ตอนที่ 95 คุณไม่อยากให้ผมอยู่กับคุณหรอ

เดิมพันเสน่หา

คำพูดของลั่วซูเยียงได้ผล ลั่วเฮิ่งและเจี่ยนชิวหยุดทะเลาะกันทันที พวกเขาทั้งสองหันหน้าไปมองลั่วซูเยียง 

 

 

หลังจากนั้นครู่หนึ่ง เจี่ยนชิวพูดอย่างไม่เชื่อหูตนเอง “ลูกรัก วันนี้ลูกตกน้ำจนสมองกระทบกระเทือนรึเปล่า ถึงได้บอกว่าเจียงหน่วนซินยังมีชีวิต เด็กคนนั้นตายไปตั้งแต่สิบปีก่อนแล้ว” 

 

 

ลั่วซูเยียงพูดขึ้น “วิญญาณของเธอกำลังมาทวงคืนชีวิตจากพวกเราแน่ๆ เลยค่ะ” 

 

 

ลั่วเฮิ่งพูดด้วยความหงุดหงิด “ลูกกำลังพูดอะไร ถ้ายังพูดแบบนี้อีกพ่อจะขังแกเอาไว้” 

 

 

“หนูไม่ได้พูดเรื่อยเปื่อย!”ลั่วซูเยียงลุกขึ้นมา ท่าทีของเธอดูหวาดกลัวมาก “เหลิ่งรั่วปิงคือเจียงหน่วนซิน วันนี้เธอเป็นคนทำให้หนูตกลงในน้ำ” 

 

 

เจี่ยนชิวขมวดคิ้วครุ่นคิด เธอพูดด้วยความตกใจ “จริงด้วย วันนี้แม่เองก็เห็นผู้หญิงคนนั้น เธอหน้าตาคล้ายกับเจียงหน่วนซินมาก หรือว่าตอนนั้นยัยเด็กเจียงหน่วนซินไม่ได้ถูกไฟครอกตาย” 

 

 

ลั่วเฮิ่งผายมือด้วยความหงุดหงิด เขาพูดด้วยความโมโห “อย่ามาพูดจาไร้สาระกับฉัน ห้ามใครพูดถึงเรื่องที่เกิดขึ้นในตอนนั้นอีก หน้าต่างมีหูประตูมีช่อง เป็นไปไม่ได้ที่เหลิ่งรั่วปิงกับเจียงหน่วนซินจะเป็นคนคนเดียวกัน!” 

 

 

ลั่วเฮิ่งมั่นใจเป็นอย่างมาก เหลิ่งรั่วปิงไม่มีทางเป็นคนคนเดียวกับเจียงหน่วนซินเด็ดขาด อย่าเพิ่งพูดถึงไฟที่โหมกระหน่ำในตอนนั้น เจียงหน่วนซินในวัยสิบสามขวบจะหนีออกมาได้ยังไง ต่อให้เธอยังมีชีวิตรอด ก็ไม่มีทางเป็นเหลิ่งรั่วปิง ถ้าหากว่าเหลิ่งรั่วปิงเป็นคนคนเดียวกับเจียงหน่วนซิน แล้วเธอจะมาร่วมงานกับเขา ช่วยให้เขาได้เงินก้อนโตได้ยังไง 

 

 

เจี่ยนชิวเลิกคิ้วขึ้นเย้ยหยัน “คุณแน่ใจได้ยังไงว่าเธอไม่ใช่เจียงหน่วนซิน ฉันว่าคุณคงหลงกลแม่นั่นไปแล้ว ฉันขอเตือนคุณเอาไว้ก่อนนะ ตอนนี้นางเด็กนั่นเป็นผู้หญิงของหนานกงเยี่ย ถ้าคุณคิดไม่ซื่อกับเธอ ระวังหนานกงเยี่ยจะฉีกเนื้อคุณเป็นชิ้นๆ” 

 

 

