บทที่ 106 ของจริงของปลอม

ห้วงเวลาบุปผาผลิบาน

เมื่อความคิดแล่นวาบ ก็คล้ายกับหญ้าป่าที่ผุดขึ้นเป็นวงกว้าง

แต่ยามนี้ไม่ใช่เวลาที่จะพูดเรื่องพวกนี้

อวี้ถังเก็บเรื่องนี้ไว้ในใจ หันไปคว้าภาพนั้นเอ่ยถามกับคนสกุลหวัง “เก็บไว้หรือจะเอามาแขวนดีเจ้าคะ?”

น้ำใจของคนในครอบครัวมักวนไปเวียนมาเช่นนี้ ของดีบางอย่างก็จะเก็บไว้ รอในโอกาสพิเศษจึงจะส่งเป็นของขวัญให้ผู้อื่น โดยเฉพาะสิ่งของอย่างภาพที่จางฮุ่ยวาด นอกจากจะเป็นทางการแล้ว ยังนับเป็นของดีมีค่า ส่งเป็นของขวัญให้สกุลบัณฑิตที่มีความรู้ย่อมเป็นของขวัญที่มีเกียรติอย่างถึงที่สุด

อาจจะเพราะคำนึงถึงจุดนี้ จางฮุ่ยจึงเขียนคำอวยพรลงบนภาพผูเถาเพียงภาพเดียว สามภาพที่เหลือเพียงประทับตราของตัวเองเท่านั้น

คนสกุลหวังกลับชื่นชอบอย่างยิ่ง “เชิญอาจารย์มาเข้าม้วนภาพ นำไปแขวนในห้องหนังสือพี่ชายเจ้า ได้ยินนายหญิงเว่ยกล่าวว่า คุณหนูเซียงเคยร่ำเรียนตำรากับอาจารย์ส่วนตัวมาสิบกว่าปีเช่นกัน”

แขวนภาพนี้ไว้ ก็จะเชิดหน้าชูตาแก่สกุลอวี้ไม่น้อย

อวี้ถังแย้มยิ้ม ก่อนจะออกคำสั่งลงไป

รอจนผ่านเทศกาลมังกรเชิดหัว วันที่สอง เดือนสอง ทางสกุลเซียงก็ส่งคนมาดูเรือนหอ

เครื่องเรือนของฝ่ายหญิงนั้นตกแต่งเสร็จนานแล้ว ครั้งนี้มาดูเรือนหอ กล่าวว่ามาดูเผื่อยังมีอะไรขาดเหลือ ในความเป็นจริงกลับมีเจตนาเร่งรัดอยู่เล็กน้อย ดูว่าสกุลอวี้ได้จัดการเรือนหอให้คู่แต่งงานเสร็จเรียบร้อยเหมือนดั่งที่รับปากผ่านแม่สื่อก่อนหน้านี้แล้วหรือยัง

อวี้ป๋อมีเพียงลูกชายเพียงคนเดียว สองสามีภรรยาก็ให้ความสำคัญต่อทายาทลูกหลาน ไม่เพียงทาสีกำแพงเรือนตะวันออกทั้งสามห้องตามคำสัญญาที่ให้ไว้กับสกุลเซียง ยังทำกำแพงดอกไม้ที่เรือนตะวันออก เรือนหลัก และเรือนตะวันตก ปลูกดอกไม้ประเภทดอกเถิงหลัว ทำให้เรือนตะวันออกกลายเป็นลานนั่งเล่นขนาดย่อม ด้านหลังเรือนตะวันออกก็สร้างเรือนพักผ่อนขึ้นมาอีกสองห้อง เพื่อใช้เป็นห้องเก็บของคนสกุลเซียง ทั้งสามารถเป็นห้องพักผ่อนหลับนอนของพวกสาวใช้

เพื่อให้คนสกุลเซียงพอใจ คนสกุลหวังยังตั้งใจพาคนสกุลเซียงไปดูห้องปีกทางเหนือที่ทำเป็นห้องหนังสือของเรือนตะวันออก

ห้องปีกทางเหนือที่ฝังกระจกโปร่งใสสองบาน เสาสูงทาสีดำดูหรูหรา บนกำแพงแขวนภาพวิจิตรตระการตา

