ตอนที่ 102 รองเท้าหนึ่งคู่

แม่สาวเข็มเงิน

ตอนที่ 102 รองเท้าหนึ่งคู่

ถนนเส้นนี้ผ่านบ้านของซุนต้าหูพอดี ตอนที่เจียงป่าวชิงเดินผ่านหน้าบ้านของซุนต้าหู นางก็ได้ยินเสียงดังมาจากในบ้านของซุนต้าหูอย่างเลือนราง

นั่นเป็นเสียงของซุนต้าหูซึ่งเจือความลุกลี้ลุกลนอยู่เล็กน้อย “สะใภ้ตระกูลป๋าย ข้ารู้สึกเกรงใจมาก…”

เจียงป่าวชิงมองเข้าไปในบ้านของซุนต้าหูโดยไม่รู้ตัว  รั้วบ้านไม่ถือว่ามิดชิดอะไร นางจึงเห็นว่าป๋ายรุ่ยฮัวเหมือนกำลังยัดสิ่งของบางอย่างไว้ในมือซุนต้าหูทำนองนั้น

เสียงของป๋ายรุ่ยฮัวดังทะลุออกมาจากรั้วบ้าน เสียงของนางค่อนข้างเบาและเหมือนแฝงไปด้วยความหมายที่เป็นการทำร้ายตัวเอง “ต้าหู เราทั้งสองคนเป็นเด็กกำพร้า คนในหมู่บ้านเห็นก็มักจะเหยียบย่ำอยู่เสมอ มีเพียงเจ้านี่แหละที่ช่วยเหลือเราสองแม่ลูกครั้งแล้วครั้งเล่า… ข้าไม่มีอะไรตอบแทนจึงทำรองเท้ามาให้ เจ้าอย่าได้นึกรังเกียจเลยนะ…”

ซุนต้าหูเกาศีรษะเล็กน้อย ใบหน้าซื่อตรงแดงอยู่นิดหน่อย ดูเหมือนว่าเขาอยากจะปฏิเสธทำนองนั้น

น้ำเสียงของป๋ายรุ่ยฮัวเหมือนใกล้จะร้องไห้เต็มทนแล้ว “ต้าหู หรือว่าเจ้าก็รังเกียจคนที่อัปมงคลอย่างข้าเช่นกัน…”

น้ำเสียงของซุนต้าหูลุกลี้ลุกลนผสมไปด้วยความตกตะลึง “เฮ้… เอ่อ… ไม่… สะใภ้ตระกูลป๋าย เจ้าอย่าทำเช่นนี้ ข้ารับไว้ก็ได้”

ป๋ายรุ่ยฮัวเช็ดหางตาเบา ๆ เมื่อนางทำท่าทางนี้ก็ทำให้นางดูดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัด

ชายชนบทที่ซื่อตรงอย่างซุนต้าหูเห็นบุคลิกของหญิงสาวเป็นครั้งแรก เขาก็ตกตะลึงไปชั่วขณะ เขานั้นไม่รู้อะไรเลย รู้สึกเพียงว่าป๋ายรุ่ยฮัวที่อยู่ในสภาพนี้ค่อนข้างดูดีมากเลยทีเดียว  เพียงแต่ในใจของคนซื่อสัตย์อย่างซุนต้าหูกลับไม่ได้คิดอะไรมากมาย เขาก็แค่รู้สึกว่านางดูดีเท่านั้นเอง

น้ำเสียงของป๋ายรุ่ยฮัวเปลี่ยนเป็นมีชีวิตชีวาขึ้น นางเผยรอยยิ้มเขินอายที่ผสมไปด้วยความขลาดกลัวอยู่เล็กน้อยออกมา “อ่า… ในเมื่อเจ้ารับรองเท้าแล้ว เช่นนั้นข้ากลับแล้วนะ”

“อ้อ… เจ้ากลับบ้านดี ๆ นะ” ซุนต้าหูโล่งใจ เขารู้สึกว่าป๋ายรุ่ยฮัวแปลกไป แต่เขาก็บอกไม่ถูกเช่นกันว่าส่วนไหนที่แปลกไป

