ตอนที่ 57 แท้จริงแล้วข้ามิใช่คนดี

นายน้อยเจ้าสำราญ

ตอนที่ 57 แท้จริงแล้วข้ามิใช่คนดี

ฟู่เสี่ยวกวนกลับมาถึงหลินเจียงเมื่อวาน

บิดาและบุตรชายดื่มสุราและพูดคุยกันอย่างยาวนาน ฟู่ต้ากวนเล่าถึงการประกาศที่ชีชื่อทำขึ้นมาด้วยความกังวลใจอย่างยิ่ง กำลังคิดว่ามีคนทรยศอยู่ในร้านสุราของตนหรือไม่ มิอย่างนั้นชีชื่อจะกล้ากล่าวอย่างจองหองได้เยี่ยงไรว่าสามารถต่อยเซียงเฉวียนและเตะเทียนฉุนไปได้ ?

แล้วยิ่งได้เห็นการกระทำของชีชื่อ ที่ซื้อธัญพืชไปแล้ว 300,000 ชั่ง และได้ยินมาว่าซื้อไข่ไก่มาเป็นจำนวนมาก จนทำให้ไข่ไก่ในหลินเจียงขาดแคลนไปชั่วขณะ หรือว่าจะพบเคล็ดลับใหม่กัน?

หากเขาทำสุรานั้นออกมาจริง ๆ หยู๋ฝูจี้ควรหาหนทางรับมือเยี่ยงไรดี ?

ฟู่ต้ากวนกังวลอย่างยิ่ง เพราะหยู๋ฝูจี้คือสิ่งที่หยุนชิงสร้างขึ้นมา และในวันนี้ก็ได้ถูกส่งมาถึงบุตรชาย นี่คือสัญลักษณ์ของความรุ่งโรจน์ จะต้องมิพังทลายลงเด็ดขาด

ฟู่เสี่ยวกวนกลับปลอบใจเขาเนิ่นนาน กล่าวว่าต่อให้ชีชื่อทำสุราตัวใหม่ออกมาได้จริง ๆ สุราของตระกูลเรามิใช่ว่ากำลังจะขาดตลาดหลังจากเข้าสู่วังหลวงอย่างนั้นรึ ? มิเป็นไร บางทีคำพูดอาจหาญที่เขากล่าวออกมานั้น ก็อาจจะทำออกมามิได้ คิดไม่ออกเลยว่าจะกลายเป็นเรื่องตลกขนาดไหนของหลินเจียง

ฟู่ต้ากวนมิคิดว่ามันน่าขบขัน คนทำการค้าขาย หากยังมิมั่นใจ ใครเล่าจะกล้าทำให้คนทั้งเมืองได้รู้กัน แต่อย่างไรก็ตามเรื่องที่สุราของตระกูลตนนั้นได้เข้าสู่วังหลวงแล้วก็เป็นความจริงและราคาก็มิได้ถูกกดลง โดยเฉพาะยอดสุราซีซานที่ราคาแพงเสียดฟ้า เมื่อมาคิดในยามนี้ ฟู่ต้ากวนก็โล่งใจลงเล็กน้อย

หลังจากนั้นก็กล่าวชมเชยถึงสิ่งที่ฟู่เสี่ยวกวนได้ทำในหมู่บ้านเซี่ยชุน แต่ก็ตำหนิที่ฟู่เสี่ยวกวนเดินเท้าเปล่าลงทุ่งนา

สำหรับเรื่องที่ฟู่เสี่ยวกวนจะสร้างบ้านให้แก่คนในหมู่บ้าน ฟู่ต้ากวนมีความคิดเห็นเกี่ยวกับเรื่องนี้ แต่เพราะฟู่เสี่ยวกวนได้ทำลงไปเยี่ยงนั้นแล้ว จึงมิได้พูดอันใด เพียงแต่กล่าวว่าครั้งหน้าอย่าได้ทำเยี่ยงนี้ เพราะตระกูลของเราเป็นเจ้าของที่ดิน มิใช่คนใจบุญ

ฟู่เสี่ยวกวนมิได้ใส่ใจ สุดท้ายฟู่ต้ากวนก็กล่าวถึงงานกวีเทศกาลไหว้พระจันทร์ของสำนักศึกษาป้านชาน นี่คือเทียบเชิญที่ขุุนนางระดับสูงจือโจวหลิวจือต้งให้แก่เขา ค่ำพรุ่งนี้ต้องไปที่นั่น ท้ายที่สุดก็ต้องไว้หน้าขุนนางระดับสูงจือโจวเสียบ้าง

