บทที่ 107 พูดคุย

ห้วงเวลาบุปผาผลิบาน

อวี้หย่วนและอวี้เหวินฟังจนขลาดกลัวขึ้นมา ความสงสัยเล็กๆ ในใจนั้นหายไปหมดแล้ว กลับเป็นอวี้ถังที่ถอนหายใจยาวเหยียด

ชาติก่อนนางก็นับว่าประสบพบเจอกับเรื่องราวต่างๆ มาไม่น้อย ยิ่งเป็นเช่นนี้ก็ยิ่งรู้ว่าตัวเองกระจ้อยร่อย ทั้งยิ่งสามารถประเมินตัวเองได้ รู้ว่าอะไรควรทำ อะไรไม่ควรทำ

เหมือนอย่างเช่นการประมูล แม้นางจะกลับมาเกิดอีกครั้ง ก็ย่อมไม่กล้าทำอยู่ดี

แต่ว่า ฟังจากคำพูดของเผยเยี่ยน ยามที่ทดสอบเส้นทางเรือข่าวสารหลุดลอยออกไป ไม่รู้ว่าทางสกุลเผิงจะมีความเคลื่อนไหวหรือไม่!

รอจนเผยเยี่ยนส่งมอบทุกเรื่องเสร็จสรรพ ยามที่ถามอวี้เหวินว่า ‘มีคำถามอะไรอีกหรือไม่’ อวี้เหวินทำเพียงส่ายศีรษะ อวี้ถังจึงอดเอ่ยขึ้นมาไม่ได้ “แล้วทางสกุลเผิงล่ะ?”

เผยเยี่ยนเอ่ย “ข้าอยากจะปรึกษาเรื่องนี้กับพวกเจ้าอยู่พอดี”

ในความคิดของเขา สามารถให้สกุลเผิงเข้าร่วมประมูลได้อย่างสิ้นเชิง อย่างไรเข้าประตูมาก็ต้องวางเงินประกัน ไม่ว่าสุดท้ายจะประมูลได้หรือไม่ได้ เงินประกันล้วนไม่อาจถอนคืน

สามารถทำแบบนี้ได้ด้วยรึ!

สกุลอวี้ทั้งสามคนสบสายตากัน

“อีกอย่าง บางเรื่องก็ไม่ง่ายดายเหมือนที่พวกเจ้าคิดไว้ขนาดนั้น” เผยเยี่ยนเอ่ยต่อ “หากมีคนบุกเบิกเส้นทางเดินเรือใหม่อีกสาย ย่อมมีความเสี่ยงที่ต้องเผชิญทั้งความต้องการในทรัพยากรและกำลังคนที่มหาศาล เพื่อลดความเสี่ยงลง สกุลที่เข้าร่วมการประมูลพวกนี้ย่อมคิดจะร่วมมือกันจัดตั้งกลุ่มเรือ ผู้ที่มีความสามารถ ทั้งมีความคิดนี้ เมื่อตรึกตรองแล้ว ก็มาจากสกุลพวกนี้ทั้งนั้น แม้ว่ายามนี้พวกเราจะปิดบังสกุลเผิง รอจนคนพวกนั้นได้ครอบครองแผนที่เดินเรือ ข้าก็ไม่กล้ารับประกันว่าในหมู่คนพวกนี้จะมีสกุลใดร่วมมือกับสกุลเผิงหรือไม่ ดังนั้นข้าคิดว่า พวกเรามิสู้เชิญสกุลเผิงมาเข้าร่วมอย่างเปิดเผย ดึงเงินสักก้อนมาจากพวกเขาก่อนค่อยว่ากัน ส่วนเรื่องบุญคุณความแค้นของสกุลพวกเจ้านั้น ลูกผู้ชายแก้แค้นสิบปีก็ไม่สาย ภายหลังหากพวกเจ้ามีโอกาสก็ค่อยลองดู”