ลั่วเฮิ่งโมโหเป็นอย่างมาก เขาหันกลับไปตบหน้าเจี่ยนชิว “นางสารเลว ยังกล้าพูดจาไร้สาระอีก ถ้ายังกล้าพูดจาแบบนี้ กูจะตัดลิ้นมึงให้ขาด” 

 

 

เจี่ยนชิวจับหน้าตนเองเอาไว้ เธอล้มตัวอยู่บนโซฟาไม่กล้าพูดอะไรอีก ลั่วซูเยียงมองไปทางลั่วเฮิ่งด้วยความกังวล “พ่อคะ พ่อเชื่อหนูสิ เหลิ่งรั่วปิงกับเจียงหน่วนซินเป็นคนคนเดียวกัน!” 

 

 

ลั่วเฮิ่งเหลืออด “กลับห้องไปซะ ไม่มีคำสั่งของฉัน ไม่ว่าใครหน้าไหนก็ห้ามออกมา” 

 

 

พูดจบ ลั่วเฮิ่งก็เดินออกไปจากบ้านทันที บ้านหลังนี้เขาไม่อยากอยู่แม้แต่เสี้ยววินาที ทั้งลูกทั้งภรรยาไม่มีใครทำให้เขาวางใจได้เลย ถ้าหากไม่ใช่เลือดเนื้อเชื้อไขของตน เขาคงฆ่าสองแม่ลูกนี่ทิ้งแล้ว 

 

 

***** 

 

 

เหลิ่งรั่วปิงนอนขดตัวในผ้าห่ม เธอนอนหลับไม่สนิทเท่าไหร่ ฝันเห็นเรื่องต่างๆ มากมาย ความคิดของเธอยุ่งไปมาก 

 

 

เมื่อหกปีก่อน ในประเทศซีหลิงที่ห่างไกล เธอสูญเสียที่พึ่งพิงเพียงคนเดียวของตนเอง เขาคือพ่อเลี้ยงของเธอเหลิ่งเย่ว์ ด้วยเหตุนี้ ชีวิตของเธอจึงเริ่มโดดเดี่ยวและถูกคนอื่นคอยรังแก 

 

 

วันนั้น หลังจากที่เธอเลิกงานกะดึก เธอถูกอันธพาลที่ชอบรังแกมาขวางทางกลับบ้าน พวกเขาจะเอาตัวเธอไปขายให้กับไนท์คลับ เพื่อเป็นสาวนั่งดริ้ง เหลิ่งรั่วปิงพยายามขัดขืน เธอสู้กับคนอันธพาลพวกนั้น แต่เธอเป็นแค่ผู้หญิงอ่อนแอไร้ทางสู้ ใช้เวลาเพียงไม่นานก็ถูกพวกเขาทำร้ายจนล้มลงกองกับพื้น ขณะที่อันธพาลพวกนั้นกำลังจะลากตัวเธอไปที่ไนท์คลับ ซือคงอวี้ได้เข้ามาช่วยเธอเอาไว้ 

 

 

วันนั้น เขาเหมือนเจ้าชายในนิทาน เขาเดินลงมาจากรถคันหรู ค่อยๆ เดินใกล้เข้ามาหาเธอ จากนั้นย่อตัวลงนั่งตรงหน้าเธอ มุมปากของเขาคลายยิ้มบางๆ เสียงของเขาทุ้มต่ำ “อยากเลิกโดนรังแกไหม” 

 

 

“…อยากค่ะ” ในช่วงชีวิตที่โดดเดี่ยว สิ่งเดียวที่เธอปรารถนาคือการมีข้าวกิน และไม่ถูกรังแกอีก 

 

 

มุมปากของเขากระตุกยิ้มร่า จากนั้นช้อนตัวเธอขึ้นมา ก่อนที่จะขึ้นรถเขาพูดกับเธอ “จำหน้าคนพวกนี้เอาไว้” 

 

 

