ตอนที่ 96 ทำให้ชีวิตของคุณเหมือนอยู่ในโลกของเทพนิยาย

เดิมพันเสน่หา

มองดูสีหน้าของเหลิ่งรั่วปิง หนานกงเยี่ยพอจะเดาได้ว่าเธอกำลังคิดอะไรอยู่ สีหน้าของเขาเคร่งขรึมขึ้นมา เสียงของเขาเย็นลง “ออกไปจากห้องทำงานภายในครึ่งนาที ไม่อย่างนั้นผมจะเอาอั่งเปาที่ผมให้คุณคืน!”

 

 

พูดจบ หนานกงเยี่ยชำเลืองมองเหลิ่งรั่วปิง จากนั้นเดินออกไปจากห้องทำงาน

 

 

เหลิ่งรั่วปิงนิ่งค้างไปครู่หนึ่ง แล้วรีบวิ่งตามเขาออกไป อ้อยเข้าปากช้างจะคายทิ้งได้ยังไง “คุณหนานกง รอก่อนสิคะ”

 

 

หนานกงเยี่ยไม่ได้หันหน้ากลับมา แต่เขากลับเดินช้าลง มุมปากของเขากระตุกยิ้ม ตอนที่เหลิ่งรั่วปิงวิ่งตามเขาไปนั้น จู่ๆ เขาก็หยุดเดิน ทำให้เธอชนเข้ากับเขาตกอยู่ในอ้อมกอดของหนานกงเยี่ย

 

 

หนานกงเยี่ยคลายยิ้มเจ้าเล่ห์ “เหลิ่งรั่วปิง คุณใจร้อนอะไรขนาดนี้ คิดอยากจะทำอะไรหรอครับ”

 

 

เหลิ่งรั่วปิงเบะปาก “คุณหนานกง คุณเอาเปรียบฉันแล้วยังมาแกล้งทำเป็นคนดีอีกหรอคะ”

 

 

“ฮ่าๆๆ…” หนานกงเยี่ยหัวเราะเสียงดัง เขาช้อนตัวเหลิ่งรั่วปิงขึ้นมา วางเธอไว้บนบ่า จากนั้นเดินสาวเท้าออกไปด้านนอก

 

 

ท่าที่ทำในตอนนี้ เหลิ่งรั่วปิงรู้สึกไม่ชอบมาก เธอขมวดคิ้วแล้วพูดขึ้น “จะพาฉันไปไหนคะ”

 

 

“วันนี้เป็นวันส่งท้ายปีเก่า พวกเราไปหาอะไรอร่อยๆ กินกันเถอะ” หนานกงเยี่ยยิ้มแล้วตีสะโพกเธอ “คุณต้องเป็นเด็กดี ต้องเชื่อฟัง คืนนี้ผมมีอะไรจะเซอร์ไพรส์คุณด้วย หื้ม?”

 

 

เหลิ่งรั่วปิงเบะปาก เขาทำเหมือนเธอเป็นลูกหมาลูกแมวที่เขาเลี้ยงเอาไว้ บอกให้เธอเป็นเด็กดี เชื่อฟังแล้วจะมีเซอร์ไพรส์ให้ เซอร์ไพรส์อะไรกัน จะให้ไส้กรอกเธอหรือไง

 

 

ความคิดนี้โผล่ออกมา เหลิ่งรั่วปิงตัวแข็งทื่อทันที ตนเองกลายเป็นเด็กผู้หญิงแบบนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่? สัญญาณนี้ไม่ดีเท่าไหร่เลย!

 

 

หนานกงเยี่ยไม่ได้สนใจความคิดของเธอ เขาอุ้มเธอมาจนถึงห้องรับแขก ใส่เสื้อกันหนาวตัวหนาให้กับเธอ ตัวเขาเองก็ใส่เสื้อกันหนาวตัวอุ่นๆ จากนั้นพาเธอออกไปด้านนอกแล้วขึ้นรถยนต์ เขาขับรถพาเธอมาจนถึงวิลล่าที่เป็นรีสอร์ตซึ่งตั้งอยู่ชานเมือง

 

 

