประวัติการโทรและลบข้อมูลในคอมพิวเตอร์ จากนั้นกลับขึ้นไปบนเตียงอีกครั้ง เธอซุกตัวเข้าไปในผ้าห่ม ไม่มีอ้อมกอดของหนานกงเยี่ย เธอรู้สึกหนาวมาก ด้วยเหตุนี้เธอจึงกระชับผ้าห่มให้แน่นและขดตัวนอน หลับตาลงเบาๆ

 

 

ในค่ำคืนที่มืดมิด ลมหนาวพัดผ่าน เธอนอนหลับไปอย่างโดดเดี่ยว

 

 

*****

 

 

คฤหาสน์หนานกง เวลานี้แสงไฟสว่างจ้า เหตุเพราะหนานกงเยี่ยกลับมา ทำให้พ่อบ้านและสาวใช้ไม่กล้าเข้านอน พวกเขายืนอยู่ด้านนอกห้องของอวี้หลานซีเพื่อรอฟังคำสั่ง ทุกคนล้วนรู้ดีว่าหนานกงเยี่ยให้ความสำคัญกับอวี้หลานซีมากแค่ไหน เธอได้รับบาดเจ็บแบบนี้ ไม่ว่าใครต่างก็กลัวถูกตำหนิ

 

 

ภายในห้องของอวี้หลานซี ด้านในฟุ้งไปด้วยกลิ่นยา เท้าของเธอมีผ้าหนาๆ ห่อเอาไว้ บนผ้ามีเลือดซึมออกมา

 

 

เมื่อเห็นหนานกงเยี่ยมาถึง หมอและพยาบาลรีบลุกขึ้นทำความเคารพ

 

 

อวี้หลานซีนอนพิงอยู่บนหัวเตียง เธอเม้มกัดริมฝีปากแน่น ร้องเรียกเสียงเบา “เยี่ย”

 

 

หนานกงเยี่ยยืนอยู่ตรงประตู เขาเหมือนราชาที่เหี้ยมโหด ดวงตาคมเหมือนเหยี่ยวกวาดมองไปรอบๆ ทำเอาทุกคนถึงกับเสียวสันหลัง หนานกงเยี่ยหันไปถามหมอ “เท้าของเธอเป็นยังไงบ้าง”

 

 

หมอตกใจจนไม่กล้าแม้แต่จะเงยหน้าขึ้น “คุณชายเยี่ย เท้าของคุณอวี้เป็นแผลถลอกเล็กน้อยเท่านั้นครับ โชคดีที่ไม่ถึงกับกระดูกหัก คุณอวี้ไม่ได้เป็นอะไรมากครับ พักผ่อนแค่สองสามวันก็ดีขึ้นแล้ว”

 

 

หลังจากฟังคุณหมอพูดจบ หนานกงเยี่ยโล่งใจ เขาหันไปตะคอกสาวใช้และบอดี้การ์ดเสียงดัง “พวกนายดูแลเธอยังไงห๊ะ?!”

 

 

บอดี้การ์ดและสาวใช้ตกใจเอาแต่ก้มหน้างุด ตัวของพวกเขาสั่นเทา แม้แต่หายใจยังหายใจอย่างระมัดระวัง ทุกคนต่างก็รู้ดี เวลาที่คุณชายเยี่ยโมโห ไม่มีใครสามารถรับมือเขาได้

 

 

อวี้หลานซีรีบเหยียดตัวลุกขึ้น เธอพูดอ้อนวอน “เยี่ย เรื่องนี้ไม่ใช่ของพวกเขาหรอกค่ะ ฉันต่างหากที่เป็นคนผิดเอง”

 

 

หนานกงเยี่ยนิ่งเงียบไปหลายวินาที “ไสหัวไปให้หมด!”