เธอหันหน้ากลับไป มองดูหน้าคนที่รังแกเธอ แล้วจำใส่ใจเอาไว้ 

 

 

จากนั้น เขาพาเธอกลับมายังวิหารซีหลิง เขาพูดขึ้น “ถ้าไม่อยากถูกรังแกอีก คุณต้องทำให้ตนเองเข้มแข็ง” 

 

 

นับตั้งแต่วันนั้น เขาฝึกฝนเธออย่างหนัก ทุกครั้งที่เธอเหนื่อยจนล้มลงแทบลุกไม่ขึ้น เขาพูดอย่างไม่ใจอ่อนแม้แต่น้อย พูดออกคำสั่งเสียงเย็นยะเยือก “ลุกขึ้น!” 

 

 

ภายใต้แววตาที่น่ากลัวของเขา เธอลุกขึ้นอีกครั้ง ท้ายที่สุดเธอก็สามารถฝึกฝนสิ่งที่เขาต้องการจนสำเร็จ 

 

 

หนึ่งปีผ่านไป คืนหนึ่งเขาพาเธอมายังสวนรกร้าง พวกอันธพาลที่เคยรังแกเธอกำลังดื่มเหล้ากันอย่างมีความสุข 

 

 

เขายื่นมีดให้เธอหนึ่งเล่ม พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา “ไปฆ่าพวกมันซะ!” 

 

 

เธอกลัวจนตัวสั่น ตั้งแต่เล็กจนโต แม้แต่ไก่เธอยังไม่เคยฆ่า ถึงแม้เหลิ่งรั่วปิงจะเกลียดคนพวกนี้มากแค่ไหน แต่เธอไม่กล้าแทงพวกเขา 

 

 

นัยน์ตาของเขาเหมือนกองไฟ มองลึกเข้ามายังนัยน์ตาของเธอ “อยากจะแก้แค้น ต้องฆ่าคนให้เป็นก่อน ไม่อย่างนั้นชีวิตนี้ไม่ต้องกลับไปเมืองหลงแล้ว!” 

 

 

เธอตกใจมาก ที่แท้เขารู้แต่แรกว่าเธอเป็นใคร และรู้ว่าเธอแค้นคนที่เมืองหลงมากแค่ไหน 

 

 

 ภายใต้แววตาที่เต็มไปด้วยกำลังใจของเขา เธอจับมีดเอาไว้แน่น เดินเข้าไปหาพวกอันธพาล 

 

 

ชูมีดขึ้นมาแล้วทิ้งลง คนพวกนี้เดินเตร่อยู่ทุกมุมมืดของเมือง พวกเขาทำเรื่องเลวร้ายไว้มากมาย ถูกเธอกระหน่ำแทงจนล้มลง 

 

 

ครั้งแรกที่เธอฆ่าคน เลือดเปื้อนไปทั่วทั้งหน้า เวลานั้นเธอยังไม่ได้เรียนรู้ที่จะคงความสง่างามเอาไว้ ยังไม่ได้เรียนรู้วิธีการรักษาความสะอาดผุดผ่องเหมือนนางฟ้าเวลาฆ่าคน 

 

 

ผ่านช่วงเวลาแห่งความน่ากลัว เธอสัมผัสได้ถึงความสุขหลังจากแก้แค้น เธอบอกกับตนเอง คนที่เธอฆ่าเป็นพวกคนเลว พวกเขาสมควรตาย เธอกำลังปฏิบัติตามคำสั่งผู้นำสูงสุดของซีหลิง ช่วยประชาชนกำจัดคนชั่ว ดังนั้น ตอนที่ฆ่าอันธพาลคนสุดท้าย ความหวาดกลัวที่อยู่ในใจของเธอถูกกำจัดออกไป ทางด้านซือคงอวี้เองก็คลายยิ้ม 

 

 

นับตั้งแต่วันหนึ่ง ชื่อของเธอก็คือนางฟ้ารัติกาล 

 