ฟู่เสี่ยวกวนรับปากแล้ว เขาเองก็อยากไปดูว่าคนหนุ่มสาวสมัยนี้สนุกกับเทศกาลไหว้พระจันทร์อย่างไร

หลังจากที่บิดาและบุตรชายแยกย้าย ฟู่เสี่ยวกวนก็กลับห้องไปพักผ่อน

เมื่อสิบวันก่อนเขาได้เขียนจดหมายถึงต่งชูหลาน เมื่อคำนวณเวลาแล้วก็น่าจะได้รับในวันไหว้พระจันทร์พอดิบพอดี หวังว่านางจะชอบ

คืนพรุ่งนี้บรรดาบัณฑิตเหล่านั้นย่อมต้องการให้เขาเขียนบทกวีอีกเป็นแน่ ประจวบเหมาะกับที่เขาก็มีความคิดดี ๆ ผุดขึ้นมา

……

…..

แม้ฤดูใบไม้ร่วงจะซบเซา แต่ใบของต้นอู๋ถงกลับเป็นสีเหลือง

เมื่อฟู่เสี่ยวกวนลุกขึ้นจากเตียงเขาก็ออกกำลังกายหนึ่งรอบ หลังจากที่อาบน้ำแล้วก็ทานอาหารกับซูม่อและชุนซิ่วกันอยู่สามคนภายในจวนฟู่

นี่คือความต้องการที่รุนแรงของฟู่เสี่ยวกวน ชุนซิ่วค่อย ๆ คุ้นชินแล้ว ส่วนซูม่อก็มิได้สนใจ

ฟู่เสี่ยวกวนมองซูม่อ และทันใดนั้นก็เอ่ยถามขึ้นมา “วิธีที่เจ้าทานข้าว… เพราะคุ้นชินหรือจงใจกัน หรือว่าฝึกวิทยายุทธ์อันใดหรือไม่”

ซูม่อชะงัก เขาเหลือบมองฟู่เสี่ยวกวน คาดไม่ถึงเลยว่าชายผู้นี้จะเอ่ยถามอย่างถี่ถ้วน!

“ยามเยาว์ที่บ้านนั้นยากจนยิ่ง ปีนั้นที่อายุได้ 5 ปีก็เกิดภัยพิบัติ ตั๊กแตนระบาด ความแห้งแล้ง น้ำท่วมหลังจากนั้นก็โรคระบาด มิมีสิ่งใดเหลืออยู่ มารดาก็มิมี ข้าเตร็ดเตร่อยู่ตามท้องถนน ขโมยหมั่นโถวหนึ่งก้อน ก็มิมีผู้ใดพบเห็น”

ซูม่อกล่าวเสียงเรียบ แต่ฟู่เสี่ยวกวนเข้าใจถึงความทนทุกข์ที่อยู่เบื้องหลังความสงบนี้

 “คุณชายตระกูลเศรษฐีที่ดินเยี่ยงท่านคงยากที่จะจินตนาการได้ว่าหมั่นโถวนั้นเลิศรสแค่ไหนสำหรับข้า ข้าจะกัดคำเล็ก เคี้ยวไปจนนับครบ 33 ครั้งแล้วค่อยกลืน เพราะหากเคี้ยวมากเกินไปจะทำให้เกิดอาการอาเจียน 33 ครั้งกำลังพอดี จึงเป็นเยี่ยงนี้”

“ต่อจากนั้นเจ้าก็ไปยังสำนักเต๋าหรือ?”

“เร่ร่อนอยู่เนิ่นนาน ทะเลาะ แย่งชิงอาหาร จนถึงขั้น… ฆ่าคน จนกระทั่งอายุได้ 10 ปี ก็ได้พบอาจารย์ของข้า และได้เข้าสำนักเต๋าไป”

“โอ้ ! นั่นน่าเวทนายิ่ง แต่การเคี้ยว 33 ครั้งจะทำให้ปวดกระพุ้งแก้มได้ ข้าเคยลองแล้ว”

ชุนซิ่วไม่ได้ส่งเสียงอันใด เพียงฟังอย่างประหลาดใจ รู้สึกว่าชายหนุ่มซูม่อผู้นี้ก็มิได้มีชีวิตที่ง่ายดายนัก

การพูดคุยระหว่างทั้งสองคนยาวขึ้นอีกเล็กน้อย แต่มื้อเช้าที่น่าอภิรมย์นี้กลับถูกเสียงหนึ่งขัดขวาง

