ตอนที่ 101 โชคชะตาน้อยลงกว่าเดิม

แม่สาวเข็มเงิน

ตอนที่ 101 โชคชะตาน้อยลงกว่าเดิม

เจียงป่าวชิงกลับมาที่บ้านก็เห็นว่าเจียงหยุนชานนั่งยอง ๆ เล่นกับเจ้าเสี่ยวป๋ายอยู่ตรงหน้ากรงหมา  เจ้าเสี่ยวหวงก็กำลังวิ่งวนอยู่ด้านข้างเจียงหยุนชานเช่นกัน

ขาหน้าของเจ้าเสี่ยวป๋ายดูเหมือนจะดีขึ้นมากแล้ว ตอนนี้มันยังสะบัดขาอย่างมีชีวิตชีวาภายใต้การหยอกล้อของเจียงหยุนชานด้วย มันดูมีชีวิตชีวาขึ้นมาก

“พี่!” เจียงป่าวชิงเรียก

เจียงหยุนชานยืนขึ้น “ป่าวชิง เจ้ากลับมาแล้วรึ ?”

เจียงป่าวชิงพยักหน้า “พี่ คืนนี้พี่อยากกินอะไรเจ้าคะ ?”

เจียงหยุนชานชะงักไปทันที เหมือนจะมีความลังเลปรากฏอยู่บนใบหน้าของเขา

เจียงป่าวชิงเป็นคนละเอียดรอบคอบ นางกะพริบตาปริบ ๆ “พี่มีอะไรหรือเปล่าเจ้าคะ ?”

เจียงหยุนชานรู้สึกลังเลครั้งแล้วครั้งเล่า สุดท้ายเขาก็พูดขึ้น “ป่าวชิง เจ้ากับหวังอาซิ่งมีเรื่องเข้าใจผิดอะไรกันอยู่หรือไม่ ?”

เมื่อพูดถึงหวังอาซิ่ง แม้ว่ารอยยิ้มบนใบหน้าของเจียงป่าวชิงจะไม่จางหาย แต่แววตาของนางกลับหม่นลงเล็กน้อย จากนั้นก็ถอนหายใจ “ไม่ใช่เรื่องเข้าใจผิดอะไรหรอกเจ้าค่ะ ก็แค่โชคชะตาที่จะเป็นเพื่อนที่ดีต่อกันน้อยลงกว่าเดิมเท่านั้น… เหตุใดจู่ ๆ พี่ถึงพูดถึงเรื่องนี้ได้ล่ะเจ้าคะ ?”

เจียงหยุนชานเห็นเจียงป่าวชิงพูดเช่นนี้ ถึงแม้เขาจะรู้ว่าน้องสาวอายุยังน้อย แต่เรื่องมนุษยสัมพันธ์นางกลับมีประสบการณ์มากอยู่พอสมควร ในเมื่อนางพูดเช่นนี้ก็จะต้องเป็นเหตุผลนี้อย่างแน่นอน

“ไม่มีอะไร” เจียงหยุนชานส่ายหน้า

แต่เจียงป่าวชิงกลับไม่ยอมให้มันผ่านไปง่าย ๆ เรื่องระหว่างนางกับหวังอาซิ่งเป็นเรื่องของพวกนางสองคน แต่เจียงหยุนชานกลับมามีส่วนเกี่ยวข้อง มันจึงดูไม่ดีเท่าไหร่นัก

ทว่าเจียงป่าวชิงถามอย่างถึงที่สุด นางอยากรู้จริง ๆ ว่าพี่ชายไปรู้อะไรมาถึงได้มาถามเรื่องนี้ เจียงหยุนชานจึงต้องพูดขึ้น “เมื่อสักครู่หวังอาซิ่งเดินไปเดินมาอยู่นอกบ้านนานมาก ข้าเห็นนางชะโงกคอเข้ามามองอย่างลังเลอยู่หลายครั้งแต่ไม่เคาะประตู และไม่เหมือนกับกำลังหาใครทำนองนั้น ข้าจึงออกไปถามนาง แต่ใครจะรู้… ว่านางจะร้องไห้และพูดว่าสมควรแล้วที่เจ้าไม่เล่นกับนางในตอนนี้ แล้วยังบอกอีกว่านางไม่โทษเจ้า จากนั้นนางก็วิ่งกลับไป”

ตอนนี้เจียงป่าวชิงถึงจะรู้ว่าที่แท้มันก็เป็นเช่นนี้นี่เอง นางทั้งโกรธทั้งขำไปพร้อม ๆ กัน ‘หวังอาซิ่งเจ้าคิดจะทำอะไรกันแน่ ? อยากขอโทษข้าหรือว่าอยากเทน้ำมันลงในกองไฟกันแน่ ถึงได้ใส่ยาหยอดตาให้ข้าต่อหน้าพี่ชายของข้าเช่นนี้ ?’