 

หลังจากตื่นจากฝัน เหลิ่งรั่วปิงรู้สึกหนาวมาก เธอขยับตัวไปมาในผ้าห่ม อ้อมกอดอบอุ่นโอบกอดเธอเอาไว้ 

 

 

เหลิ่งรั่วปิงลืมตาขึ้น อาศัยแสงสลัวของดวงจันทร์ เผยให้เห็นหน้าของหนานกงเยี่ย เขาเพิ่งอาบน้ำเสร็จ เวลานี้ผมของเขายังเปียกเล็กน้อย 

 

 

“ฝัน?” หนานกงเยี่ยลูบจับคิ้วของเธอเบาๆ 

 

 

“คุณกลับไปที่คฤหาสน์แล้วไม่ใช่หรอคะ” 

 

 

“ครับ แต่ผมก็กลับมาแล้ว” หนานกงเยี่ยกอดเธอแน่น คว้ามือของเธอซุกเข้าไปในเสื้อของเขา ไม่รู้จริงๆ ว่าเธอนอนหลับยังไง ถึงทำให้มือเย็นแบบนี้ “หลับเถอะ” 

 

 

อ้อมกอดของเขา ทำให้เหลิ่งรั่วปิงหลับสบายขึ้นมา ไม่นานเธอก็นอนหลับไป 

 

 

***** 

 

 

วันเวลาผ่านไปเร็วมาก ไม่นานก็มาถึงช่วงสิ้นปีแล้ว หนานกงเยี่ยเคลียร์งานในบริษัทจนเสร็จ จากนั้นแจกเงินปีใหม่ให้กับพนักงานพร้อมกับให้พนักงานหยุดงาน ส่วนตัวเขาเองก็กลับมาที่วิลล่าหย่าเก๋อ 

 

 

เหลิ่งรั่วปิงนั่งทำงานออกแบบของเธอในห้องทำงาน โดยไม่พักผ่อน 

 

 

หนานกงเยี่ยกลับมาถึงวิลล่าหย่าเก๋อ เขาตรงไปที่ห้องทำงานของเธอทันที มองดูแผ่นหลังของเธอจนใจลอยไปครู่หนึ่ง เหมือนว่าเธอไม่รู้สึกตื่นเต้นกับเทศกาล ไม่ได้สนใจโคมไฟสีแดงและของประดับตกแต่งต่างๆ บนท้องถนน ไม่สนใจเวลาได้ยินคนอื่นพูดเรื่องเทศกาลปีใหม่ เธอชอบอยู่เงียบๆ บางครั้งเวลาได้ยินเสียงประทัดดังขึ้น เหลิ่งรั่วปิงขมวดคิ้วเล็กน้อย 

 

 

ความเป็นจริง หนานกงเยี่ยเองก็ไม่ได้รู้สึกพิเศษกับเทศกาลปีใหม่ หลายปีที่ผ่านมานี้เขาฉลองเทศกาลปีใหม่คนเดียว วันส่งท้ายปีเก่าของทุกปีเขามักจะหาอะไรทำ หรือไม่ก็ไปดื่มเหล้าสังสรรค์กับพวกอวี้ไป่หันที่ไนท์คลับเฟิ่งหวงไถ  

 

 

ทว่าปีนี้ เขารู้สึกว่าวันส่งท้ายปีเก่ามีความหมายมากกว่าเดิม เขาอยากฉลองเทศกาลไปพร้อมกับเธอ 

 

 

หนานกงเยี่ยเดินไปหาเหลิ่งรั่วปิง เขานั่งลงแล้วสวมกอดเธอเบาๆ “วันนี้เป็นวันส่งท้ายปีเก่า คุณหยุดทำงานได้แล้ว” 

 

 