นี่เป็นหนึ่งในรีสอร์ตที่หรูหราอันดับต้นๆ ของเมืองหลง ไม่ใช่รีสอร์ตที่คนธรรมดาทั่วไปสามารถเข้ามาได้ ยิ่งช่วงเทศกาลรีสอร์ตนี้ยิ่งได้รับความนิยมเป็นอย่างมาก แต่คืนนี้ นอกจากพนักงานเสริฟไม่กี่คนแล้ว ทั้งรีสอร์ตก็มีแค่หนานกงเยี่ยและเหลิ่งรั่วปิงสองคนเท่านั้น เพราะรีสอร์ตแห่งนี้เป็นธุรกิจของตระกูลหนานกง หนานกงเยี่ยเหมารีสอร์ตนี้ทั้งคืน เขาอยากดื่มด่ำช่วงเวลานี้กับเหลิ่งรั่วปิงแค่สองคน

 

 

นี่เป็นครั้งแรกในชีวิตของหนานกงเยี่ยที่ทำอะไรโรแมนติกแบบนี้ เขาสูญเสียรายได้กว่าร้อยล้านหยวนในคืนเดียว

 

 

ภายในรีสอร์ตออกแบบได้หรูหรามาก สวยเหมือนพระราชวังแวร์ซาย เมื่อเดินเข้ามาก็มีพนักงานมาต้อนรับทันที พนักงานถอดเสื้อกันหนาวให้ทั้งสองคนด้วยความนอบน้อม ในห้องโถงขนาดใหญ่ ตรงเสาของห้องโถงมีมังกรและหงส์พันรอบ พื้นหินสะท้อนเงาของคน หนานกงเยี่ยจับมือของเหลิ่งรั่วปิงเอาไว้ เขาพาเธอเดินไปด้านหน้า แสงไฟสีทองตรงกำแพงส่องสว่าง ทั่วทั้งห้องโถงวิบวับเหมือนดั่งความฝัน พวกเขาเหมือนเจ้าชายและเจ้าหญิงในเทพนิยาย

 

 

เดินผ่านห้องโถง เข้าไปยังทางเดินยาว ทั้งสองเดินบนพรมกำมะหยี่ปักลาย ผนังทั้งสองด้านติดวอลล์เปเปอร์สีทองอร่าม แสงสว่างที่ส่องมานั้นให้ความรู้สึกอ่อนโยน บรรยากาศเคล้าไปด้วยความอบอุ่น

 

 

เหลิ่งรั่วปิงอยู่ในรีสอร์ตหรูหราแต่เธอกลับมีสีหน้านิ่งเฉย เพราะเธอเคยเห็นสถานที่ที่หรูหรากว่านี้…นั่นก็คือวิหารซีหลิง วิหารซีหลิงเป็นสถานที่ที่หรูหราที่สุดของประเทศซีหลิง ในพื้นที่ที่หรูหราแบบนั้น เป็นสถานที่ที่ให้กำเนิดซือคงอวี้ผู้เย็นชา

 

 

วันส่งท้ายปีเก่าของทุกปี เขาไม่มีสีหน้าท่าทางอะไรเป็นพิเศษ เขายังคงนั่งอยู่ในวิหารหนาวเย็นนั้นเพียงลำพังเหมือนปกติที่ผ่านมา คอยรับฟังรายงานของรัฐบาลจากที่ต่างๆ มือเรียวยาวของเขาเคาะแขนเก้าอี้ทองเป็นจังหวะ ตรงแขนเก้าอี้ทองของเขามีเสาแก้วอัญมณีใสแปดอัน ความเป็นจริงเสาแก้วอัญมณีใสนั้นคืออาวุธลับ ซึ่งเป็นมีดบินแปดเล่ม เธอเคยเห็นเขาดึงมันออกมาแล้วฆ่าคนที่ทรยศกับตา

 

 

วันส่งท้ายปีเก่าของทุกปี เจ้าวิหารมักจะมีคำสั่งให้เธอไปที่วิหาร ตอนที่เห็นหน้าเธอ ความเย็นชาบนใบหน้าของเขาดูอ่อนโยนขึ้นมา ริมฝีปากของเขามีรอยยิ้มเล็กน้อย เสียงของเขาเหมือนแม่น้ำที่ไหลลงมาจากภูเขา “สวัสดีปีใหม่ นางฟ้ารัติกาล”

 

 

เธอไม่รู้ว่าในใจของเขามีเรื่องมากมายเท่าไหร่ และไม่รู้ว่าเขามีความกังวลและเย็นชาแค่ไหน สิ่งเดียวที่เธอรู้ในวินาทีนั้นก็คือ เขาเป็นคนที่อบอุ่นที่สุด

 

 

วันส่งท้ายปีของปีนี้ เขาจะฉลองเทศกาลนี้ยังไงกันนะ

 