อวี้เหวินและอวี้หย่วนมองไปยังอวี้ถัง ราวกับจะให้นางเป็นผู้ตัดสินใจ

อวี้ถังคิดว่าเผยเยี่ยนพูดมีเหตุผล

แทนที่จะปล่อยให้คนอื่นได้เงินจากสกุลเผิง มิสู้สกุลพวกเขาเป็นฝ่ายหลอกเอาเงินก่อน

นางพยักหน้า เอ่ยกับเผยเยี่ยนอย่างจริงใจ “เช่นนั้นก็รบกวนนายท่านสามแล้ว”

เผยเยี่ยนผงกศีรษะ คิดว่าอวี้ถังสามารถปรับตัวเข้ากับทุกสถานการณ์ กระทำเรื่องเป็นระบบระเบียบมากขึ้น

เขาอดกล่าวไม่ได้ “ได้ยินว่ายามนี้สกุลพวกเจ้าซื้อต้นซาจี๋? ไฉนจึงไม่มาไถ่ถามข้า?”

อวี้ถังตะลึงพรึงเพริด

หากนางไปถามเผยเยี่ยนย่อมเป็นผลดีไม่น้อย แต่เรื่องพวกนี้ล้วนไม่มีประโยชน์อันใดกับเผยเยี่ยน นางไม่กล้าเอาเปรียบสกุลเผย เทียวไปเทียวมารบกวนเผยเยี่ยนเช่นนี้

“ข้าและท่านพี่อยากจะใช้พื้นที่บริเวณภูเขาของสกุลปลูกผลไม้ แปรรูปเป็นผลไม้เชื่อม” นางตอบกลับเผยเยี่ยนอย่างตรงไปตรงมา “ต้นซาจี๋เป็นเพียงหนึ่งในพวกนั้น ยังไม่รู้ว่าจะปลูกติดหรือไม่ จึงไม่กล้ารบกวนท่าน”

“ต้นซาจี๋ไม่ค่อยเหมาะจริงๆ” เผยเยี่ยนเอ่ย “ต้นทุนค่อนข้างสูง เกินความจำเป็น”

อวี้เหวินได้ฟังก็ร้อนใจ

เขาให้อาจารย์เสิ่นช่วยจัดการเรื่องต้นกล้าแล้ว หากต้นไม้ชนิดนี้ไม่เหมาะสม ไม่ใช่จะลำบากเสิ่นซ่านเหยียนทั้งทำลายน้ำใจผู้อื่นหรอกรึ

“นี่ล้วนเป็นสิ่งที่พวกเขาสองพี่น้องคิดเล่นๆ ขึ้นมา” เขารีบละล่ำละลักเอ่ย “คาดไม่ถึงว่าจะไม่เหมาะสม”

เขาขบคิดว่า จะไปดูต้นซาจี๋พวกนั้นของเผยเยี่ยนดีหรือไม่

ใครจะรู้ว่าเผยเยี่ยนกลับเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “มีความคิดได้ก็เป็นเรื่องที่ดีแล้ว” จากนั้นก็ถามถึงพื้นที่ภูเขาของสกุลพวกเขาว่าอยู่ที่ใด

อวี้หย่วนบอกตำแหน่ง

เผยเยี่ยนครุ่นคิดเล็กน้อย “พวกเจ้าไปหาพ่อบ้านหู ให้เขาไปดูกับพวกเจ้า เมื่อก่อนบิดาของเขาเป็นสินเดิมของย่าข้า ติดตามย่าเข้ามาในสกุล สกุลย่าข้าปลูกผลหมากรากไม้ ในหมู่พ่อบ้าน คงจะมีเขาคนเดียวที่เข้าใจอยู่บ้าง เจ้าลองดูเถิดว่าพอจะสามารถช่วยเหลือได้หรือไม่”