เจียงหยุนชานมองดูสีหน้าของเจียงป่าวชิงและพูดขึ้นอย่างระมัดระวัง “อันที่จริงหวังอาซิ่งอายุน้อยกว่าพวกเราหนึ่งถึงสองปี…”

“พี่…” เจียงป่าวชิงพูดขัดจังหวะเจียงหยุนชานอย่างใจเย็น “เรื่องนี้ข้ายังไม่ได้พูดกับพี่ เพราะเห็นแก่ไมตรีจิตที่ผ่านมา หวังอาซิ่งบอกกับพี่ว่านางไม่โทษข้า ทำเหมือนข้าทำอะไรผิดอย่างนั้นแหละ ตอนนี้ข้าจะบอกให้พี่เข้าใจ”

เจียงหยุนชานพยักหน้า “ป่าวชิง เจ้าพูดได้เลย ข้าจะรอฟัง”

“อันที่จริงก็ไม่มีอะไรที่ข้าจะพูดเป็นพิเศษ” เจียงป่าวชิงเงียบไปครู่หนึ่งก่อนจะพูดต่อ “ก่อนหน้านี้ข้ากับอาซิ่งไปเล่นกันใกล้ ๆ แม่น้ำ อาซิ่งจะไปเล่นน้ำ ส่วนข้าไม่เล่นน้ำเพราะไม่อยากให้แผลเปียก แต่หวังอาซิ่งกลับถูกคนในหมู่บ้านผลักตกลงไปในแม่น้ำ เหตุเพราะพวกนั้นไม่พอใจที่นางเล่นกับข้า และข้าก็ช่วยนางขึ้นมาจากในแม่น้ำ แต่แม่ของนางที่บังเอิญมาเห็นตอนที่ข้าช่วยอาซิ่งขึ้นมา เป็นจังหวะตอนที่อาซิ่งมัวแต่ตกใจร้องไห้ แม่ของนางจึงคิดว่าข้าเป็นตัวหายนะ เป็นตัวซวย และสั่งให้ข้าอยู่ห่างจากหวังอาซิ่ง… ตอนนั้นถือได้ว่าสถานการณ์ของข้ากับหวังอาซิ่งค่อนข้างไม่ค่อยดีนัก ทว่าหวังอาซิ่งไม่ได้พูดอะไรกับข้า นางเลือกที่จะกลับไปกับแม่ของนางทั้งอย่างนั้น ต่อมานางก็ไม่สนใจข้าอีก ข้าเลยคิดว่าให้มันเป็นเช่นนี้ไปนั่นแหละ”

เจียงป่าวชิงชะงักไปเล็กน้อย จากนั้นนางก็ยิ้ม “เอาจริง ๆ นะพี่ ข้าก็แค่ไม่รู้ว่าการที่จู่ ๆ หวังอาซิ่งก็วิ่งมาบอกกับพี่ว่านางไม่โทษข้านี่เป็นวิธีพูดที่ผุดออกมาจากที่ไหนกันแน่ก็เท่านั้น”

เจียงหยุนชานหยุดหายใจ เขารู้สึกปวดใจมาก เด็กที่โตมาจากริมแม่น้ำคราด มีใครไม่รู้บ้างว่าน้ำในแม่น้ำคราดไหลเชี่ยวขนาดไหน แม้แต่ผู้ใหญ่ที่ว่ายน้ำไม่เก่งก็ยังไม่กล้าลงไปช่วยคนเลยด้วยซ้ำ