 

ขณะที่เธอกำลังใจลอย หนานกงเยี่ยช้อนตัวเธอขึ้นมา เธอกอดคอของเขาเอาไว้

 

 

หนานกงเยี่ยก้มลงมองเธอที่สีหน้าตกใจเล็กน้อย เขาคลายยิ้มอ่อนโยน “เมื่อกี้คุณกำลังคิดอะไรอยู่ครับ”

 

 

“เปล่าค่ะ…ไม่ได้คิดอะไร” แววตาของเหลิ่งรั่วปิงกระวนกระวายเล็กน้อย “ฉันกำลังคิดว่า ตนเองอยู่ในโลกของเทพนิยาย”

 

 

หนานกงเยี่ยหัวเราะเสียงเบา “คืนนี้ผมจะทำให้ชีวิตของคุณเหมือนอยู่ในโลกของเทพนิยาย”

 

 

เดินไปจนสุดท้างเดิน หน้าต่างขนาดใหญ่ตรงหน้าเปิดค่อยๆ เปิดกว้าง เผยให้เห็นห้องโถงหรูหรา เสียงไวโอลินดังขึ้น

 

 

ในห้องโถงมีโต๊ะไม้ตัวยาวสวยหรูวางเอาไว้ บนโต๊ะมีอาหารมากมายวางเรียงราย ตรงกลางของโต๊ะยังมีแจกันดอกกุหลาบแดงวางประดับ กลิ่นของอาหารหอมตลบอบอวลไปทั่วทั้งห้องโถง เคล้าไปกับไวโอลินที่กำลังบรรเลงเพลง ในวันพิเศษแบบนี้ ทำให้ดูอบอุ่นกว่าเดิม

 

 

หนานกงเยี่ยวางเหลิ่งรั่วปิงลงบนพรมช้าๆ มือข้างหนึ่งคว้าจับเอวเธอเอาไว้ ส่วนมืออีกข้างจับมือเรียวบางเธอ แววตาอ่อนโยนจ้องมองมาที่เธอ “คุณเต้นรำกับผมสักเพลงได้ไหมครับ”

 

 

เหลิ่งรั่วปิงคลายยิ้มมุมปาก “เป็นเกียรติของฉันค่ะ”

 

 

ด้วยเหตุนี้นักไวโอลินจึงเปลี่ยนเป็นบรรเลงเพลงที่นุ่มนวลมากขึ้น เพื่อให้เข้ากับการเต้นรำของคนทั้งคู่

 

 

บรรยากาศในตอนนี้พิเศษมาก เห็นได้ชัดว่าหนานกงเยี่ยหวั่นไหวมากขึ้นกว่าเดิม เขาปล่อยมือที่จับมือของเธอเอาไว้ แล้วเลื่อนไปจับที่เอวของเหลิ่งรั่วปิงแทน ดึงตัวเธอเข้ามาแนบชิดกับตน โน้มหน้าลงจุมพิตเธอเบาๆ ภายใต้เสียงไวโอลินที่ไพเราะ ลิ้มรสจูบของเธอ

 

 

พนักงานเสริฟที่อยู่ข้างๆ พากันก้มหน้าลงด้วยความเขินอาย

 

 

เพลงจบลงแล้ว แต่เขาไม่ยอมละออกจากริมฝีปากของเธอ การจูบที่ร้อนแรงและยาวนอน ทำให้ใบหน้าที่ขาวบริสุทธิ์ของเธอแดงระเรื่อ ริมฝีปากของเธอเหมือนดอกลิลลี่อาบไวน์แดง นุ่มชุ่มชื่นไปหมด

 

 

หลังจากพักหายใจครู่หนึ่ง หนานกงเยี่ยก้มหน้าลงจูบเธออีกครั้ง เหลิ่งรั่วปิวใช้นิ้วมือมาป้องริมฝีปากของเขา “คุณหนานกง คุณอยากให้ฉันกินอาหารค่ำที่เย็นหมดแล้วหรอคะ”

 

 

หนานกงเยี่ยคลายยิ้มมุมปาก “ครับ กินข้าวกันก่อน”

 

 

จากนั้น เขาช้อนตัวเธอขึ้นมา แล้ววางลงตรงเก้าอี้อย่างเบามือ ตัวเขาเองก็นั่งลงข้างๆ จัดวางผ้าเช็ดปากและช้อนส้อมให้เธอด้วยตนเอง เขาตักอาหารเลิศรสบนโต๊ะมาวางไว้บนจานของเธอ “ครับ กินตอนร้อนๆ เดี๋ยวกินเสร็จแล้วผมจะพาคุณไปเล่นอะไรสนุกๆ”