หญิงวัยกลางคนของสกุลเซียงที่เข้ามา ว่ากันว่าเป็นหญิงรับใช้ข้างกายนายหญิงเซียง เป็นคนที่นายหญิงเซียงพามาจากสกุลเสิ่น คาดว่าคงหูตากว้างไกลไม่น้อย กำแพงดอกไม้ไม่ได้ทำให้นางแสดงความชอบออกมาอย่างชัดเจนนัก ยามที่เห็นภาพวาดพวกนั้นของจางฮุ่ยกลับเผยสีหน้าประทับใจ ยืนดูอย่างนั้นอยู่พักใหญ่ เวลานี้จึงค่อยเอ่ยกับคนสกุลหวังด้วยรอยยิ้ม “นายหญิงลำบากเสียแล้ว มิน่าเล่ายามที่นายหญิงเว่ยเอ่ยถึงนายหญิงจึงชมไม่ขาดปาก งานแต่งครั้งนี้ ตระเตรียมได้รอบคอบจริงๆ”

เหตุผลล้วนเชื่อมโยงกัน

ในเมื่อคนสกุลเซียงพอใจในภาพพวกนี้ ก็ย่อมพอใจกับความคิดของอวี้ถังก่อนหน้านี้ที่จะเชิญบัณฑิตในเมืองหลินอันมาเป็นแขกที่เรือนเช่นกัน

คนสกุลหวังถอนหายใจโล่งอก ทั้งเริ่มชมอวี้ถังขึ้นมาในเวลาเดียวกัน “หลานสาวของพวกเราเป็นคนวางแผนจัดการทั้งนั้น ท่านก็รู้ น้องสามีข้าเป็นบัณฑิตคนหนึ่ง หลานสาวผู้นี้ตั้งแต่เด็กก็ร่ำเรียนตำราตามบิดา มีสายตาความรู้เหนือกว่าหญิงสาวในห้องหับทั่วไป งานแต่งของพี่ชายนาง ข้าก็พึ่งพานางไม่น้อย”

ยามที่นายหญิงเว่ยเป็นแม่สื่อให้คุณหนูเซียง สกุลเซียงก็สืบที่ไปที่มาของสกุลอวี้แทบทุกซอกทุกมุม

หากไม่ใช่ว่าสมาชิกในสกุลอวี้ไม่มีความสลับซับซ้อน ไร้ชื่อเสียงฉ่าวโฉ่ แม้นายท่านเซียงจะไม่สนใจลูกสาวอย่างไร ก็ไม่อาจตอบรับงานแต่งครั้งนี้ได้หรอก

ผู้ที่สกุลเซียงส่งมาย่อมเอ่ยชมอวี้ถังตามคนสกุลหวังอย่างไม่หยุดปาก

คนสกุลหวังเผยยิ้มอย่างเบิกบานใจ รู้สึกว่าคนสกุลเซียงก็ไม่ได้คบค้าสมาคมยากเหมือนที่นางคิดไว้เมื่อก่อนเช่นนั้น จึงหยิบยื่นความจริงใจออกมา รั้งคนของสกุลเซียงให้อยู่กินข้าวด้วยกัน

ความปรารถนาดีย่อมส่งต่อกันและกัน

คนของสกุลเซียงเห็นความจริงใจของคนสกุลหวัง ใจที่แขวนไว้ก็ผ่อนคลายลง ให้ความจริงใจคนสกุลหวังตอบเช่นกัน คนทั้งสองสกุลกินข้าวร่วมกันอย่างชื่นมื่น

หญิงผู้นั้นเมื่อกลับสกุลเซียง ก็อดชมสกุลอวี้ต่อหน้านายหญิงเซียงไม่ได้ นายหญิงเซียงยิ้มหยอกล้อหญิงรับใช้ผู้นั้น “ก็ไม่รู้ว่าสกุลอวี้ให้ประโยชน์อันใดแก่เจ้า เพิ่งเข้าไปก็ซื้อใจเจ้าได้เสียแล้ว หากไปเทียวไปเทียวมาหลายครั้ง ข้าว่าใจของเจ้าคงเอียงไปอยู่ที่สกุลอวี้แล้วกระมัง”

หญิงรับใช้ผู้นั้นใบหน้าขึ้นสี

นายหญิงเซียงกลับไม่ใส่นัก โบกมือ “เอาเถิด เจ้าไม่ต้องพูดมากแล้ว นางสามารถเจอสกุลที่ดี ใช้ชีวิตอย่างสงบสุขได้ ภายหลังไม่สร้างความวุ่นวายให้พี่น้องนาง ข้าจะไปก่อเรื่องอาละวาดได้อย่างไร ท่านแม่เฒ่าจะได้ไม่หนักใจเช่นกัน”