ตอนที่ป๋ายรุ่ยฮัวเดินออกมาจากในบ้านของซุนต้าหู นางก็เห็นเจียงป่าวชิงที่กำลังยืนอยู่นอกรั้วบ้าน สีหน้าของนางขาวซีดทันทีและเกิดความลุกลี้ลุกลนขึ้นในดวงตาของนางเช่นกัน นางอ้าปากเหมือนจะพูดอะไรบางอย่าง แต่สุดท้ายก็ไม่พูด ทำเพียงก้มหน้าก้มตาเดินจากไปอย่างรวดเร็วเท่านั้น

เจียงป่าวชิงมองแผ่นหลังของป๋ายรุ่ยฮัวด้วยความรู้สึกที่ค่อนข้างซับซ้อน  บอกไม่ถูกว่าตั้งแต่เมื่อไหร่ที่ท่าทางของป๋ายรุ่ยฮัวที่มีต่อเจียงป่าวชิงดูแปลกไปเล็กน้อยเช่นนี้

ก่อนหน้านี้พวกนางยังเข้ากันได้ดีอยู่เลย ตอนที่เจียงป่าวชิงได้รับบาดเจ็บที่ไหล่ในตอนแรก นางก็อาศัยการไปซื้อวัตถุดิบอาหารเพื่อไปทำอาหารที่บ้านของป๋ายรุ่ยฮัว ถึงจะสามารถบำรุงร่างกายได้อย่างถู ๆ ไถ ๆ อย่างไรเล่า

ตอนนั้นเห็นได้ชัดว่าท่าทีที่ป๋ายรุ่ยฮัวมีต่อนางไม่ได้แปลกประหลาดเหมือนตอนนี้

เจียงป่าวชิงเม้มริมฝีปากเล็กน้อย นางไม่รู้ว่าควรจะพูดอะไรจริง ๆ

ส่วนซุนต้าหูในเวลานี้นั้น เขาที่ออกมาส่งป๋ายรุ่ยฮัวย่อมต้องเห็นเจียงป่าวชิงเป็นธรรมดา เขาไม่ได้คิดอะไรมากมาย เมื่อเห็นเจียงป่าวชิง ดวงตาของเขาก็เป็นประกายทันที จากนั้นเขาก็ทักทายนางอย่างอารมณ์ดี “น้องชิง ออกมาซื้อผักรึ ?”

เจียงป่าวชิงจัดการกับอารมณ์ของตัวเองพลางยิ้มให้ซุนต้าหูและยกตะกร้าผักในมือขึ้นนิดหน่อย “ ใช่เจ้าค่ะ ข้ามาซื้อผักน่ะ”

“อื้มป่าวชิง ต้มซี่โครงที่เจ้าเอามาให้เมื่อวาน…” บนใบหน้าคล้ำของซุนต้าหูแดงเล็กน้อย “มันอร่อยมากเลยจริง ๆ นะ”

“อร่อยก็ดีแล้วเจ้าค่ะพี่ต้าหู ประเดี๋ยวข้ากลับบ้านไปทำอาหารก่อนนะเจ้าคะ” เจียงป่าวชิงโบกมือให้ซุนต้าหู

ซุนต้าหูส่งเสียงในลำคอเบา ๆ เขากำลังจะเกาศีรษะอย่างทำอะไรไม่ถูก แต่จู่ ๆ เขากลับตระหนักได้ว่าในมือของเขายังมีรองเท้าผ้าป่านที่เย็บเสร็จแล้วอีกหนึ่งคู่ การกระทำของเขาจึงชะงักไปกลางอากาศทันที

รองเท้าผ้าป่านนี้ เมื่อสักครู่อยู่ไกลไปหน่อยจึงมองไม่ชัด ตอนนี้เมื่อมาอยู่ใกล้ ๆ เจียงป่าวชิงก็เห็นว่ามันถูกเย็บอย่างละเอียดมิดชิด ดูแข็งแรงอยู่พอสมควร