นี่เป็นความปรารถนาดีของเผยเยี่ยน คนสกุลอวี้พากันเอ่ยขอบคุณ

ตั้งแต่เด็กเผยเยี่ยนก็ถูกคนล้อมหน้าล้อมหลัง ครั้นเมื่อเติบใหญ่ชีวิตล้วนราบรื่นไร้อุปสรรค การสอบขุนนางไม่เคยติดขัด เรื่องขอบคุณเช่นนี้เขาพบเจอมาไม่รู้ตั้งเท่าใด เรื่องของสกุลอวี้ เขาช่วยเหลือมากไปอยู่บ้าง แต่คุณหนูอวี้เป็นเพียงหญิงสาวคนหนึ่ง เรื่องเล็กน้อยช่วยเหลือกันก็ไม่ได้เหนือบ่ากว่าแรง เขารับความขอบคุณคนสกุลอวี้อย่างไม่ใส่ใจมาก ดึงหัวข้อเข้าเรื่องการประมูลอีกครั้ง “เพื่อหลีกเลี่ยงปัญหา สกุลพวกเจ้าไม่โผล่หน้าออกมาจะดีที่สุด ถึงเวลานั้นนายท่านอวี้และคุณชายอวี้มาก็เพียงพอแล้ว ยืนหลบอยู่ด้านข้าง ฟังแต่ละสกุลตกลงซื้อขายในรอบสุดท้าย หลังจากนั้นข้าจะให้เผยหม่านนำเงินประมูลไปส่งที่สกุลพวกเจ้า”

นี่คือกลัวว่าจะมีคนเพ่งเล็งสกุลอวี้ ผู้ที่แพ้การประมูลอาจคิดเล่นงานกับสกุลอวี้ ทั้งกลัวว่าคนสกุลอวี้จะพะว้าพะวง กังวลว่าสกุลเผยจะอมเงินประมูล

ชั่วขณะนั้นอวี้เหวินก็เหงื่อผุดพรายเต็มหน้าผาก “นายท่านสามไม่จำเป็นต้องจัดการเช่นนี้ สกุลพวกเราเป็นสกุลธรรมดาไร้เสียงไร้นาม เรื่องพวกนี้ย่อมไม่เข้าใจ ข้าว่า เรื่องประมูลให้ท่านจัดการคนเดียวก็เพียงพอแล้ว สกุลพวกเราคงไม่เข้ามา ส่วนเรื่องเงิน เก็บไว้ที่ร้านเครื่องเงินของสกุลเผยก่อน พวกเราไปเอายามที่ต้องการก็เพียงพอแล้ว”

หากเป็นก่อนหน้านี้เขายังคงอยากให้ตัวเองเข้าร่วมทำการซื้อขายนี้กับคนอื่นเช่นกัน แต่หลังจากได้ยินเผยเยี่ยนแนะนำตำแหน่งฐานะสกุลที่เข้าร่วมประมูล เขาก็ไม่กล้ายุ่งเกี่ยวอีกแล้ว หากไม่ใช่ว่ากลัวเผยเยี่ยนคิดมาก เขาถึงกระทั่งอยากเอ่ยว่า ให้เงินสกุลพวกเขาไม่กี่ร้อยตำลึงก็พอ ส่วนแผนที่นี้ถือว่าขายให้สกุลเผยไปเสีย

เผยเยี่ยนเห็นอวี้เหวินเอ่ยอย่างจริงใจ รู้ว่าเขาทราบถึงความร้ายแรงของเรื่องนี้ จึงไม่คิดบังคับฝืนใจ รับปากอวี้เหวินว่าจะนำเงินประมูลไปเก็บไว้ในร้านขายเครื่องเงินสกุลเผย ทั้งให้คำปรึกษาเรื่องนำเงินออกไปจากร้านขายเครื่องเงินของสกุลเผยด้วย

อวี้ถังใจลอยอยู่บ้าง

ในเมื่อเผยเยี่ยนคิดว่าพื้นที่ภูเขาของสกุลไม่เหมาะกับการปลูกต้นซาจี๋ เหตุใดชาติก่อนเขาถึงปลูกมันที่นั่นเล่า? ตกลงภายในนี้มีเรื่องอะไรผิดพลาดกันแน่ เรื่องของชาติก่อนจึงได้คลาดเคลื่อนไปจากชาตินี้?