หญิงรับใช้ไม่กล้ารับบทสนทนาต่ออีก

ด้านสกุลอวี้กลับคล้ายเสร็จสิ้นภารกิจใหญ่หลวง ยามเย็นจึงร่วมตัวกันกินอาหารเย็น คนสกุลหวังยังเล่าเรื่องของตัวแทนสกุลเซียงที่มาวันนี้อย่างละเอียดยิบ

อวี้ป๋อคิดว่าครั้งนี้ตัวเองก้มหน้ารับลูกสะใภ้จริงๆ หากไม่ใช่เห็นว่านายหญิงเว่ยอบรมสั่งสอนคุณหนูได้อย่างชาญฉลาด ทั้งไม่ขาดตกบกพร่องตรงไหน ลูกชายก็ชอบด้วยใจจริง มิเช่นนั้นเขาคงไม่ยอมเป็นที่รองรับอารมณ์เช่นนี้ เขาทนฟังคนสกุลหวังชมสกุลเซียงไม่ได้ จึงผลักจานถั่วปากอ้า ของโปรดของคนสกุลหวังไปเบื้องหน้านาง เอ่ยว่า “เจ้าก็พูดให้น้อยหน่อยเถิด รีบกินข้าว อากาศเย็นเช่นนี้ อาหารหายร้อนหมดแล้ว”

คนสกุลหวังจึงหยุดบทสนทนาทั้งรอยยิ้ม

อวี้เหวินที่ไม่ได้กล่าวอันใดมาโดยตลอดกลับเอ่ยกับอวี้ถังและอวี้หย่วน “พรุ่งนี้พวกเจ้าสองคนตามข้าไปที่สกุลเผย ตอนบ่ายพ่อบ้านใหญ่เผยให้คนส่งจดหมายมา กล่าวว่านายท่านสามสกุลเผยมีเรื่องอยากพูดคุยกับพวกเรา”

คงจะเป็นเรื่องแผนที่กระมัง?

อวี้ถังครุ่นคิด พยักหน้าระรัวเช่นเดียวกับอวี้หย่วน เช้าตรู่วันถัดมาก็ตามอวี้เหวินไปยังสกุลเผย

จวนสกุลเผยคล้ายกับวิมานทวยเทพที่ร่วงลงมาบนโลกมนุษย์ ฤดูหนาวเพิ่งผ่านพ้นไป ต้นไม้ใบหญ้าของสกุลพวกเขากลับยังคงงดงามบานสะพรั่งเช่นเดิม พวกเขาเดินตามทางเดินหินที่เข้ามาครั้งก่อน ยังคงรู้สึกเหมือนเดิม ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง

ก่อนหน้านี้อวี้ถังไม่เข้าใจ กลับมาเกิดใหม่อีกครั้งกลับทะลุปรุโปร่ง การคงสภาพหนึ่งปีสี่ฤดูไม่เปลี่ยนแปลง ต้องสิ้นเปลืองกำลังคนและทรัพย์สินไปเท่าใดกัน

นางหวนนึกถึงร้านค้าที่หังโจวของสกุลเผย

สกุลเผยคงจะร่ำรวยมั่งคั่งกว่าที่พวกเขาคาดไว้อีกกระมัง?

อวี้ถังครุ่นคิด ตามบิดาและพี่ชายเข้ามาในห้องหนังสือที่เผยเยี่ยนใช้ต้อนรับพวกเขาในครั้งที่แล้ว

ในห้องหนังสือมีเพียงเด็กชายคนหนึ่งเฝ้าอยู่ นอกจากนั้นก็ไม่มีใครอีก

เด็กคนนั้นเห็นคนเข้ามา ก็ก้าวขึ้นมาคำนับ

อวี้ถังจำได้ว่าเด็กคนนี้คือคนที่นางเคยพบที่วัดเจาหมิงและเรือนเก่าสกุลอวี้มาก่อน ชั่วขณะนั้นก็ดีใจราวพบสหายเก่าในต่างถิ่น เด็กคนนั้นเผยสีหน้าเคร่งขรึม ยามที่เขายกชามาให้พวกเขาก็ดูเป็นการเป็นงาน นางอดเอ่ยกับเด็กคนนั้นไม่ได้ “เจ้าจำข้าได้หรือไม่? ข้าจำได้ว่าเจ้าชื่ออาหมิง เจ้าคงชื่อนี้กระมัง?”

เด็กคนนั้นพยักหน้าจริงจังราวกับเป็นผู้ใหญ่ อาศัยยามที่ผู้ดูแลซึ่งพาพวกเขาเข้ามา กำลังพูดคุยกับอวี้เหวินส่งรอยยิ้มดีใจให้กับอวี้ถัง ชี้ไปที่ของว่างข้างมือนาง กระซิบเสียงเบา “ถั่วต้มยี่หร่า หอมเสียจริง!”