แต่น้องสาวของเขา เมื่อสองสามวันก่อนไหล่ของนางยังได้รับบาดเจ็บอยู่แท้ ๆ และนางยังผอมถึงขนาดนี้ การที่ลงไปช่วยคนในแม่น้ำถือเป็นการเสี่ยงชีวิตแต่สุดท้ายยังต้องมาได้รับการปฏิบัติเช่นนี้อีก…

เมื่อนึกถึงเรื่องนี้ เขาก็รู้สึกเหมือนมีใครมาแทงหัวใจของเขาทำนองนั้น  เจียงหยุนชานรู้สึกเพียงว่าความตื้นตันพุ่งขึ้นไปในดวงตาของตัวเอง เขาเช็ดน้ำตาเล็กน้อย เหมือนอยากพูดอะไรบางอย่างแต่กลับพูดไม่ออกเสียอย่างนั้น

แต่เจียงป่าวชิงกลับยิ้มอย่างผ่อนคลาย “อันที่จริงก็ไม่มีอะไรหรอกเจ้าค่ะ ข้าเพียงแค่อยากบอกพี่เกี่ยวกับต้นสายปลายเหตุของเรื่องนี้เท่านั้น เพื่อที่พี่จะได้ไม่ต้องงงว่ามันเกิดอะไรขึ้น”

เจียงหยุนชานเงียบไม่พูดอะไร

……

ตอนที่พระอาทิตย์ใกล้จะลับขอบฟ้า เจียงป่าวชิงก็ถือตะกร้าผักไปซื้อผักในหมู่บ้าน  ผักส่วนใหญ่ในเวลานี้มักจะเป็นของที่ถูกเหลือทิ้งไว้หลังจากที่ชาวบ้านขายผักได้เพียงวันเดียว ถึงแม้ว่าหน้าตาจะไม่ค่อยดีเท่าไหร่ แต่คุณค่าทางอาหารจะไม่ค่อยสูญเสียไปเพราะเหตุนี้

เนื่องจากบ้านที่เจียงป่าวชิงพักอาศัยจะอยู่ในพื้นที่ลาดเอียง ตอนไปที่หมู่บ้านหลักที่ชาวบ้านอาศัยอยู่ จึงจำเป็นต้องเดินผ่านถนนเล็ก ๆ ในป่า

ป่าบริเวณรอบ ๆ ค่อนข้างบางตา แต่พุ่มไม้กลับค่อนข้างมาก เจียงป่าวชิงเดินได้ไม่นานก็รู้สึกเหมือนว่ามีใครบางคนจ้องนางอยู่ นางจึงจงใจเร่งฝีเท้าให้เร็วขึ้น

และเป็นดั่งที่คิดไว้จริง ๆ ฝีเท้าทางด้านหลังก็เร็วขึ้นเช่นกัน ถึงขั้นไม่ระวังและทำให้เหยียบกิ่งไม้ที่ตายแล้วบนพื้นจนเกิดเป็นเสียงดัง

เจียงป่าวชิงหยุดฝีเท้าลง นางเอื้อมมือคลำตรงบริเวณเอวอย่างรวดเร็ว จากนั้นก็นำเข็มเงินสองสามเล่มซ่อนไว้ในระหว่างนิ้วมือพร้อมกับหมุนตัวกลับไป

ร่างที่ซ่อนตัวอยู่หลังต้นไม้ดูเหมือนไม่คาดคิดว่าเจียงป่าวชิงจะหันกลับมาอย่างกะทันหัน ร่างนั้นจึงรีบวิ่งหนีไปอย่างรวดเร็ว ไม่นานก็หายไปจากในป่า

เจียงป่าวชิงเห็นเพียงแค่ว่าร่างนั้นอยู่ในชุดสีเทาทั้งตัว มีคนสะกดรอยตามนางมาจริง ๆ ด้วย

เนื่องจากฝ่ายนั้นฝีมืออ่อนเกินไป เจียงป่าวชิงจึงไม่สงสัยว่าเป็นคนที่ดูเก่งกาจแบบไป๋จีที่สะกดรอยตามนาง ความสามารถด้านอาชีพของพวกเขาไม่ได้แย่ถึงขนาดนั้น

‘แล้วเป็นใครกันล่ะ ?’ คำถามนี้วนเวียนอยู่ในหัวของเจียงป่าวชิงไปตลอดทาง นางคิดไปต่าง ๆ นานาแต่ยังไม่เข้าใจอยู่ดี