 

 

หมอ พยาบาล บอดี้การ์ดและสาวใช้สะดุ้งกันหมด จากนั้นพวกเขาก็รีบเดินอกไป พร้อมกับปิดประตูห้อง

 

 

อวี้หลานซีมองไปทางหนานกงเยี่ยด้วยความกลัว “เยี่ย ขอโทษด้วยนะคะ อวี้เป็นคนไม่เอาไหนเลย ทำให้คุณต้องเดือดร้อน” นับตั้งแต่เจอกันที่ไนท์คลับเฟิ่งหวงไถในวันนั้น เขาบอกว่าผู้หญิงที่เขาต้องการต้องสามารถดูแลตนเองได้ เธอจึงตัดสินใจเปลี่ยนแปลงตนเองครั้งยิ่งใหญ่ ทว่าใครจะไปรู้ ทักษะการต่อสู้ยังพัฒนาไม่ถึงไหน กลับทำให้ตนเองได้รับบาดเจ็บเสียแล้ว

 

 

หนานกงเยี่ยถอนหายใจ เขานั่งอยู่ตรงเก้าอี้ข้างเตียง ดึงผ้าห่มขึ้นมาห่มให้กับอวี้หลานซี “หลานซี คุณไม่ต้องทำอะไรพวกนี้แล้ว คุณไม่ชอบการต่อสู้ไม่ชอบปืนตั้งแต่เด็ก คุณชอบอ่านหนังสือและเล่นเปียโน ดังนั้นคุณอย่าฝืนใจตนเองมาทำอะไรพวกนี้เลย”

 

 

อวี้หลานซีก้มหน้าลงด้วยความเศร้า เธอโทษตนเอง “ฉันแค่อยากจะคู่ควรกับคุณให้มากกว่านี้ คุณวางใจเถอะค่ะ หลังจากนี้ฉันจะระวังตัวให้มากขึ้น ไม่ทำให้คุณต้องเป็นห่วงอีก”

 

 

หนานกงเยี่ยถอนหายใจ “หลานซี…”

 

 

“เยี่ย การเป็นผู้หญิงของคุณคือความฝันของฉัน ฉันมีชีวิตอยู่เพื่อสิ่งนี้ตั้งแต่อายุสิบขวบ สาเหตุที่เห็นตั้งใจเรียนเปียโน ตั้งใจเรียนหนังสือ เพราะว่าฉันอยากให้ตนเอนกลายเป็นคนที่ดีขึ้น มีสง่ามากขึ้น เก่งขึ้นและคู่ควรกับคุณมากขึ้น ถึงแม้จะไม่มีคำสั่งของคุณลุง ฉันก็ยังอยากเป็นผู้หญิงของคุณ คุณอยู่ในใจของฉันมานานหลายปี มันฝังรากลึกในใจของฉันจนไม่สามารถตัดใจได้แล้ว คุณคือทุกอย่างของฉัน ถ้าคุณไม่ต้องการฉัน ชีวิตของฉันก็จบลงแล้ว”

 

 

น้ำตาของอวี้หลานซีรินไหลลงมา เหมือนไข่มุกไหลลงมาเป็นสาย แต่ละหยดที่ไหลลงมาเม็ดใหญ่มาก เต็มไปด้วยความเจ็บปวด

 

 

หัวใจของหนานกงเยี่ยรู้สึกเจ็บปวด เธอเป็นเหมือนญาติสนิทของเขา เขาสาบานว่าจะปกป้องเธอไปตลอดชีวิต เวลาที่เธอเจ็บปวดหัวใจของเขาเจ็บปวดมากกว่า เขาถอนหายใจอีกครั้ง แล้วยื่นมือไปเช็ดน้ำตาบนใบหน้าของเธอ พร้อมกับดึงตัวเธอเข้ากอด เขาไม่สามารถทำอะไรได้เลย

 

 

นี่เป็นครั้งแรกที่เขากอดเธอ เป็นครั้งแรกที่เธอร้องไห้ต่อหน้าเขา อวี้หลานซียิ้มอย่างมีความสุข “เยี่ยคะ ขอให้ฉันได้รักคุณเถอะนะคะ ฉันไม่คาดหวังให้คุณหันมารักฉัน ฉันยินดีที่จะเปิดใจให้ผู้หญิงของคุณ ขอแค่ให้ฉันได้รักคุณก็พอค่ะ”

 

 

สิ่งที่ควรพูดเขาพูดไปนานแล้ว พูดไปเท่าไหร่เธอยังคงดื้อดึง หนานกงเยี่ยยิ้มด้วยความจนปัญญา เขาละกอดจากเธอ “ครับ คุณนอนเถอะ ช่วงนี้พักผ่อนให้มากๆ ห้ามดื้ออีก”

 

 

“ค่ะ” อวี้หลานซีล้มตัวลงนอน ดึงผ้าห่มขึ้นมาห่ม จากนั้นหลับตาลงอย่างว่าง่าย

 

 