นางคิดว่าตัวเองต้องหาโอกาสไถ่ถามเสียหน่อย

ด้านเผยเยี่ยนกล่าวจบ ก็ยกน้ำชาส่งแขก

พวกอวี้เหวินหยัดกายขึ้นบอกลา กลับพบเผยหม่านสาวเท้ารีบเร่งเข้ามาทางนี้

ทั้งสองฝ่ายทักทายกันและกัน เผยหม่านไม่รอให้อวี้เหวินออกปากก็เอ่ยขึ้นก่อน “นายท่านอวี้ ผู้ดูแลสกุลซ่งแห่งซูโจวมาเยือน กำลังอยู่ในโถงบุปผา ข้าคงไม่อาจส่งท่านแล้ว”

หังโจวและซูโจวอยู่ใกล้กันมาก สกุลใหญ่มีชื่อเสียงเรืองอำนาจทางซูโจว ผู้คนที่อยู่ใกล้อย่างเมืองหลินอันล้วนเคยได้ยินมาเช่นกัน สกุลซ่งแห่งซูโจว ก็ไม่ต่างไปจากสกุลเถาแห่งกว่างโจวที่เผยเยี่ยนเอ่ยถึงเมื่อครู่ เป็นสกุลมั่งคั่งที่มีทายาทเป็นบัณฑิตทั้งทำกิจการค้าขาย นับเป็นสกุลที่มีอำนาจในเมืองซูโจว

คนสกุลอวี้สงสัยอยู่บ้างว่าคนสกุลซ่งมาทำอะไร แต่นี่เป็นเรื่องของสกุลเผย ไม่อาจถามให้เสียมารยาท พวกเขาจะใคร่รู้เพียงใดก็ทำได้เพียงเก็บไว้ในใจ

แยกจากเผยหม่าน อวี้ถังก็เอ่ย “พวกเราใช้โอกาสนี้ไปหาพ่อบ้านหูดีหรือไม่?”

หนึ่งคือพวกเขาและหูซิ่งนับว่าคุ้นเคยกันไม่น้อย พูดคุยสื่อสารกันง่าย สองคือประตูใหญ่ของสกุลเผยไม่ใช่สถานที่เข้าออกได้ง่ายๆ เข้ามาได้หนึ่งครั้งก็ควรพยายามทำเรื่องทั้งหมดให้เสร็จสิ้นจะดีที่สุด

อวี้เหวินก็มีความคิดอย่างนี้เช่นกัน

ทั้งสามคนขอเด็กรับใช้ที่พาพวกเขาออกมา นำทางไปหาหูซิ่ง

เด็กรับใช้ผู้นั้นเห็นพวกเขาเป็นแขกที่เผยเยี่ยนเชิญมา ก็ไม่ได้มากความ พาพวกเขาไปพบหูซิ่ง

เวลานี้อวี้ถังจึงพบว่า แท้จริงแล้วพวกพ่อบ้านผู้ดูแลทั้งหลายของสกุลเผยล้วนอยู่ในเรือนแห่งหนึ่งทางตะวันออกสกุลเผย ห่างจากประตูใหญ่เพียงระยะยิงธนู[1]เท่านั้น ทั้งอาศัยจากตำแหน่งพ่อบ้านและผู้ดูแลพวกเขายังขนาบด้วยห้องเล็กๆ ของข้ารับใช้ทั้งห้องเซียงฝางขนาดน้อยใหญ่แตกต่างกันไป

อวี้หย่วนเห็นก็ลอบชื่นชมในใจ กระซิบกับอวี้ถัง “ไม่แปลกใจที่คนอื่นกล่าวว่าสกุลเผยร่ำรวยเงินทอง ข้ายังคิดไปว่าพวกเขาไม่เคยพบเห็นสกุลใหญ่มั่งมีของเมืองหังโจว แท้จริงเป็นข้าที่ความรู้ตื้นเขิน สายตาคับแคบ”

สิ่งที่อวี้ถังคิดคือ ไม่แปลกใจที่สกุลหลี่อยากจะแทนที่สกุลเผยอย่างใจจดใจจ่อ ไม่ว่าใครที่เห็นภาพบ่าวใช้มากมายดุจมวลเมฆนี้ ก็คงคิดใฝ่ฝันกันทั้งนั้น!