เหลิ่งรั่วปิงคลายยิ้ม เธอพูดหยอกล้อเขา “คุณหนานกง พนักงานของคุณตั้งใจทำงานในวันส่งท้ายปีแบบนี้ คุณควรตบรางวัลให้สิคะ” 

 

 

หนานกงเยี่ยหัวเราะ ยื่นมือเอาผมของเธอทัดที่หู “ครับ เพื่อที่จะเป็นการตบรางวัลให้คุณ คืนนี้ผมจะฉลองปีใหม่กับคุณเอง” 

 

 

เหลิ่งรั่วปิงขมวดคิ้ว “นี่เป็นรางวัลของฉัน หรือเป็นโอกาสของคุณในการเอาเปรียบฉันกันแน่คะ” 

 

 

มุมปากของหนานกงเยี่ยยกขึ้นเล็กน้อย “คุณไม่อยากให้ผมอยู่กับคุณหรอ” 

 

 

“อันที่จริงฉันอยากได้อั่งเปามากกว่า” 

 

 

“ฮ่าๆๆ…” หนานกงเยี่ยยิ้มจนตาหยี “เหลิ่งรั่วปิง คุณชอบเงินมากจริงๆ บัตรเสริมของผมอยู่ที่คุณ คุณยังอยากได้อั่งเปา?” 

 

 

“มันไม่เหมือนกันค่ะ บัตรเสริมเป็นเงินเดือนที่คุณให้ฉัน แต่อั่งเปาเป็นรางวัลค่ะ” 

 

 

“ครับๆๆ!” หนานกงเยี่ยยิ้มแล้วหยิบเช็คออกมา เขาเขียนเช็คที่ไม่ระบุจำนวนเงินเอาไว้ ฉีกแล้วยื่นให้เหลิ่งรั่วปิง “พอใจไหมครับ” 

 

 

เหลิ่งรั่วปิงวางอุปกรณ์ในมือลง เธอยื่นมือเรียวบางออกไปรับเช็คเงินสด พร้อมกับยิ้มร่า “คุณหนานกงใจกว้างจริงๆ ค่ะ” 

 

 

สถานการณ์ที่เกิดขึ้นในตอนนี้ ไม่มีความรู้สึกที่เหมือนกำลังโดนดูถูกเหมือนก่อนหน้านี้อีกแล้ว ความสัมพันธ์ระหว่างพวกเขาสองคนดีขึ้นมา 

 

 

หนานกงเยี่ยคลายยิ้ม ลูบจับริมฝีปากของเธอ “ผมใจกว้างกว่านี้อีกนะ ไม่เพียงแต่ให้อั่งเปาคุณ แม้แต่ตัวของผมก็ยกให้คุณ” 

 

 

เหลิ่งรั่วปิงเบะปาก ขณะที่เธอกำลังจะพูดอะไรบางอย่าง เสียงโทรศัพท์ของเขาดังขึ้น 

 

 

หนานกงเยี่ยหยิบโทรศัพท์ออกมาดู สีหน้าของเธอกระอักกระอ่วนเล็กน้อย เขามองมาที่เหลิ่งรั่วปิง จากนั้นลุกขึ้นไปรับโทรศัพท์ 

 

 

สายตาแหลมคมของเหลิ่งรั่วปิง เธอชำเลืองมองไปที่หน้าจอโทรศัพท์ เห็นเป็นชื่อของอวี้หลานซี คิ้วของเธอขมวดเล็กน้อย คืนนี้ดูท่าเขาคงไม่ได้อยู่กับเธอ 

 

 

หนานกงเยี่ยเดินไปตรงบันไดแล้วรับโทรศัพท์ “ฮัลโหล หลานซี” 

 

 

“เยี่ย วันนี้เป็นวันส่งท้ายปี คุณกลับคฤหาสน์ไหมคะ” 

 

 

หนานกงเยี่ยเงียบไปพักหนึ่ง “คืนนี้ผมติดธุระนิดหน่อย ไม่กลับไปแล้ว เดี๋ยวผมให้ก่วนอวี้ไปฉลองวันส่งท้ายปีกับคุณนะ” 

