ตอนที่ 35.1 ท่านลุงของข้าเป็นถึงเจ้าเมืองเชียวนะ (1)

คุณหนูสี่ สตรีเปื้อนเลือด

“บัดซบ ใครเป็นคนทำ ออกมาหาบิดาผู้นี้ซะดีๆ!”

เมื่อชายคนนั้นเห็นกระบี่ในมือถูกกระแทกจนกระเด็นไปตกอยู่บนพื้น เขาก็รีบหันขวับไปยังทิศทางที่ฉินอวี้โม่และคณะยืนอยู่แล้วขู่คำรามอย่างเดือดดาล

“เจ้าเรียกใครอย่างนั้นหรือ?”

ฉินอวี้โม่ยิ้มและถามน้ำเสียงนุ่มนวล

“เรียกเจ้านั่นแหละ”

ชายคนนั้นตอบคำถามของฉินอวี้โม่ออกไปตรงๆ

“ดี แต่ข้าไม่ใช่ลูกเจ้า”

ฉินอวี้โม่ตอบกลับไปด้วยวาจาเสียดสี

เมื่อได้ยินคำพูดของโฉมงามผู้มีฝีมือเก่งกาจ คณะนักล่าหมาป่ารุ่นเยาว์ก็อดหัวเราะออกมาไม่ได้

ฉีอวี้และหลิงเฟิงไม่สามารถหยุดหัวเราะได้เลย ในขณะที่ฉีฉีนั้นหัวเราะตัวงอจนน้ำตาไหลออกมาแล้ว ราวกับว่าพวกเขาทั้งสามไม่เคยได้ยินอะไรที่ตลกขนาดนี้มาก่อน ต่างจากโจรชิงแก่นมายาปากดีที่ยืนนิ่งอย่างขบคิด

“เจ้าพูดว่าอะไรนะ! ไหนลองพูดอีกครั้งสิ!”

ในที่สุดชายผู้นั้นก็คิดได้ เมื่อเข้าใจคำด่าทอของฉินอวี้โม่เขาก็รีบตอบโต้พลางชี้หน้าด้วยความเดือดดาล

“ของดีมีเพียงครั้งเดียว หากเจ้าอยากจะฟังอีกเป็นครั้งที่สอง เจ้าก็ต้องจ่ายแพงหน่อยนะ”

ฉินอวี้โม่ยิ้มและกล่าววาจาเสียดสีต่อ

“เจ้า!!!…”

ด้วยวาจาเสียดสีของฉินอวี้โม่ ชายผู้นั้นจึงทนไม่ไหว เขาก้มลงเก็บกระบี่ที่พื้นแล้วตั้งท่าเตรียมพร้อมจู่โจม

“พอแค่นั้นแหละ!”

หลี่หลินที่ยืนอยู่อีกด้านหนึ่งตะโกนขึ้นมาพลางจ้องหน้าผู้ติดตามของตนเพื่อสั่งให้เขาหยุดมือ

“เจ้ามาจากที่ใด เหตุใดถึงกล้ามาลบหลู่คนของข้า?”

หลี่หลินย่างสามขุมเข้ามาอย่างวางท่า ขณะเดียวกันเขาก็กล่าววาจาด้วยเสียงเนิบช้าพลางเชิดหน้าเล็กน้อย ท่าทางของเขาดูราวกับเป็นองค์ชายผู้สูงศักดิ์ก็มิปาน

“พวกข้าอยู่ที่นี่ตั้งนานแล้ว เพียงแต่คนของเจ้าเองนั่นแหละที่ไร้ตา ถึงได้มองไม่เห็นพวกเรา”

ฉินอวี้โม่กล่าวด้วยน้ำเสียงที่เย็นชาขึ้นมาเล็กน้อย คนเหล่านี้มาถึงก็ลงมือชิงของผู้อื่น เห็นชัดว่าไม่คิดจะสังเกตดูพวกนางตั้งแต่แรกเลยด้วยซ้ำ

“แค่ก– เรื่องนั้นช่างมันก่อน แต่เหตุใดเจ้าถึงลบหลู่คนของข้า?”