โชคดีที่เจียงป่าวชิงไม่ใช่คนที่เสียเวลากับการแก้ปัญหาไม่ได้ ในเมื่อคิดต้นสายปลายเหตุของเรื่องนี้ไม่ได้ ถ้าอย่างนั้นก็วางไว้ก่อนชั่วคราว และถ้าหากว่าอยากทำอะไรบางอย่างก็จะไม่เป็นการเผยช่องโหว่

ชายชราที่ขายผักในหมู่บ้านนั่งยอง ๆ อยู่กับพื้นเพื่อสูบยาเส้น เนื่องจากใบยาสูบแพงเกินไป ตอนนี้สิ่งที่ยัดอยู่ข้างในยาเส้นจึงเป็นบวบที่แห้งแล้ว เมื่อออกแรงสูบและพ่นออกมาจนควันลอยเป็นเกลียว ก็จะไม่ต่างจากการสูบยาเส้นจริง ๆ

เจียงป่าวชิงทักทายชายชรา ตอนนี้ในตะกร้าผักตรงหน้าชายชราเหลือเพียงถั่วฝักยาวหนึ่งกำมือ มะเขือยาวสองสามต้น และกุยช่ายหนึ่งกำมือเท่านั้น ผักเหล่านี้เป็นผักที่ปลูกในสวนผักที่บ้านของชายชราเอง แม้ว่าชาวบ้านส่วนใหญ่จะกินผักที่ปลูกในบ้านของตัวเอง แต่ก็มีช่วงที่ผักออกผลผลิตไม่ทันเช่นกัน

ราคาที่ชายชราขายนั้นถูกมาก ตอนนี้ก็ใกล้จะถึงเวลาเลิกขายพอดี ราคาที่เขาขายจึงถูกลงไปอีก

“เจียงป่าวชิง เจ้ามาซื้อผักรึ ?” ชายชราทักทายเจียงป่าวชิงอย่างคุ้นเคย “วันนี้เหลือไม่มากแล้ว ข้าขายให้เจ้าถูก ๆ เลยนะ ให้ข้าสามทองแดงเจ้าก็เอาไปหมดนี่เลย ดีไหมล่ะ ?”

เจียงป่าวชิงขานรับยิ้ม ๆ ขณะที่ชายชราก็ดีใจมากเช่นกัน เขารีบช่วยเจียงป่าวชิงใส่ผักในตะกร้าอย่างดีใจ ทว่าจู่ ๆ ชายชราก็นึกอะไรได้ มือที่ช่วยเจียงป่าวชิงใส่ผักจึงชะงักไปทันที จากนั้นเขาก็พูดขึ้นเสียงเบา “ป่าวชิง ตอนนี้เจ้าก็ระวังตัวไว้หน่อยก็แล้วกัน…” เขาบุ้ยปากไปทางบ้านของท่านปู่เจียงและกดเสียงพูดให้เบาลง “ข้าได้ยินคนอื่นเขาพูดว่าบ้านปู่สองของเจ้าน่ะโกรธเรื่องที่ดินห้าไร่นั้นมาก และเหมือนกับกำลังจะทำอะไรที่ไม่ดีทำนองนั้น”

เจียงป่าวชิงซาบซึ้งในพระคุณครั้งนี้จึงขอบคุณชายชรา

ชายชราเก็บผ้ากระดาษน้ำมันที่ปูไว้บนพื้นแล้วใส่กลับเข้าไปในไม้คาน จากนั้นเขาก็แบกไม้คานกลับไปอย่างอามารณ์ดี

เจียงป่าวชิงถือตะกร้าผักกลับไป แต่นางยังเดินได้ไม่เท่าไหร่ก็เห็นว่าเจียงโหย่วฉายกำลังชกต่อยอยู่กับเด็กบ้านอื่นบนพื้นตรงหน้าโดยมีเจียงเอ้อยามองดูอยู่ด้านข้าง นางแสร้งทำเป็นพูดเตือนว่า “ไม่ต้องต่อยแล้ว” เป็นครั้งคราว

เจียงป่าวชิงไม่อยากมีความเกี่ยวข้องกับตระกูลเจียงอีก นางครุ่นคิดอยู่สักครู่ จากนั้นก็เปลี่ยนเส้นทางไปเดินทางอื่น