เจียงป่าวชิงใจลอย จู่ ๆ นางก็นึกขึ้นได้ว่าพื้นรองเท้าของพี่ชายก็ดูเหมือนจะเยินอยู่นิดหน่อย และคิดว่าครั้งหน้าจะต้องซื้อรองเท้าที่ใส่สบายทนทานแบบนี้อีกสักสองคู่…

ซุนต้าหูกลับเข้าใจผิดคิดว่าเจียงป่าวชิงกำลังจ้องรองเท้าในมือเขาอย่างใจลอย เขาจึงรีบพูดอธิบายอย่างรวดเร็ว “นะ… นี่เป็นสิ่งที่สะใภ้ตระกูลป๋ายมอบให้ข้าเมื่อสักครู่ บอกว่าขอบคุณสำหรับความช่วยเหลือที่ผ่านมา” ซุนต้าหูรู้สึกไม่สบายใจ เขาไม่รู้เลยว่าจะทำอย่างไรกับรองเท้าในมือดี “เอ่อ… อันที่จริงข้าก็ไม่ได้ช่วยอะไรนางมากหรอก สะใภ้ตระกูลป๋ายเกรงใจจนเกินไปจริง ๆ รองเท้านี้ข้ารับหรือไม่รับไว้ก็ไม่ต่างอะไรกัน…”

เจียงป่าวชิงพูดชมจากใจ “พี่รุ่ยฮัวทำรองเท้าได้ดีจริง ๆ เจ้าค่ะ นี่เป็นน้ำใจของพี่รุ่ยฮัวนะ” นางชะงักไปเล็กน้อย จากนั้นก็พูดยิ้ม ๆ “พี่ต้าหู ข้ากลับก่อนนะเจ้าคะ”

ซุนต้าหูรีบออกไปส่งเจียงป่าวชิงทันที จนกระทั่งเจียงป่าวชิงใกล้จะถึงทางเข้าหมู่บ้านแล้ว ซุนต้าหูถึงจะกลับไปที่บ้านอย่างอาลัยอาวรณ์

ไม่มีใครเห็นป๋ายรุ่ยฮัวที่ก้มหัวอยู่ตรงทางโค้งและคอยฟังการสนทนาของทั้งสองคนมาตลอด นางหน้าซีดเล็กน้อยขณะกัดริมฝีปากล่าง จากนั้นแววแห่งความไม่ยอมแพ้ค่อย ๆ ปรากฏขึ้นมาในดวงตาของนาง

เจียงป่าวชิงเดินถือผักกลับมาที่บ้าน ท้องฟ้าก็เริ่มมืดลงเล็กน้อยแล้ว  ภายในบ้านมีเพียงเสียงร้องหงิง ๆ ของเจ้าเสี่ยวป๋ายกับเจ้าเสี่ยวหวง ซึ่งโดยรวมถือว่าเงียบมาก

ห้องแต่ละห้องก็มืดตึ๊ดตื๋อไร้แสงไฟ แต่มีแสงไฟตรงห้องครัว เจียงป่าวชิงจึงถือผักไปที่นั่น

มีหม้อขนาดใหญ่อยู่บนเตา เจียงหยุนชานถือหนังสือด้วยมือขวาอยู่หน้าเตา และกำลังอ่านหนังสือโดยอาศัยแสงไฟจากในเตา

เจียงหยุนชานอ่านหนังสืออย่างเคลิบเคลิ้ม ถึงขั้นไม่สังเกตเห็นว่าเจียงป่าวชิงกลับมาแล้ว

เจียงป่าวชิงรู้สึกปวดใจ นางวางตะกร้าผักลงและเดินเข้าไปดึงหนังสือออกมาจากในมือเจียงหยุนชาน

เจียงป่าวชิงปิดหนังสือดังปัง จากนั้นก็พูดอย่างไม่เห็นด้วยมาก ๆ “พี่หยุนชาน พี่ไม่กลัวดวงตาเหนื่อยล้าเลยหรือ ?! แล้วดูสิยังมีควันพวกนี้อีก แสบตาจะตาย พี่พักก่อนเถอะนะเจ้าคะ”