“ฟู่เสี่ยวกวน เจ้าออกมาหาข้าเดี๋ยวนี้ ! ”

นี่คือเสียงของจางเพ่ยเอ๋อร์

ฟู่เสี่ยวกวนเช็ดปาก และหัวเราะอย่างมีเลศนัย

ซูม่อรู้สึกว่าคนผู้นี้ชั่วช้าทีเดียว

สุรานั่นคงจะเกิดปัญหาขึ้นมาแล้ว จางเพ่ยเอ๋อร์จึงได้ระบายอารมณ์ถึงหน้าประตู

“ให้นางเข้ามา”

ชุนซิ่วเดินออกไป ฟู่เสี่ยวกวนครุ่นคิด และกล่าวกับซูม่อ “ประเดี๋ยวเข้าไปพาตัวหลี่เอ้อหนิวมา”

“ท่านจะหงายไพ่แล้วรึ ? จะจัดการเยี่ยงไรกับเรือนข้าง ๆ ?”

“ยังมิต้องไปสนใจทางนั้น นางใกล้จะคลอดแล้ว ให้นางได้คลอดบุตรอย่างปลอดภัยเถิด”

“ทราบ”

ฟู่เสี่ยวกวนเดินออกไป คำนับให้กับจางเพ่ยเอ๋อร์ที่ปรี่เข้ามาด้วยความเดือดดาล และกล่าวยิ้ม “เชิญแม่นางจางนั่งเถิด”

จางเพ่ยเอ๋อร์นั่งลงบนเก้าอี้ ดวงตาคู่นั้นจดจ้องมาที่ฟู่เสี่ยวกวนเขม็ง ราวกับบนใบหน้าของฟู่เสี่ยวกวนมีดอกไม้ที่สวยยิ่งอยู่

ฟู่เสี่ยวกวนชงชา และกล่าวว่า “แท้จริงแล้วข้านั้นมิใช่คนดีอย่างที่เจ้าได้จินตนาการเอาไว้ ชื่อเสียงที่ฉาวโฉ่ในอดีต ในตอนนี้เพียงแค่ถูกข้าซ่อนเอาไว้เท่านั้น สันดานเดิมยังคงแย่อย่างยิ่ง”

“เจ้ารู้ทั้งหมดอย่างนั้นหรือ ? ”

“ชีหยวนหมิงมิได้สร้างความเดือดร้อนแก่เจ้ารึ ? ”

“เจ้าจงใจให้สูตรปลอมแก่ข้า ทำให้ข้าเสียหน้า ทำให้ข้าพ่ายแพ้อย่างราบคาบ นี่คือสิ่งที่เจ้าต้องการจะเห็นสินะ ?”

ฟู่เสี่ยวกวนถอนหายใจ “ทั้งหมดนี่เป็นการดำเนินการของชีหยวนหมิง แม่นางเป็นเพียงผู้ที่อยู่เบื้องหลังเท่านั้น ถึงแม้ตอนนี้สุราของเขาจะยังมิได้กลั่นออกมา ก็เป็นชื่อเสียงของตระกูลชีที่เสียหาย เหตุใดเจ้าต้องเอาตัวเองเข้าไปยุ่งเกี่ยวด้วย?”

จางเพ่ยเอ๋อร์ร้องเหอะ “ใช่สิ เป็นชื่อเสียงของชีชื่อที่เสียหาย แต่ถ้าข้ามิต้องการให้พวกเขาเปิดโปง ข้าก็ต้องสมรสกับชีหยวนหมิง นี่คงเป็นผลลัพธ์ที่เจ้าต้องการจะเห็นสินะ?”

การสื่อสารกับสตรีตัวน้อยผู้นี้ช่างน่าปวดหัวอย่างยิ่ง ฟู่เสี่ยวกวนคิ้วขมวด และกล่าวอย่างอดทนอดกลั้น “ประการแรก เป็นเจ้าที่หมายปองสูตรของข้า ข้าเพียงวางหมากไปตามใจชอบเท่านั้น เรื่องนี้ข้ามิผิด ประการที่สอง เจ้าจะทำสิ่งใดหรือเจ้าจะสมรสกับผู้ใด นั่นเป็นเรื่องของเจ้า มิเกี่ยวข้องกับเงินของข้าแม้แต่นิด เข้าใจหรือไม่ หรือมิเข้าใจอันใด ? ”

จางเพ่ยเอ๋อร์กัดริมฝีปากแน่น น้ำตาก็ไหลรินลงมาอีกครา

“เจ้ามัน… คนชั่ว ! เจ้ามันคนชั่ว ! ”

ฟู่เสี่ยวกวนหมดความอดทนอย่างยิ่ง พอเป็นแบบนี้ก็เปลี่ยนเขาเป็นคนชั่วเยี่ยงนั้นรึ ?