หลี่หลินสำลักวาจาของฉินอวี้โม่ เพราะแม้แต่ตัวเขาเองก็ไม่ได้สังเกตเห็นสตรีผู้นี้และสหายของนางจริงๆ

“หึ หากมีคนมาปล้นแก่นมายาและแกนชีวิตของพวกเจ้า พวกเจ้าจะไม่เข้าไปขว้างอย่างนั้นหรือ?!”

หลินเฟิงกล่าวขึ้นมาด้วยความขุ่นเคือง พลางมองอีกฝ่ายด้วยสายตาดูถูก

“แก่นมายาและแกนชีวิตของพวกเจ้า?”

หลังจากที่กวาดสายตามองคณะล่าหมาป่าของฉินอวี้โม่ หลี่หลินก็อดไม่ได้ที่จะหัวเราะขึ้นมา

“อย่ามาตลกไปเลยหน่อยเลย แค่พวกเจ้าจะฆ่าอสูรมายามากมายถึงเพียงนี้ได้อย่างไร?”

“อะแฮ่ม!”

หลังจากหยุดและส่งเสียงกระแอมออกมาครั้งหนึ่งเขาก็กล่าวต่อ “ที่สำคัญ ต่อให้พวกเจ้าฆ่าพวกมันจริงก็เถอะ แต่แก่นมายาในตัวหมาป่าเหล่านี้มีชื่อพวกเจ้าสลักเอาไว้งั้นหรือ ในเมื่อคนของข้าเป็นผู้มาพบมัน ถ้าหากว่าพวกเราจะเก็บก็เป็นสิทธิ์ของเรา”

วาจาของหลี่หลิงหยิ่งยโสเป็นอย่างมาก เหมือนกับว่าเขาไม่สนใจว่าผู้ใดจะเป็นผู้ที่สังหารอสูรมายาเหล่านี้ ถึงอย่างไรเขาก็ต้องการจะเก็บเอาแก่นมายาและแกนชีวิตพวกนี้ไป อีกอย่างเขาก็มั่นใจว่าไม่ว่าอย่างไรกลุ่มคนที่ดูกระจอกงอกง่อยกลุ่มนี้ก็คงจะขัดขวางพวกเขาไม่ได้แน่

ความคิดของหลี่หลินนับว่าไม่ผิด เขาพาคนติดตามมาด้วยเป็นมากมาย ดูเหมือนว่าฝ่ายพวกเขาจะแข็งแกร่งกว่าฝ่ายของฉินอวี้โม่มาก

เมื่อพิจารณาดูแล้ว มีเพียงฉินอวี้โม่คนเดียวที่อาภรณ์ยังคงอยู่ในสภาพดี ส่วนฉีฉี ฉีอวี้และหลิงเฟิงนั้นเนื้อตัวเต็มไปด้วยคราบโลหิต แม้ว่าบุรุษสองคนในกลุ่มอาจจะแข็งแกร่งอยู่บ้าง แต่ดูแล้วก็น่าจะเพิ่งผ่านการต่อสู้อันหนักหน่วงมา  ไม่ต้องพูดถึงเด็กหญิงผมเปียตัวกะเปี๊ยกที่เห็นชัดว่าอ่อนแอที่สุดในกลุ่ม  หากคนพวกนี้ต้องรับมือกับคนของเขาในตอนนี้แล้ว หลี่หลินก็เชื่อว่าฝ่ายตัวเองจะมีชัยอย่างแน่นอน

“เจ้าคนหน้าไม่อาย เจ้ากล้าเหรอ?”

เมื่อฉีฉีได้ยินสิ่งที่หลี่หลินกล่าวออกมา นางก็อดไม่ได้ที่จะชี้หน้าต่อว่าเขากลับไป

“เพ่ย ไม่เจียมตัว! เป็นแค่เด็กผู้หญิงตัวเล็กๆ กลับกล้ามาขู่ข้าอย่างนั้นรึ?”

เมื่อได้ยินวาจาโอหังของฉีฉี สีหน้าของเขาก็เปลี่ยนไป ผู้เป็นหลานชายของเจ้าเมืองเยว่กวางเริ่มโกรธขึ้นมา

“เจ้าคนบ้า ข้าจะเล่นงานเจ้า”

ฉีฉีไม่ได้เกรงกลัว นางหยิบก้อนหินขึ้นมาและปาใส่อีกฝ่ายอย่างแรง