หลังจากอวี้หลานซีเข้านอน หนานกงเยี่ยยืนเงียบอยู่นาน เขาถอนหายใจอีกครั้ง เดินไปปิดไฟให้เธอ แล้วออกไปจากคฤหาสน์

 

 

เขาเป็นห่วงเหลิ่งรั่วปิง กลัวเธออยู่คนเดียวแล้วจะนอนไม่หลับ

 

 

*****

 

 

ตระกูลลั่ว ห้องรับแขกเละเทะไปหมด ข้าวของทุกอย่างกระจัดกระจาย ทุกอย่างถูกทำลายจนหมด

 

 

ลั่วซูเยียงนั่งเหม่อลอยบนโซฟา จิตใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัว เธอนึกถึงท่าทีที่เหลิ่งรั่วปิงทำให้กับตน และนึกถึงเหตุการณ์ไฟไหม้เมื่อสิบปีก่อน

 

 

เจี่ยนชิวถูกทุบตีตนหมดสภาพ เสื้อผ้าและเนื้อตัวของเธอฉีกขาด นอนหายใจรวยรินบนพื้น

 

 

ถึงแม้ลั่วเฮิ่งจะเป็นฝ่ายทุบตีคนอื่น แต่เขาก็เหนื่อยมาก เขานั่งหายใจหอบบนโซฟาพร้อมกับกัดฟันกรอด “นางผู้หญิงชั้นต่ำ กล้าสวมเขาให้กูหรอ มึงทำให้กูขายขี้หน้า !”

 

 

ใบหน้าของเจี่ยนชิวแนบกับพื้น เธอหัวเราะในลำคออย่างหมดแรง “ตอนนี้รังเกียจที่ฉันสวมเขาให้คุณงั้นหร ตอนนั้นใครเป็นคนทำทุกอย่างให้ฉันได้กับเจียงเฉิงละ” เธอหัวเราะในลำคออีกครั้ง “ถ้ารู้แต่แรกว่าคุณเป็นคนต่ำทราม ไร้หัวใจแบบนี้ ตอนนั้นฉันใช้ชีวิตคู่กับเจียงเฉิงยังจะดีเสียกว่า”

 

 

อันที่จริงเจี่ยนชิวรู้สึกเสียใจมาก เจียงเฉิงดีกับเธอและทะนุถนอมเธอมาโดยตลอด แต่เธอกลับหลงกลแผนชั่วของลั่วเฮิ่ง ร่วมมือกับเขาฆ่าเจียงเฉิง เพื่อฮุบสมบัติตระกูลเจียง ตอนแรกเธอคิดว่าลั่วเฮิ่งไม่รังเกียจที่เธอเคยมีอะไรกับผู้ชายคนอื่น คิดว่าเขาจะดีกับเธอ แต่ใครจะไปรู้หลังจากฮุบสมบัติตระกูลเจียงแล้วนั้น เขากลับเปลี่ยนไป ไม่แตะต้องเธออีก เลวร้ายกว่านั้นคือเขาถึงขั้นรังเกียจเธอ

 

 

ไม่ว่าผู้ชายหน้าไหน การที่พาคนรักของตนเองไปนอนกับผู้ชายคนอื่น ไม่ว่าจะด้วยจุดประสงค์อะไร มันก็เป็นเรื่องที่น่าละอายมาก

 

 

ลั่วเฮิ่งเองก็เหมือนกัน ดังนั้นหลังจากเจี่ยนชิวพูดจบ เขารู้สึกโมโหขึ้นมาทันที เขาลุกขึ้นแล้วกระชากผมเจี่ยนชิวจากนั้นตบเธออีกหลายฉาก “นางผู้หญิงชั้นต่ำ กล้าหัวเราะเยาะกูหรอ กูทำให้มึงเสพสุขมาตั้งหลายปี มึงยังไม่พอใจอีกหรือไง”

 

 

เดิมทีหน้าของเจี่ยนชิวก็บวมมากอยู่แล้ว หลังจากที่เขาตบเธอซ้ำอีกรอบ ทำให้หน้าของเธอบวมและเขียวช้ำมากกว่าเดิม

 

 

ลั่วซูเยียงมองดูพ่อแม่ของตนเองอย่างไม่ใส่ใจ จู่ๆ เธอก็พูดขึ้น “หยุดทะเลาะกันได้แล้ว พ่อกับแม่ลูกไหม เจียงหน่วนซินกลับมาแล้ว เธอต้องกลับมาแก้แค้นพวกเราแน่ๆ!”