หูซิ่งไม่อยู่ห้องของตัวเอง เด็กรับใช้ของหูซิ่งนำชาและของว่างมาต้อนรับพวกเขาอย่างไม่ขาดตกบกพร่อง ไม่นาน หูซิ่งที่ทราบข่าวก็เร่งตามเข้ามา เอ่ยขอโทษขอโพยอวี้เหวิน “ท่านแม่เฒ่าไหว้วานให้ข้าไปทำธุระนิดหน่อย นึกไม่ถึงว่านายท่านอวี้จะเข้ามา เสียมารยาทแล้ว เสียมารยาทแล้ว”

อวี้เหวินและเขาเอ่ยเป็นพิธีไม่กี่คำ อวี้หย่วนและอวี้ถังก็หยัดกายขึ้นประสานมือทักทายเขา ทุกคนลงนั่งกันอีกครั้ง อวี้เหวินจึงค่อยเอ่ยถึงจุดประสงค์ที่มา

หูซิ่งพอได้ยินว่าเป็นความต้องการของเผยเยี่ยน ก็นั่งไม่ติดที่ “ท่านให้ข้าไปเปลี่ยนผ้าผ่อนเสียหน่อย ข้าจะไปดูกับพวกท่านเดี๋ยวนี้”

กระตือรือร้นจนพาให้แปลกใจอยู่บ้าง

อวี้เหวินรีบละล่ำละลักเอ่ย “พวกเราไม่ได้รีบร้อนเพียงนั้น เจ้าหาเวลาว่างไปช่วยพวกเราดูก็เพียงพอแล้ว”

ได้ยินว่า กว่ากล้าไม้พวกนั้นจะมาถึงก็ตั้งกลางเดือนสี่

หลายวันมานี้หูซิ่งกำลังคิดวิธีจะปรากฏตัวต่อเบื้องหน้าเผยเยี่ยน ใคร่ให้เผยเยี่ยนสั่งเขาไปทำธุระเป็นอย่างยิ่ง เขาจะได้สามารถไปรายงานให้เผยเยี่ยนฟังทุกวัน ไหนเลยยังจะฟังคำพูดอวี้เหวิน

เขาเอ่ย “คำสั่งของนายท่านสามย่อมไม่อาจฝ่าฝืน เมื่อเอ่ยปากออกมาพวกเราไหนเลยจะชักช้าได้?”

อวี้เหวินอับจนหนทาง ทำได้เพียงนัดหูซิ่งเช้าตรู่ของพรุ่งนี้ เข้าไปช่วยดูที่บริเวณภูเขาของเรือนเก่าสกุลอวี้

เมื่อหูซิ่งได้รับการมอบหมายเป็นมั่นเป็นเหมาะ ก็ส่งคนสกุลอวี้ทั้งสามออกจากประตูอย่างสุขอุรา

เพียงแต่พวกเขายังไม่ทันก้าวออกจากลานกว้าง เด็กรับใช้คนหนึ่งก็วิ่งเข้ามาด้วยเหงื่อแตกพลั่ก “เห็นนายท่านอวี้ คุณชายสกุลอวี้หรือไม่ขอรับ? นายท่านสามขอให้นายท่านอวี้รั้งตัวอยู่ก่อน!” ขณะที่พูดก็เหลือบเห็นอวี้เหวินซึ่งอยู่ข้างหูซิ่ง ดีใจจนแทบจะร้องไห้โฮออกมา วิ่งขึ้นมาคำนับแก่อวี้เหวิน “นายท่านอวี้รีบตามข้าไปนั่งพักที่โถงบุปผาก่อนเถิดขอรับ นายท่านสามเอ่ยว่ามีเรื่องจะหารือกับท่าน”