สุดท้ายก็มีเพียงแค่สตรีและคนถ่อยที่เลี้ยงไว้มิได้ !

“อย่ามัวแต่ร้อง จะให้เจ้าได้ดูใครสักคนก่อน”

ซูม่อพาหลี่เอ้อหนิวเข้ามา ฟู่เสี่ยวกวนชี้ไปยังหลี่เอ้อหนิว และเอ่ยถาม “แม่นางจาง เจ้ารู้จักคนผู้นี้หรือไม่?”

จางเพ่ยเอ๋อร์ย่อมมิรู้จัก จึงส่ายหน้าในทันที

“ดี พาตัวไป”

“คุณชาย คุณชายขอรับ ข้าถูกปรักปรำ!” หลี่เอ้อหนิวตะโกนลั่น

ฟู่เสี่ยวกวนลุกขึ้นยืน “โอ้ เจ้ากล่าวว่าเจ้าถูกปรักปรำเยี่ยงนั้นรึ ?”

หลี่เอ้อหนิวราวกับได้กำฟางชีวิตเส้นสุดท้ายเอาไว้ “ข้าน้อยถูกปรักปรำ ข้าน้อยถูกปรักปรำ เป็นเพราะข้าน้อย…”

คิ้วของฟู่เสี่ยวกวนขมวดนิ่ว ขบกรามแน่น คว้ามือของหลี่เอ้อหนิวขึ้นมา และกดลงบนโต๊ะน้ำชา ดึงกระบี่ที่อยู่ด้านหลังของซูม่อออกมา และฟันลงไปอย่างมิลังเล

“อ๊าก…”

เลือดกระเซ็น สาดไปทั่วโต๊ะ และกระเซ็นไปโดนใบหน้าของจางเพ่ยเอ๋อร์

“กรี๊ด…” จางเพ่ยเอ๋อร์กรีดร้องลั่น ชักเท้าหนีทันพลัน และล้มลงไปกันพื้นเสียงดังตุบ

ฟู่เสี่ยวกวนเช็ดดาบที่เปื้อนเลือดไปบนเสื้อผ้าของหลี่เอ้อหนิวอย่างมิรู้สึกรู้สา สอดกระบี่เก็บเข้าฝักที่ด้านหลังของซูม่อ จ้องมองสายตาที่หวาดกลัวของหลี่เอ้อหนิว และเอ่ยยิ้ม ๆ “จำไว้ เจ้ามิได้ถูกปรักปรำ”

หลี่เอ้อหนิวยกมือซ้ายของตนขึ้นมา ข้อมือซ้ายที่ขาดวิ่น เลือดที่ร้อนผะผ่าวไหลอาบ

“อ๊าก… อ๊าก…!!!”

“เอาเขาออกไป พันแผลไว้เล็กน้อยด้วย”

ฟู่เสี่ยวกวนเดินไปทางจางเพ่ยเอ๋อร์ จางเพ่ยเอ๋อร์กลัวจนคลานไปข้างหน้าอย่างสุดชีวิต

 “มิต้องกลัว ลุกขึ้นมา เจ้าจงดู ข้าบอกเจ้าแล้วว่าแท้จริงแล้วข้าหาใช่คนดีไม่ เจ้าได้เห็นในตอนนี้ก็คงรับรู้แล้ว ลุกขึ้นมา!”

น้ำหนักของสามคำสุดท้ายนั้นเข้มยิ่ง จางเพ่ยเอ๋อร์หวาดกลัวจนลุกขึ้นมาในคราเดียว

“ต่อจากนี้ อย่าได้ใช้ความคิดวางแผนการเหล่านี้มารบกวนข้า ข้ากำลังยุ่งอย่างมาก ข้าจะบอกกับเจ้าเป็นครั้งสุดท้าย หากเจ้ากล้ามารังควานข้าอีก… ข้าจะฆ่าเจ้า!”

“ไปล้างหน้าทางนั้นเสีย สตรีที่มีใบหน้าอาบเลือด จะทำให้ผู้อื่นตื่นกลัวได้ เอาล่ะ อย่าได้กลัว นอกจากนี้ แม่รองของข้าก็ถูกเจ้าหลอก เรื่องนี้มิเกี่ยวข้องกับนาง ข้าหวังว่าเจ้าจะเข้าใจในความหมายของข้า”