 

 

เหลิ่งรั่วปิงถือส้อมเอาไว้ เธอคลายยิ้มบางๆ “เล่นอะไรคะ”

 

 

“ตอนนี้เก็บเอาไว้เป็นความลับก่อน เดี๋ยวผมจะทำให้คุณต้องเซอร์ไพรส์”

 

 

เหลิ่งรั่วปิงคลายยิ้มบางๆ ไม่ได้พูดอะไรอีก เธอก้มหน้าลงกินอาหารในจานด้วยความตั้งใจ ความเป็นจริงภายในใจของเธอรู้สึกตกใจเล็กน้อย คิดไม่ถึงว่าผู้ชายที่เย็นชาแบบหนานกงเยี่ย จะทำเรื่องโรแมนติกแบบนี้

 

 

หลังจากกินข้าวเสร็จ หนานกงเยี่ยเดินไปหยิบเสื้อกันหนาวด้วยตนเอง แล้วสวมให้กับเหลิ่งรั่วปิง จากนั้นพาเธอเดินออกไปด้านนอกของรีสอร์ต เขาพาเธอเดินไปยังลานกว้างข้างรีสอร์ต ถ้าเป็นช่วงฤดูใบไม้ผลิ ที่นี่คือสนามหญ้าสีเขียวขนาดใหญ่ แต่เวลานี้เป็นช่วงฤดูหนาว สนามหญ้าสีเขียวจึงเหี่ยวเฉา

 

 

บนลานกว้างมีดอกไม้ไฟวางเอาไว้มากมาย หนานกงเยี่ยไปหยิบธูปก้านยาว เขาจับมือเหลิ่งรั่วปิงเอาไว้ แล้วเดินไปตรงดอกไม้ไฟ “พวกเรามาจุดดอกไม้ไฟด้วยกันเถอะ”

 

 

ราวกับภาพในอดีตหมุนย้อนกลับมาอีกครั้ง เหลิ่งรั่วปิงจำได้ว่าตอนที่เธอยังเด็ก ช่วงเทศกาลส่งท้ายปีพ่อจะพาเธอมาจุดดอกไม้ไฟ ในตอนนั้นมีเวินจี๋ไห่และเวินอี๋คอยยืนอยู่ข้างๆ วันส่งท้ายปีในตอนนั้นเป็นช่วงเวลาที่เต็มไปด้วยความสุข เธอไม่เคยคิดเลยว่าภาพในวันนั้นจะเกิดขึ้นอีก แลไม่เคยคิดฝันว่าจะมีคนจับมือของเธอเอาไว้ แล้วจุดดอกไม้ไฟด้วยกัน

 

 

เงียบอยู่พักหนึ่ง เหลิ่งรั่วปิงคลายยิ้ม เธอรับธูปมาจากหนานกงเยี่ย แล้วจุดดอกไม้ไฟที่ใหญ่ที่สุดด้วยตนเอง ดอกไม้ไฟเริ่มมีประกายไฟ หนานกงเยี่ยจับมือของเธอเอาไว้แล้ววิ่งไปด้านข้าง เขาสวมกอดเธอ มองขึ้นไปบนฟ้า

 

 

ดอกไม้ไฟนี้มีชื่อว่า “ต้นไม้ไฟดอกไม้เงิน” ท่ามกลางท้องฟ้าที่มืดมิด ส่องสว่างงดงาม

 

 

หนานกงเยี่ยกระชับกอดเหลิ่งรั่วปิง มือทั้งสองข้างจับมือของเหลิ่งรั่วปิงเอาไว้ พร้อมกับเอามือของเธอใส่เข้าไปในกระเป๋าเสื้อกันหนาวตนเอง “มีความสุขไหมครับ”

 

 

“ค่ะ” เหลิ่งรั่วปิงรู้สึกมีความสุขจริงๆ ดอกไม้ไฟที่สวยงามนั้น เบ่งบานอยู่ภายในใจของเธอ เธอรู้สึกเหมือนเห็นพ่อของตนเอง ทำให้เธอดีใจจนน้ำตาไหลลงมา เหลิ่งรั่วปิงซบหน้าลงบนแผงอกกว้างของเขา ถ้าเวลาหยุดลงตอนนี้ มันคงจะเป็นอะไรที่วิเศษมาก