คนสกุลอวี้ทั้งสามมองกันไปมองกันมา ก่อนจะเดินตามหูซิ่งและเด็กรับใช้คนนั้นเหลียวอ้อมไปอ้อมมา จนถึงโถงบุปฝาที่ไม่คุ้นตา

เด็กรับใช้ยกชามาอย่างเอาใจใส่ “นายท่านสามขอให้ท่านรออยู่ตรงนี้สักครู่ หากเรื่องทางนั้นเสร็จสรรพแล้ว พี่อาหมิงจะเข้ามาเชิญพวกท่าน พวกท่านนั่งพักกันก่อนเถิดขอรับ”

อวี้ถังลอบขำในใจ

อาหมิงอยู่ในจวนกลับถูกเรียกว่า ‘พี่’ จะเห็นได้ว่าการทำงานข้างกายเผยเยี่ยนมีเกียรติไม่น้อย

อวี้เหวินตอบรับด้วยรอยยิ้ม ยอบกายนั่งลง

ด้านหูซิ่งขันอาสาพูดคุยเป็นเพื่อนคนของสกุลอวี้

อวี้ถังรู้สึกเบื่อหน่าย จึงชื่นชมบรรยากาศโดยรอบ

เมื่อทอดสายตามอง ก็ทำให้นางประหลาดใจอยู่บ้าง

ใกล้จะเริ่มต้นฤดูใบไม้ผลิแล้ว ฤดูที่ต้นหลิวแตกยอด ดอกท้อดอกหลี่บานสะพรั่ง ด้านข้างโถงบุปผาของสกุลเผยมีต้นไม้ร่มครึ้ม พุ่มหญ้าเขียมชอุ่ม เมื่อมองไป ก็ปรากฏเขียวเข้มเขียวอ่อน รื่นหูรื่นตายิ่ง ไม่มีสีอื่นเจือปนแม้แต่น้อย

หรือต้นท้อต้นหลี่ของสกุลพวกเขาไม่ออกดอกกัน?

หรือว่าข้างโถงบุปผาไม่ได้ปลูกต้นท้อและต้นหลี่?

แม้ว่าจะไม่ปลูกต้นท้อต้นหลี่ ดอกไม้ป่าก็ไม่มีสักต้นอย่างนั้นรึ?

อวี้ถังมองหาอยู่ค่อนวัน ก็ไม่พบจริงๆ

พวกเขารอประมาณครึ่งชั่วยาม อาหมิงก็วิ่งเหยาะๆ เข้ามา

“นายท่านอวี้ คุณชาย คุณหนูให้คอยนานเสียแล้ว!” เขาหอบแฮ่กๆ “นายท่านสามพวกเรากำลังส่งแขก ประเดี๋ยวจะเข้ามาแล้วขอรับ”

ไม่ใช่กล่าวว่าจะให้พวกเขาเข้าไปหรอกรึ?

คนของสกุลอวี้เหลียวมองกันสลับไปมา

แต่ยังไม่รอให้อวี้เหวินเอ่ยอันใด เผยเยี่ยนก็ก้าวเท้ายาวเข้ามา

อวี้เหวินพาอวี้หย่วนและอวี้ถังเดินเข้าไปหา

เผยเยี่ยนคำนับให้แก่อวี้เหวิน เอ่ยกับหูซิ่ง “พวกเจ้าออกไปให้หมดเถิด! ข้ามีเรื่องอยากพูดกับพวกนายท่านอวี้เพียงลำพัง”

————————-

[1]ระยะยิงธนู คือระยะประมาณหนึ่งร้อยยี่สิบถึงหนึ่งร้อยห้าสิบก้าว