เด็กคนนี้ฉลาดเป็นกรด!

อวี้ถังถูกความน่ารักของเขาจู่โจมเสียแล้ว เห็นบิดายังคงพูดกับผู้ดูแลคนนั้น ก็เอ่ยถามเขาเสียงเบา “นายท่านสามทำอะไรอยู่?”

เด็กที่ชื่ออาหมิงเม้มปากจนเป็นเส้นตรง ส่ายศีรษะเป็นพัลวัน

หากผู้ดูแลของสกุลเผยไม่อยู่ที่นี่ อวี้ถังคงจะหัวเราะออกมาแล้ว

นางย่อมไม่สร้างความลำบากใจให้อาหมิง ลูบศีรษะของเขา ไม่ถามอะไรอีก

ไม่นานนัก เผยเยี่ยนก็สาวเท้าเข้ามา

เขามาพร้อมไอหนาวจากข้างนอก ทำให้อวี้ถังที่นั่งอยู่ด้านหน้าประตูตัวสั่นงันงกขึ้นมาอย่างห้ามไม่อยู่ ลอบนินทาเผยเยี่ยนในใจ ‘วันที่อากาศเย็นเช่นนี้ กลับไม่จุดตี้หลงให้ความอบอุ่น ก็ไม่รู้ว่าเป็นโรคแปลกประหลาดอันใด!’

วันนี้เผยเยี่ยนสวมชุดผ้าไหมเนื้อหยาบสีฟ้าอ่อน สวมสายรัดสีเขียวไผ่ที่เอว นอกจากนั้นแล้วก็ไม่มีเครื่องประดับอะไรอีก ครั้งนี้นับว่าเรียบง่ายอย่างแท้จริง

อวี้ถังเห็นแล้วรู้สึกไม่สบายใจ มักรู้สึกว่าเหมือนขาดอะไรไปบางอย่าง

เผยเยี่ยนดูเหมือนยุ่งมาก เมื่อยอบกายนั่งลงก็โบกมือไล่บ่าวรับใช้ให้ออกไปนอกห้อง เอ่ยกับพวกเขาอย่างตรงไปตรงมาทันที “ข้าหาคนไปทดสอบเส้นทางเรือแล้ว แผนที่นั่นเป็นของจริง ข้าวางแผนจะกำหนดการประมูลในวันที่สิบหกเดือนสาม พวกเจ้าคิดว่าเป็นอย่างไร?”

แม้เขาจะกล่าวเหมือนปรึกษาหารือ แต่น้ำเสียงกลับหนักแน่นอย่างยิ่ง เน้นย้ำให้เห็นว่าวางแผนจัดการมาอย่างดี สกุลอวี้ย่อมไม่ปฏิเสธ

คนสกุลอวี้กลับหน้าเปลี่ยนสีโดยพร้อมเพรียงกัน

วันที่สิบหกเดือนสามคือวันแต่งงานของอวี้หย่วน

ไฉนเผยเยี่ยนไม่เลือกวันที่เร็วกว่านี้ หรือนานกว่านี้หน่อย กลับมาเลือกเอาในวันนี้?

นอกจากนี้ครั้งแรกที่สกุลพวกเขาเอ่ยเรื่องแบ่งเงินประมูลกับสกุลเผย เผยเยี่ยนก็ไม่ได้ตอบรับ

อวี้หย่วนเห็นแววตาของเผยเยี่ยนที่เผยความฉงนขึ้นมาหลายส่วน

เขาส่งสายตาให้อวี้ถัง

อวี้ถังมองเห็น กลับคิดว่าอวี้หย่วนกังวลเรื่องนี้มากเกินไป

อำนาจของสกุลอวี้และสกุลเผยห่างกันลิบลับ เดิมทีเผยเยี่ยนก็ไม่มีความจำเป็นต้องใช้ลูกไม้เช่นนี้

อวี้เหวินกลับคิดว่าเผยเยี่ยนกำหนดวันนี้ ย่อมมีเหตุผล เช่นนั้นสองเรื่องนี้ควรจะเทียบความสำคัญอย่างไรดี?