 

 

ดอกไม้ไฟที่นี่เป็นแบบพิเศษ จุดแค่ครั้งเดียว ดอกไม้ฟันอื่นๆ ก็จะจุดเองอัตโนมัติ หลังจาก “ต้นไม้ไฟดอกไม้เงิน” ดับลง “นางฟ้าโปรยดอกไม้” “เก๊กฮวยเงินชิงความงาม”และ”เงาคริสตัลแห่งรัก” ก็ส่องสว่างบนท้องฟ้า ดอกไม้ไฟแต่ละอันที่ถูกจุด สร้างความสวยงามเกินบรรยายให้กับท้องฟ้าในค่ำคืนนี้

 

 

ดอกไม้ไฟอันสุดท้ายที่ถูกจุดคือ “ดาวตก”

 

 

ดอกไม้ไฟชนิดนี้สวยมาก เป็นดอกไม้ไฟที่เหมือนดาวตก แสงไฟสีแดงส่องสว่างในยามค่ำคืน ถึงแม้ความสวยงามนี้จะสั้นมาก แต่มันกลับสวยจนเกินบรรยาย

 

 

หลังจากดอกไม้ไฟอันสุดท้ายดับลง เหลิ่งรั่วปิงสังเกตเห็นอะไรบางอย่าง บนท้องฟ้ามีดาวตกของจริงกำลังตกลงมา เป็นลำแสงสีขาวที่สวยมาก พุ่งตกลงมาจากทางทิศตะวันออก ดาวตกนี้วาดเส้นสวยงามให้กับท้องฟ้ายามค่ำคืนที่มืดมิด

 

 

“ดูนั่นสิคะ ดาวตก!” เหลิ่งรั่วปิงตื่นเต้นมาก เธอดึงแขนของหนานกงเยี่ยลง แล้วชี้ไปบนท้องฟ้า

 

 

หนานกงเยี่ยเงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้า ดวงของเขาเบิกกว้าง มือชี้ไปบนท้องฟ้า “ดูนั่นสิ ยังมีอีกดวง!”

 

 

ดาวตกที่เขาเห็นอยู่ทิศทางตรงกันข้ามกับอันแรก เป็นดาวตกที่สวยมากๆ เหมือนกัน ตกจากทางทิศตะวันออกมุ่งไปยังทิศตะวันตก วาดเป็นเส้นสีขาวสวยงามบนท้องฟ้า

 

 

“ว้าว…” เหลิ่งรั่วปิงกระโดดโลดเต้นด้วยความดีใจ “วิเศษมาก รีบอธิษฐานกันเถอะค่ะ!”

 

 

ยังไม่ทันได้อธิษฐาน ดาวตกทั้งสองดวงก็พุ่งชนกัน แม้ไม่ได้ยินเสียง แต่หลังจากดาวตกทั้งสองชนกันทำให้เกิดเป็นแสงสีเงินคล้ายของดอกไม้ไฟ เป็นเครื่องยืนยันว่าดาวตกทั้งสองชนกันรุนแรงแค่ไหน หลังจากจนกัน มีฝนดาวตกตกลงมา ราวกับเป็นงานเลี้ยงดอกไม้ไฟ

 

 

มือของเหลิ่งรั่วปิงนิ่งค้าง เธอมองดูด้วยความตะลึง “วิเศษมากเลยค่ะ ดาวตกทั้งสองดวงชนกัน”

 

 

หนานกงเยี่ยเองก็มองด้วยความตกตะลึง “วิเศษจริงๆ ด้วย” เขาคลายยิ้ม “คุณเคยได้ยินเรื่องเล่าไหม”

 

 

“เรื่องเล่าอะไรคะ” เหลิ่งรั่วปิงหันไปมองหน้าหนานกงเยี่ย

 

 

“ถ้าหากคนสองคนเห็นดาวตกชนกัน ชีวิตของคนทั้งสองต้องพัวพันกันตลอดไป” หนานกงเยี่ยเลิกคิ้วขึ้น เขายิ้มแล้วมองไปที่เธอ “เหลิ่งรั่วปิง คุณต้องอยู่กับผมไปตลอดชีวิตแล้ว”

 

 

ดวงตาของเหลิ่งรั่วปิงมีน้ำใสๆ เธอเงียบอยู่นาน แล้วคลายยิ้มบางๆ “การใช้ชีวิตอยู่กับคุณหนานกงตลอดไป เป็นความโชคดีหรือความโชคร้ายคะ”