เจียงหยุนชานรู้ว่าตัวเองเป็นฝ่ายผิดจึงรู้สึกขาดความมั่นใจอยู่เล็กน้อย เขายิ้มและจะอธิบายอะไรบางอย่าง ทว่าเมื่อเขาอ้าปากกลับสำลักควันจากในเตาเสียก่อน จึงทำให้ไออย่างรุนแรง

เจียงป่าวชิงรีบรินน้ำจากกาน้ำและส่งให้เจียงหยุนชานทันที

เจียงหยุนชานรับไปจิบ ในที่สุดเขาก็ผ่อนคลายลง

“ป่าวชิงกลับมาแล้วรึ ?” ในดวงตาของเจียงหยุนชานยังคงแดงจากการสำลักอยู่เล็กน้อย เขาเห็นว่าเจียงป่าวชิงไม่เห็นด้วย เขาก็รีบเปลี่ยนหัวข้าสนทนาทันที จากนั้นก็ถูมือและเข้าไปยืนข้างนาง “อะแฮ่ม ป่าวชิง คือว่าข้าต้มโจ๊กไว้ ประเดี๋ยวเจ้าผัดผักเพิ่มนิดหน่อยก็ได้แล้วล่ะ”

เจียงป่าวชิงเห็นเจียงหยุนชานดูเหมือนกลัวว่านางจะบ่นอีก นางก็ถอนหายใจในใจ

เจียงป่าวชิงรู้ว่าเจียงหยุนชานไม่เคยทิ้งหนังสือของเขา แม้ว่าสภาพแวดล้อมเมื่อก่อนจะยากลำบากขนาดนั้นก็ตาม ตอนนี้พวกเขาสองพี่น้องได้รับอิสระแล้ว เจียงหยุนชานจะทิ้งหนังสือของตัวเองได้อย่างไร ?

และเจียงป่าวชิงก็รู้อีกว่าสำหรับเจียงหยุนชานแล้ว หนังสือเก่า ๆ ที่ขอบม้วนแล้วไม่ใช่เป็นเพียงหนังสือเท่านั้น แต่นี่เป็นอนาคตของเขา!

เจียงป่าวชิงหันไปหยิบถั่วฝักยาวออกมาจากในตะกร้าผักหนึ่งกำมือ จากนั้นก็เอาไปแกว่งตรงหน้าเจียงหยุนชาน “พี่หยุนชานเจ้าคะ คืนนี้เราทำเนื้อผัดถั่วฝักยาวง่าย ๆ ดีไหมเจ้าคะ ?”

เจียงหยุนชานรู้ว่าเขาคงไม่ถูกน้องสาวบ่นแล้ว จึงขานรับด้วยความดีใจ “ดี ป่าวชิงทำอะไรข้าก็ชอบกินหมดนั่นแหละ”

“ถ้าข้าผัดไหม้แล้วยังชอบกินอยู่หรือเปล่าล่ะ ?”

“ต่อให้ไหม้ก็ยังอร่อย!”

“แหม พี่ประจบข้าเก่งเสียจริงนะ เห็นการพูดของพี่แล้ว คืนนี้ต้องลองผัดให้ไหม้แล้วล่ะ”

“โอ้! อย่า… อย่าเลยดีกว่า…”

สองพี่น้องมองหน้ากัน จากนั้นเสียงหัวเราะก็ดังไปทั่วห้องครัวเล็ก ๆ

……

ณ บ้านที่อยู่ติดกับบ้านของพวกเขา สีหน้าของชายหนุ่มผู้ร่ำรวยดูเฉยเมย เขาเอนตัวพิงหน้าต่างและมองพระจันทร์เสี้ยวในยามค่ำคืน

แสงในยามราตรีช่างอ้างว้าง เสียงหัวเราะจาง ๆ ถูกส่งมาทางสายลม

สีหน้าของชายหนุ่มชะงักไปทันที บนหน้าผากที่เย็นชามีความไม่สบอารมณ์อยู่เล็กน้อย

“ไป๋จี ปิดหน้าต่าง”

“ขอรับนายท่าน”

สนทนาเพียงไม่กี่คำ ภายในห้องก็กลับมาเงียบเหงาเฉกเช่นเดิม