เขาคิดอะไรไม่ออกไปชั่วขณะ เผยความลังเลออกมาอย่างเห็นได้ชัด

กลับเป็นเผยเยี่ยนที่สับสนมึนงง เอ่ยอย่างแปลกใจ “ทำไมรึ? หรือพวกเจ้าคิดว่าวันนี้ไม่ดี? ข้าขอให้สกุลเถาแห่งกว่างโจวช่วยทดสอบเส้นทางเรือ ไม่รู้ว่าเหตุใด ข่าวนี้กลับแพร่กระจายออกไป ยามนี้ก็ไม่ทราบว่ามีสกุลใดที่รู้ข่าวนี้แล้ว ข้าใคร่ครวญดู ไม่จำเป็นต้องปกปิดอำพรางอันใดแล้ว เลื่อนเวลาออกไปเสียหน่อย ให้คนที่ใคร่อยากประมูลพวกนั้นมาเข้าร่วมกันให้หมด ราคาประมูลอาจจะไม่ได้สูงอย่างที่พวกเราคาดไว้ แต่กลับมีคนจำนวนมาก ไม่แน่ว่าเงินที่ตกในกระเป๋าอาจจะมากขึ้นก็ได้”

เห็นได้ชัดว่าเผยเยี่ยนไม่รู้เรื่องงานแต่งของอวี้หย่วนแม้แต่น้อย

คาดว่าช่วงนี้เขาจะยุ่งย่ามเกี่ยวกับเรื่องแผนที่ ไม่มีเวลาสนใจข่าวสารเรื่องราวในเมืองหลินอัน

อวี้ถังเอ่ยอย่างสุภาพ “วันที่สิบหกเดือนสาม พี่ชายข้าแต่งงาน…”

เผยเยี่ยนตกตะลึง มองพินิจอวี้หย่วนอยู่หลายครั้ง “พี่ชายเจ้าอายุเท่าใดกัน? ไฉนจึงแต่งงานเร็วขนาดนี้?”

ส่วนมากชายหนุ่มหญิงสาวในเมืองหลินอันล้วนแต่งงานอายุสิบเจ็ดสิบแปด ญาติผู้พี่ของนางไม่นับว่าสาย แต่ก็ไม่นับว่าเร็วเช่นกัน

อวี้ถังเอ่ย “สกุลพวกเรามีพี่ข้าเป็นทายาทชายเพียงคนเดียว!”

เผยเยี่ยนเอ่ยโดยพลัน “เช่นนั้นกำหนดวันที่สิบเดือนสามก็ได้ พวกเจ้าคิดว่าอย่างไร? ก่อนหน้าที่คุณชายอวี้จะแต่งงานก็คงจะได้รับเงินประมูลกลับมาด้วย”

งานแต่งของญาติผู้พี่ก็สามารถจัดได้อย่างสมบูรณ์เพียบพร้อมแล้ว

เขาหมายความว่าเช่นนี้กระมัง?

อวี้ถังอดมองเผยเยี่ยนแวบหนึ่งไม่ได้

คาดไม่ถึงว่าคนผู้นี้ยังมีความคิดละเอียดอ่อนเช่นนี้

“ได้!” อวี้เหวินคิดว่ายิ่งโยนเรื่องแผนที่ออกไปเร็วเท่าไร สกุลพวกเขาก็สามารถสงบสุขได้เร็วเท่านั้น ย่อมอยากให้จบโดยเร็ว “พวกเราว่าตามนายท่านสาม”

เผยเยี่ยนได้ยินก็เผยยิ้มพอใจ ตะโกนเผยหม่านเข้ามา “กำหนดเวลาประมูลไว้ในวันที่สิบเดือนสาม เจ้ารีบส่งม้าเร็วไป นำเทียบเชิญที่พวกเราเตรียมไว้ไปส่งให้สกุลพวกนั้น”

เผยหม่านรับคำสั่ง ออกจากห้องไป

เผยเยี่ยนนำรายชื่อสกุลที่เตรียมส่งเทียบเชิญมาร่วมเข้าร่วมประมูลให้อวี้เหวิน จากนั้นก็แนะนำแต่ละสกุลว่ามีที่มาอย่างไรบ้าง

สกุลเถาแห่งกว่างโจว สกุลอู่แห่งหูโจว สกุลอิ้นแห่งเฉวียนโจว สกุลลี่แห่งหลงเหยียน…ไม่ว่าจะสุ่มเลือกสกุลไหน ก็ล้วนแล้วแต่ข่มสกุลอวี้ได้ทั้งนั้น

หากไม่ขอสกุลเผยออกหน้า แม้พวกเขาจะมีแผนที่ขาย ก็คงต้องใช้ชีวิตแลกเงินมา!

อวี้เหวินยิ่งฟังเหงื่อก็ยิ่งชุ่ม ทั้งยิ่งฟังก็ยิ่งดีใจลึกๆ ที่ตอนแรกฟังคำแนะนำของอวี้ถัง

—————-