 

 

อวี้หลานซีเงียบไปครู่หนึ่ง คล้ายว่ารู้สึกเสียใจ “คุณเหลิ่งฉลองเทศกาลปีใหม่กับใครคะ ให้ฉันไปรับเธอกลับมาฉลองด้วยกันที่คฤหาสน์ไหม เธอ…” 

 

 

วันส่งท้ายปีเก่าของทุกปี ถึงแม้เขาไม่ได้อยู่ฉลองกับเธอ แต่เขาจะกลับมาที่คฤหาสน์แล้วนั่งพูดคุยกับเธอสักพักหนึ่ง ทว่าปีนี้เขากลับไม่มีเวลาให้เธอแม้แต่น้อย เธอสั่งให้คนทำอาหารที่เขาชอบเอาไว้หลายอย่าง น่าเสียดายจริงๆ ความเป็นจริง เธอไม่ถือสาที่จะฉลองเทศกาลด้วยกันสามคน 

 

 

“หลานซี…” หนานกงเยี่ยขมวดคิ้วเป็นปม เขาเงียบอยู่นาน ไม่รู้ว่าควรจะพูดอย่างไรดี “ผมจะสั่งให้ก่วนอวี้กลับคฤหาสน์ตอนนี้เลย คุณต้องการอะไรสั่งให้เขาทำได้เลยนะ” 

 

 

“…” อวี้หลานซีนิ่งเงียบ สุดท้ายเธอพูดออกมาสั้นๆ “ได้ค่ะ” เธอเป็นผู้หญิงที่ฉลาด เธอรู้อยู่แล้วว่าหนานกงเยี่ยจะฉลองเทศกาลส่งท้ายปีกับเหลิ่งรั่วปิง ถึงแม้ภายในใจของเธอจะรู้สึกผิดหวัง แต่เธอเคยพูดแล้วว่าจะเปิดใจให้ผู้หญิงของเขา และไม่คาดหวังความรักจากเขา ด้วยเหตุนี้เธอจึงยอมรับกับสิ่งที่เกิดขึ้น โดยไม่พูดอะไร 

 

 

หนานกงเยี่ยโล่งอก พูดด้วยเสียงอ่อนโยน “สวัสดีปีใหม่นะครับ” 

 

 

“สวัสดีปีใหม่ค่ะ” อวี้หลานซีฝืนยิ้ม “ฝากอวยพรวันปีใหม่คุณเหลิ่งแทนฉันด้วยนะคะ” 

 

 

“ครับ” หนานกงเยี่ยไม่สามาถทนฟังน้ำเสียงเจ็บปวดของเธอได้อีก เขารีบวางสาย จากนั้นสั่งให้ก่วนอวี้มาพบ หลังจากสั่งงานเขาเรียบร้อย ก่วนอวี้ไปที่คฤหาสน์ทันที 

 

 

กลับไปยังห้องทำงาน มองดูเหลิ่งรั่วปิงที่กำลังทำงานออกแบบของเธอ ภายในใจของหนานกงเยี่ยรู้สึกหน่วงๆ “ในสายตาของคุณมีแค่งานออกแบบพวกนี้เท่านั้นใช่ไหม” 

 

 

เหลิ่งรั่วปิงหันกลับมาด้วยความตกใจ เธอมองไปที่เขา “คุณหนานกง เหมือนว่าคืนนี้คุณไม่ต้องอยู่กับฉัน?” 

 

 

“ใครบอก” หนานกงเยี่ยไม่สบอารมณ์ 

 

 

เหลิ่งรั่วปิงอ้าปากพะงาบๆ ไม่รู้ว่าควรจะพูดอะไรดี เมื่อกี้เธอเห็นอวี้หลานซีโทรหาเขา เขาควรกลับไปที่คฤหาสน์ไม่ใช่หรือไง